ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 1108 ถูกรังเกียจ + ตอนที่ 1109 ยากที่จะแยกแยะจริงเท็จ
ตอนที่ 1108 ถูกรังเกียจ
อู่เยวี่ยและเหมยซูหานต่างนิ่งตะลึงไปพร้อมกัน ต่างคนต่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“ทำไมล่ะ? เมื่อก่อนแม่มักจะชมอู่เยวี่ยต่อหน้าผม บอกว่าเธอว่านอนสอนง่ายไม่ใช่หรือ?” เหมยซูหานรู้สึกไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
อู่เยวี่ยเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เธอเงียหูฟัง อยากได้ยินคำอธิบายจากแม่เหมย
แม่เหมยลอบถอนหายใจ เมื่อก่อนเธอก็เคยคิดที่จะให้อู่เยวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ เธอมองออกว่าแม่เด็กอู่เยวี่ยนั่นชอบพอลูกชายตน อีกทั้งหน้าตาก็ดี แม้จะดูมีเล่ห์เหลี่ยมไปบ้างแต่ใช้ชีวิตร่วมกันคงไม่เป็นปัญหา
หากว่าครอบครัวของเธอยังคงจนเหมือนแต่ก่อน เธอคงไม่คิดมากถึงเพียงนี้
ขอแค่มีหญิงสาวที่เต็มใจที่จะแต่งงานกับลูกชายตน เธอก็รู้สึกขอบคุณต่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นแบบอู่เยวี่ยแล้วนั้น เธอไม่มีทางเอ่ยคำว่าไม่แน่นอน
แต่ตอนนี้ลูกชายเป็นคนมีอนาคต มิใช่ตัวเธอเองที่เชยชมจนออกนอกหน้า ซูหานของเธอไม่ว่าจะนิสัยใจคอหรือรูปลักษณ์หน้าตาล้วนไม่มีข้อบกพร่อง เพื่อนบ้านละแวกนี้มีใครบ้างที่ไม่เอ่ยชม?
ดังนั้นมาตรฐานของของลูกสะใภ้จะต้องสูงขึ้นเล็กน้อย คนเป็นแม่มีหรือจะไม่อยากให้ลูกชายได้เมียที่ดี?
“ซูหาน อู่เยวี่ยถือว่าไม่เลว แม่เองก็ชอบเธอมาก แต่ปัญหาคือเธอมีอาการโรคประสาท ทั้งยังถือเป็นกรรมพันธุ์ นั่นไม่ได้เด็ดขาด หากว่าถ่ายทอดมาสู่หลานแม่จะทำยังไง?” แม่เหมยพูดถึงสาเหตุที่เธอคัดค้าน
ความจริงแล้วเธอยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่ได้เอ่ยออกไป เธอคิดว่าอู่เยวี่ยเป็นคนทะเยอทะยานมากเกินไป รอยยิ้มที่แสดงออกก็ดูไม่จริงใจ เธอยังชอบเหมยเหมยเสียมากกว่า ไร้เล่ห์เหลี่ยม ยิ้มออกมาแต่ละทีทำให้รู้สึกสบายใจที่สุด
หากว่าแม่สาวน้อยนั่นยอมแต่งงานกับลูกชายตน เธอรับประกันเลยว่าจะไม่คัดค้าน เธอจะรักใคร่เอ็นดูเธอให้เหมือนเป็นดั่งลูกสาวแท้ๆ
แต่เสียดายที่หญิงสาวดันเป็นถึงหัวแก้วหัวแหวนของตนคระกูลชั้นสูง ตระกูลคนธรรมดาคู่ควรที่ไหนกัน ไม่เหมาะสมกระทั่งฐานะชาติตระกูล
เหมยซูหานนึกไม่ถึงเลยว่าสาเหตุที่แม่คัดค้านจะเป็นเช่นนี้?
