ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 77 พิซซ่า
เมื่อหาที่นั่งได้แล้วเจ้าตัวน้อยก็เปิดดูเมนูแล้วสั่งอาหาร เฉียวชูเฉี่ยนนั่งลงข้างๆ โดยไม่คิดจะดูเมนู เพราะปกติจิ่งเหยียนมักจะสั่งมาเยอะแต่ว่ากินน้อย เขาสั่งแค่คนเดียวก็กินสองคนได้อย่างไม่มีปัญหา
“สั่งเท่านี้โอเคไหมฮะ?”
เจ้าตัวน้อยสั่งอาหารกับบริกรเสร็จแล้วอยู่ๆ ก็หันไปขอความคิดเห็นจากเฉินเป่ยชวน จนทำให้เธอประหลาดใจมาก ไม่กี่วันก่อนจิ่งเหยียนยังกัดแล้วเรียกเขาว่าคนเลวอยู่เลย ผ่านไปแค่ไม่กี่วันทำไมศัตรูถึงเปลี่ยนเป็นมิตรไปได้
เฉินเป่ยชวนชะงักไปนิดหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยสนใจอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดอยู่แล้ว
อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เมื่อมองพิซซ่าที่ยังร้อนจนควันฉุย เจ้าตัวน้อยก็เหลือบไปมองสองคนที่อยู่ข้างๆ “หม่ามี๊ ผมหิวแล้ว แต่พิซซ่ายังร้อนอยู่เลย”
“โตขนาดนี้แล้วยังต้องให้ป้อนอีก”
เฉียวชูเฉี่ยนเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กน้อยหัวเหม็นนี่กำลังวางแผนอะไรอยู่
“แต่ผมยังเด็กอยู่เลยนะฮะ กินร้อนๆ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ” พูดจบก็ยิ้มกว้างรอให้คนป้อน
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งป้อนใส่ปากเขา
เจ้าตัวน้อยอ้าปากกัดไปคำใหญ่ๆ ยังเคี้ยวไม่ทันหมดก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เขายังไม่ได้ล้างมือเลย หม่ามี๊ช่วยป้อนเขาด้วยสิฮะ”
“…”
เจ้าเด็กหัวเหม็นตัวน้อยกำลังรอโอกาสนี้อยู่นี่เอง!
“คุณเพิ่งจะล้างมือนี่ กินเองแล้วกัน” พอหยิบพิซซ่าใส่มือเขาแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนก็หน้าแดงและหัวใจเต้นรัวหยิบพิซซ่ามากินเองบ้าง
ถึงอย่างไรเธอกับเฉินเป่ยชวนก็ไม่อยู่ได้กันมาตั้งเจ็ดปีแล้ว แม้ว่าจะให้โอกาสกันและกันอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาเป็นคู่รักที่รักกันมากได้ในทันที
ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเหตุผลที่เธอรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เพราะเธอกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันมาเจ็ดปี แต่เป็นเพราะระหว่างพวกเขายังมีปมบางอย่างที่ยังติดค้างอยู่ในใจ
หากไม่แก้ปมที่ผูกไว้ แม้ว่าจะพยายามปกปิดไว้อย่างไรสักวันหนึ่งปัญหาก็ต้องปะทุขึ้นมาอยู่ดี
“หม่ามี๊นี่เป็นแม่ที่ไม่ดีเลย”
พอพูดจบเจ้าตัวน้อยก็ทำหน้ามุ่ยแล้วหยิบพิซซ่าขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเฉินเป่ยชวน “ถ้าอย่างนั้นผมป้อนคุณเองก็ได้ฮะ”
“…”
เมื่อมองดูพิซซ่าตรงหน้าซึ่งเขาไม่ได้อยากกินสักเท่าไหร่เฉินเป่ยชวนก็นึกอยากปฏิเสธ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอ้าปากรับ
เฉียวชูเฉี่ยนที่มองอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเธอไม่ได้ฝันไป แต่ไหนแต่ไรจิ่งเหยียนไม่ใช่เด็กที่จะตกหลุมรักใครได้ภายในวันสองวัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสนิทสนมกับเฉินเป่ยชวนเร็วมาก หรือนี่จะเป็นความมหัศจรรย์ทางสายเลือด?
ตอนที่อารมณ์ดีเจ้าตัวน้อยจะกินอาหารได้เยอะเป็นพิเศษ พออยู่บนรถเขาจึงเรอไปหลายครั้งแล้วพิงไหล่เธอจนหลับไป
ทันใดนั้นภายในรถก็เงียบลงอย่างฉับพลันและบรรยากาศก็เริ่มแปลกขึ้นเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มที่กำลังขับรถผ่านกระจกมองหลังอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาว่า “วันนี้จิ่งเหยียนมีความสุขมาก ฉันไม่ได้เห็นเขามีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว ขอบคุณนะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเป่ยชวนมาด้วย เจ้าตัวน้อยอาจจะไม่มีความสุขมากขนาดนี้
“แล้วคุณคิดได้หรือยังว่าจะขอบคุณผมยังไง”
เฉินเป่ยชวนเงยหน้ามองเธอผ่านกระจกมองหลัง คำขอบคุณไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา ถ้าอยากขอบคุณ มันจะดีกว่าถ้าเป็นอะไรที่จับต้องได้จริง
“…”
เมื่อเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรเลือดก็สูบฉีดขึ้นมาจนเฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดงก่ำ ในหัวผู้ชายคนนี้ไม่คิดเรื่องอื่นเลยหรือไง?
“คืนนี้จะให้ผมไปหาคุณหรือคุณจะมาหาผมเอง”
พอพูดจบเฉินเป่ยชวนก็เร่งความเร็วตรงไปยังบ้านเก่าของตระกูลเฉิน
ท่านผู้หญิงพอใจมากที่เห็นทั้งสองคนพาลูกกลับมาพร้อมกัน คืนนั้นท่านตั้งใจสั่งให้คนรับใช้นำซุปสูตรชูกำลังขึ้นไปส่งที่ชั้นบนจนเฉียวชูเฉี่ยนแทบจะอยากแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
พอกล่อมเจ้าตัวน้อยจนหลับเธอก็ยิ่งประหม่ามากขึ้น ครั้งที่แล้วยังพอพูดได้ว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะเธอเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่วันนี้พวกเขาไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลยสักนิด
ทำยังไงดี? ถ้าเกิดว่าอีกเดี๋ยวเขามาจริงๆ อย่างที่พูดแล้วพาเธอไปที่ห้องของเขาล่ะ จะทำยังไง?
ขณะที่กำลังคิดแผนรับมืออยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอดมาจากนอกห้อง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหยิบยาคุมกำเนิดในลิ้นชักมาหนึ่งเม็ดแล้วรีบกลืนลงไป
ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้อง…
เมื่อประตูห้องเปิดออกเฉินเป่ยชวนก็ก้าวขาเรียวๆ ของเขาเข้ามาข้างใน เขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าแก้มของเธอแดงระเรื่อ “จะเลือกที่นี่หรือไปที่ห้องของผม?”
“…”
เมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมาเธอเลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร แต่เมื่อนึกได้ว่าลูกยังอยู่ใกล้ๆ และพวกเขาอาจจะส่งเสียงดังจนทำให้เขาตื่นทุกเมื่อ เธอจึงเลือกอย่างหลังอย่างเงียบๆ
เฉินเป่ยชวนกดเธอไว้ใต้ร่างของเขาบนเตียงใหญ่ เขาไม่ได้รีบถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสองคนทิ้งไปและไม่ได้จุมพิตริมฝีปากที่โหยหามาตลอดทั้งวัน แต่กลับจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น
“ทำไมถึงจ้องฉันอย่างนี้คะ”
เฉียวชูเฉี่ยนถามออกมาหลังจากถูกจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด
“กำลังมองว่าคุณแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ตรงไหน ถึงทำให้ผมลืมคุณไม่ได้”
ริมฝีปากบางเผยอออก แล้วลมหายใจอุ่นๆ ก็สัมผัสลงบนใบหน้าของเธอ ดูเหมือนว่าหัวใจของเธอกำลังจะหลอมละลาย
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยลืมเลยหรือ?