อู่เยวี่ยหน้าถอดสี โรคประสาทเป็นสิ่งที่เธอจงใจไม่คิดถึงมัน ช่วงนี้ไม่มีใครจงใจเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเลย อู่เยวี่ยเอาแต่หลอกตัวเองและคนอื่นว่าเรื่องที่เหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทนั้นไม่มีใครจำได้อีก
แต่ตอนนี้แม่เหมยกลับพูดถึงเรื่องในอดีต
แม้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเหมยซูหาน ไม่อยากมันก็ไม่อยากอยู่หรอก แต่ถูกคนรักเกียจนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากแน่น กัดจนปากแตกเธอก็ยังไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดขึ้น
เหมยซูหานเอ่ยปราม “แม่ครับ แม่อย่าไปฟังที่คนอื่นพูด เยวี่ยเยวี่ยเธอจะเป็นโรคประสาทได้อย่างไร? แม่ของเธอแค่นิสัยเสียเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นโรคประสาท”
แม่เหมยไม่เห็นด้วยพร้อมกับเอ่ย “ยอมเชื่อในสิ่งที่มี ดีกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่ อีกอย่างถ้าไม่มีลมก็ไม่เกิดคลื่น หากไม่มีมูลคนจะเอาไปเล่าลือกันแบบนั้นได้อย่างไร? อย่างไรเสียก็ไม่ควรเอาหลานของแม่ไปเป็นตัวทดลอง ถ้าหากว่าถ่ายทอดทางพันธุกรรมขึ้นมาจริง ๆ ลูกจะมานั่งเสียใจก็จะไม่ทันแล้วนะ ซูหานฟังแม่นะ แม่ค่อยหาผู้หญิงดี ๆ ให้ลูกแล้วกัน”
เหมยซูหานจึงได้แต่เชื่อฟัง ไม่กล้าเอ่ยถึงอู่เยวี่ยอีก เล่าเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวง แล้วเอ่ยเปิดประเด็นถึงเรื่องนี้
แม้ว่าแม่ของเขาจะนิสัยดี แต่ปัญหาของการยึดมั่นในความคิดหนักแน่นมาก ในเมื่อเธอบอกว่าเป็นอู่เยวี่ยไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่มีทางยินยอมแน่นอน
งั้นเขาคงต้องหาคนอื่นแล้วล่ะ นับว่าโชคดีที่ตอนนี้เขายังเรียนไม่จบ ยังคงยืดเวลาไปได้อีกสักปีสองปี ไม่เร่งรีบนัก
ส่วนทางเฮ่อเหลียนเช่อ เขาถามดูก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้เป็นเพียงความคิดของเขาคนเดียว
อู่เยวี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายครั้ง พยายามทำใจให้สงบ ฝืนยิ้มออกมา พลันส่งเสียงเอ่ยทักทายเหมยซูหานสองแม่ลูก รอยยิ้มยังคงหวานหยดย้อย เพียงแต่ยังคงกำหมัดไว้แน่น เพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นในใจของเธอ
วันนี้แม่เหมยรังเกียจเธอ แม่ของหานป๋อหย่วนจะต้องรังเกียจเธอด้วยสาเหตุเดียวกัน
เหอปี้อวิ๋นเป็นภาระของเธอ ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอแม้แต่น้อย เธอจะต้องลงมือให้เร็วขึ้น และหาทางกลับไปหาอู่เจิ้งซือให้เร็วที่สุด แบบนี้ก็จะไม่มีใครกล้าพูดว่าเธอเป็นลูกสาวของเหอปี้อวิ๋นอีก
……………………………………………….
ตอนที่ 1109 ยากที่จะแยกแยะจริงเท็จ
เหมยเหมยรอให้เมืองหลวงเกิดพายุ
เฮ่อเหลียนเช่อไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น เขาจะต้องบีบจ้าวอิงสยง ส่วนจ้าวอิสยงสามีภรรยาจะต้องวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า
การที่เหมยซูหานกลับเมืองจินถือเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง
เหมยเหมยคิดว่าเฮ่อเหลียนเช่อต้องกลัวว่าเหมยซูหานจะโดนลูกหลงไปด้วย เพราะงั้นจึงให้เขาออกไปจากเมืองหลวงเพื่อหลบหลีกพายุคลื่นยักษ์นี้ รอให้เรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นค่อยให้เหมยซูหานกลับมา ดูท่าคงเป็นรักแท้จริง ๆ!
แน่นอนว่าเหมยเหมยไม่รู้ถึงคำโกหกของเหมยซูหาน แต่สิ่งที่เธอคิดก็ไม่ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด เฮ่อเหลียนเช่อยอมให้เหมยซูหานกลับเมืองจิน มากน้อยก็เพราะสาเหตุนี้ด้วย
จ้าวอิงสยงสามีภรรยาคงคงจะลงมือในไม่กี่วันนี้แล้วสินะ!
จิตใจของเหมยเหมยมีแต่ความฟุ้งซ่าน และเต็มไปด้วยความหวัง
นี่เป็นบททดสอบที่คนวิปริตอย่างเฮ่อเหลียนชิงมีต่อเธอ เธอจะต้องผ่านด่านตรงนี้ไปให้ได้
คืนที่สองที่เหมยซูหานกลับมา เหมยเหมยนั่งทานมื้อดึกพร้อมหน้ากันสามคนทั้งครอบครัว มีสายจากจ้าวอิงหย่งโทรเข้ามา ผิดไปจากที่เหมยเหมยคาดการณ์ไว้ เหตุใดถึงเป็นจ้าวอิงหย่งที่โทรเข้ามา?
หรือว่าจ้าวอิงหย่งเองก็สมรู้ร่วมคิดกับจ้าวอิงสยงสองสามีภรรยา?
“คุณแม่ท่านป่วยหนักมาก พวกนายทั้งครอบครัวรีบกลับมาที่เมืองหลวง แล้วก็ครอบครัวของจ้าวอิงหนานด้วย” จ้าวอิงหย่งพูด
จ้าวอิงหัวเองก็รู้สึกแปลกใจ ในตอนนี้เขาเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก?
“แม่ป่วยจริงหรือ?” จ้าวอิงหัวเอ่ยถาม
จ้าวอิงหย่งตวาดใส่อย่างโมโห “ไร้สาระ ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมฉันต้องแช่งให้แม่ตัวเองป่วยด้วยหรือไง หมอบอกว่าคราวนี้อาการของแม่เริ่มทรุดลง เกรงว่าจะไม่ดีนัก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของจ้าวอิงหย่งจึงดูตะกุกตะกัก อย่ามองแต่ว่าที่ผ่านมาเขาเอาแต่ค้านแม่ แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อแม่ช่างลึกซึ้งนัก ตอนนี้แม่อาการแย่ลง จ้าวอิงหย่งเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าใคร
จ้าวอิงหัวนิ่งเงียบไป เขาเองก็เสียใจเล็กน้อย ถึงยังไงนั่นก็คือแม่แท้ ๆ ของเขานี่!
แต่เขายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้หานป๋อหย่วนพูดเองเล่าว่าแม่รวมหัวกับจ้าวอิงสยงสามีภรรยา คิดจะวางแผนทำร้ายลูกสาวของตน
“พี่สามใจเย็นๆ ผมขอจัดการเรื่องในมือให้เสร็จก่อน ทางฝั่งอิงหนานผมจะโทรบอกเอง เพียงแต่มู่มู่ไม่ได้อยู่ในหวาเซี่ย เกรงว่าจะกลับมาไม่ทัน” จ้าวอิงหัวเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้ร้อนรนอะไร
อีกอย่างไม่ว่าอาการป่วยของแม่จะเป็นเรื่องจริงหรือโกหก ในฐานะที่เขาเป็นลูกชาย สิ่งที่ควรกตัญญูก็คงต้องทำ ไม่ควรให้คนอื่นจับพิรุธได้
“ได้ พวกนายรีบหน่อยแล้วกัน ฉันกลัวว่า…เฮ้อ…” จ้าวอิงหย่งถอนหายใจลากยาว
จ้าวอิงหัววางสายไป ก็ไม่ได้กลับไปทานข้าว เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมนิ่ง พลางขบคิดเรื่องราวต่างๆ
“เกิดอะไรขึ้น? แม่ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” เหยียนซินหย่าเอ่ยถาม
จ้าวอิงหัวตอบไปว่า “พี่รองโทรเข้ามาบอกว่า คุณแม่เริ่มแย่แล้ว”
“จริงหรือเปล่า ไม่ได้เป็นเพราะร่วมมือกับพี่รองและสะใภ้รองแล้วเล่นละครตบตาพวกเราใช้ไหม?” เหยียนซินหย่าไม่เชื่อเลยสักนิด มุมปากเผยให้เห็นถึงความเยาะเย้ย
เหมยเหมยก็ไม่เชื่อเหมือนกัน จ้าวอิสยงสามีภรรยาและคุณย่าวางแผนจะทำร้ายเธอ แม้กระทั่งหลอกล่อให้เธอกลับเมืองหลวง การแกล้งป่วยถือเป็นคำแก้ตัวที่ดีที่สุดแล้วล่ะ
ความลังเลสงสัยในใจของจ้าวอิงหัวที่มีได้ถูกภรรยาและลูกสาวชักดึงกลับไปอย่างเร็วพลัน
“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ยังไงก็ต้องกลับไปเมืองหลวงสักครั้ง เหมยเหมยไม่ต้องกลับหรอก ผมกับคุณกลับไปด้วยกันก็พอแล้ว” จ้าวอิงหัวเอ่ยพูด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นคุณปู่จ้าวโทรเข้ามา
“ให้เหมยเหมยลาหยุดกลับมาด้วย แม่แกบอกว่าแต่ก่อนทำไม่ดีกับเหมยเหมยไว้ ก่อนตาจะปิดขอได้เห็นหน้าหลานสาวอีกสักครั้ง และพูดความในใจ” น้ำเสียงของคุณปู่แหบแห้ง บ่งบอกถึงความเศร้าสลด
จ้าวอิงหัวสามารถปฏิเสธจ้าวอิงหย่งได้ แต่เขาไม่อาจปฏิเสธพ่อของเขาได้
และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขาแยกแยะไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องโกหกแล้ว
ดูจากลักษณะแล้วคุณแม่คงใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่เหมือนการเล่นละคร
“ต้องเล่นละครแน่นอน แม่ของคุณจะเสียใจต่อสิ่งที่เคยทำไปได้อย่างไร? แค่เพื่อต้องการหลอกล่อให้เหมยเหมยกลับเมืองหลวง จ้าวอิงหัวฉันขอเตือนคุณไว้เลย ถ้าคุณไม่หนักแน่นกับเรื่องนี้ เราก็หย่ากัน!”
เหยียนซินหย่าไม่เชื่อเลยสักนิด เธอไม่มีทางยอมให้ลูกสาวต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ต่อให้ครั้งนี้แม่ย่าจะอาการไม่ดีก็ตาม เธอก็มองว่าเป็นการเล่นละคร
……………………………………………………..