“เฉินเป่ยชวน…”
“เฉียวชูเฉี่ยน ในชีวิตนี้คุณเป็นของผมได้แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
เขาสกัดกั้นคำพูดของเธอ และเมื่อเสียงที่มั่นคงซึ่งเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของเฉินเป่ยชวนสิ้นสุดลง ริมฝีปากบางคู่นั้นก็ประทับลงไป
ชั่วชีวิตนี้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เฉียวชูเฉี่ยนจะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
ร่างกายดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยประโยคนั้น เธอที่เป็นฝ่ายถูกรุกในตอนแรกค่อยๆ เริ่มตอบสนองต่อจูบของเขาโดยปราศจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จมดิ่งอยู่ในพายุรักด้วยจิตใจที่แจ่มใส
……
“คุณเฟยเอ๋อร์ ขอถามหน่อยค่ะ พอต้องมารับบทนักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีฉากต่อสู้เยอะมาก คิดว่ายากไหมคะที่จำเป็นจะต้องใช้สลิงด้วย”
นักข่าวซึ่งมาสัมภาษณ์ขณะอยู่ในกองถ่ายจ่อไมโครโฟนถามเธออย่างทุ่มเท หลินเฟยเอ๋อร์ยิ้มทันทีก่อนจะตอบว่า “แน่นอนว่าไม่ค่ะ ฉันเป็นนักแสดง ความลำบากเช่นนี้เป็นสิ่งที่นักแสดงต้องรับมือให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องยากมากกว่าทีมงานในกองนี้กับนักแสดงท่านอื่นๆ จะมีโอกาสมาร่วมงานกันได้ ฉันจะรักษาโอกาสนี้ไว้อย่างดีเลยละค่ะ”
“คุณเฟยเอ๋อร์ทุ่มเทมากขนาดนี้ ไม่ทราบว่าประธานเฉินเป็นกังวลบ้างหรือเปล่าคะ”
คำถามของนักข่าวทำให้รอยยิ้มที่มุมปากของหลินเฟยเอ๋อร์แข็งกระด้างขึ้น แต่หลังจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นเดิมอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าต้องกังวลอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าเขารู้ว่านี่เป็นงานของฉัน ฉันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คุณว่าถูกต้องไหมคะ?”
“แน่นอนค่ะ คุณเฟยเอ๋อร์จะต้องคว้ารางวัลดอกเบญจมาศทองคำจากภาพยนตร์เรื่องนี้ในปีนี้ได้อย่างแน่นอน”
หลังจากนักข่าวจบการสัมภาษณ์ด้วยคำพูดที่เอาใจก็มีตัวแทนมาเชิญไปที่ห้องรับรองด้านนอก ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์ก็หุบลงทันที แววตาของเธอดูกลัดกลุ้มและไม่สบายใจ
“ฉากวันนี้ให้สแตนอินสามคนนั้นเล่นจนจบเลยนะ”
“ได้ค่ะคุณเฟยเอ๋อร์”
ผู้จัดการรีบพยักหน้า คุณเฟยเอ๋อร์จะต้องลำบากโหนสลิงเองทำไม เพียงแค่โชว์ใบหน้าของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินพอแล้ว
หลินเฟยเอ๋อร์เหลือบไปมองสแตนอินที่แสดงอยู่ในฉากอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินไปไปที่ห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ข้างๆ
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปยังหมายเลขที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ หลังจากเสียงรอสายดังขึ้นสามครั้งก็มีหัวเราะดังมาจากปลายสาย “เกิดอะไรขึ้นกับซุปเปอร์สตาร์อีกล่ะ”
“เรื่องที่ฉันขอให้ไปตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”
นี่มันก็หลายวันแล้วที่เฉินเป่ยชวนไม่ได้โทรหาเธอ เธออยู่ในกองถ่ายซึ่งมีนักข่าวอยู่ข้างนอกมากมายจนออกไปข้างนอกไม่ได้ ในใจมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น