ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 52 ความโกรธ
“รับทราบค่ะ”
ลินดาคิดแล้วคิดอีก สองสามวันมานี้ท่านประธานกำลังโกรธอยู่หรือ?”
เฉียวชูเฉี่ยนเข้าใจว่าไป KTV คือการนั่งดื่มเหล้ากันอยู่สองคน จากนั้นก็จะร่วมวงร้องโหยหวนประหนึ่งผีสางกันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึง KTV เธอกลับเห็นคนแปลกหน้านั่งกันอยู่เป็นจำนวนมาก
“ไม่ต้องเขินอายไป คนพวกนี้เป็นเพื่อนร่วมงานฉันทั้งนั้น ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักนะ คนนี้คือพี่หลิว……” เหยียนสือเซี่ยตบไหล่เธออย่างปลอบใจ พอเธอแนะนำให้รู้จักเรียงตามละดับทีละคนๆ แล้วก็ดึงเฉียวชูเฉี่ยนไปนั่งตรงโซฟา
“คนนี้คือเพื่อนซี้ที่สุดของฉันชื่อ เฉียวชูเฉี่ยน”
พอเพื่อนเธอแนะนำตัวอย่างอลังการแล้วเธอก็ได้พยักหน้าและยิ้มบางๆ ออกไป “สวัสดีค่ะทุกคน”
ในเมื่อเข้ามาแล้วจะออกไปตอนนี้ก็ดูจะไม่เหมาะ เธอจึงได้แต่นั่งอย่างขัดๆ เขินๆ อยู่ข้างๆ เหยียนสือเซี่ย อาศัยช่วงที่คนมองไม่เห็นเธอแอบหยิกแรงๆ ไปที่หลังเพื่อนเธอทีหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้บังอาจมาหลอกเธอได้
เหยียนสือเซี่ยไม่นึกโกรธอะไร เธอกระซิบบอกเบาๆ “ดูคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอสิ เขาเป็นหุ้นส่วนของฉันเองเป็นไง หน้าตาไม่เลวใช่ไหม ถ้าเธอไม่ตอบรับลู่ฉีจริงๆ ลองพิจารณาเขาดูหน่อยไหม”
“เงียบไปเลย!”
เฉียวชูเฉี่ยนรีบลดเสียงเอ่ยเตือน ทนายความไม่ได้มีหน้าที่ฟ้องร้องทำคดีหรอกหรือ กลายมาเป็นแม่สื่อไปตั้งแต่เมื่อไร
“ได้ๆ ฉันปิดปาก ขอไปเลือกเพลงก่อนนะ เอาเพลงที่เธอชอบร้องที่สุดที่ชื่อความรักกับการค้าขายแล้วกัน โอเคไหม?”
“……”
หน้าของเฉียวชูเฉี่ยนขึ้นสีเล็กน้อย เธอแทบอยากจะหยิกเพื่อนของเธอให้ตายไปเสียเหลือเกิน เพื่อนเธอขึ้นชื่อเรื่องการร้องเพี้ยนมาก ปกติจะมาร้องระบายความเครียดเฉยๆ ตอนนี้คิดจะมาร้องเพลงต่อหน้าคนจำนวนมากแบบนี้ หรือเหยียนสือเซี่ยมีความแค้นอะไรกับคนพวกนี้ ถึงยืมมือเธอลอบสังหารพวกเขา
พอผ่านไปได้สิบนาทีกว่าๆ บรรยากาศขัดเขินก็ลดลงไปไม่น้อย แม้เพื่อนร่วมงานของ
เหยียนสือเซี่ยจะมาในชุดสูท รองเท้าหนัง แต่กลับเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ทำให้เธอค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่เธอจะไม่ร้องเพลงโดยเด็ดขาด
เฉียวชูเฉี่ยนดื่มไปเยอะจึงลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยนะ”
“ไปด้วยกันดีกว่า ป้องกันเธอเนียนหาห้องคาราโอเกะไม่เจอแล้วหลบหนีไป”
เหยียนสือเซี่ยก็ลุกขึ้นยืน เราสองคนเดินไปทางห้องน้ำ
ณ ทางเดินภายใน KTV ได้มีชายแต่งชุดแปลกตาทำท่าทำทางส่อพิรุธจำนวนสองสามนาย คนที่เป็นหัวหน้ามีรอยบากสีน้ำตาลยาวสี่ถึงห้าเซนติเมตรอยู่บนใบหน้า เป็นที่น่าเกรงกลัวต่อผู้ที่พบเห็น
“มากันครบหรือยัง? คุยกันแล้วว่าจะยื่นหมูยื่นแมว ดังนั้นอย่าให้เขามาหลอกพวกเราได้”
ชายผู้มีรอยบากบนใบหน้าถือกล่องโลหะเล็กๆ ใบหนึ่งอยู่ในมือ ใบหน้าบ่งบอกอาการร้อนใจ
“ลูกพี่วางใจได้ ไม่พลาดแน่นอนครับ ผมทำความคุ้นเคยกับ KTV นี่ไว้หมดแล้ว” ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างมั่นใจออกมา หากการค้าในวันนี้ประสบความสำเร็จ พวกเขาจะไม่ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องปากท้องไปตลอดทั้งปี
“ไอ้ตดหมา กูรู้สึกอย่างกับว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักอย่างว่ะ” คนที่ถูกเรียกว่าลูกพี่สบถออกมา คิ้วเขาขมวดไม่ยอมหยุด เขาทำงานประเภทนี้มาหลายปีแล้ว ลางสังหรณ์เขาไม่เคยพลาดมาก่อน
ขณะที่กำลังคิดจะยกเลิกการค้าและถอนกำลังออกจากพื้นที่ เขาก็ได้เห็นลูกน้องตัวเองวิ่งมาจากริมถนนด้วยอาการรีบร้อน “ลูกพี่ไม่ดีแล้ว มีคนไปแจ้งความ ตอนนี้ตำรวจล้อม KTV ไว้หมดแล้ว ตอนนี้พวกเราหนีกันก่อนดีกว่าไหมครับ?”
“ไอ้โง่! พกยาเสพติดวิ่งออกไปก็ไม่รอดนะสิ เอาของไปเคลียร์ในห้องน้ำเสียก่อน”
เมื่อลูกพี่ได้ยินเช่นนี้ รอยบากบนใบหน้าก็ยิ่งดูสยดสยองมากขึ้น เขาก็บอกอยู่ว่าลางสังหรณ์เขาไม่เคยพลาด เขารู้สึกได้ว่าวันนี้จะล้มเหลว
“เอาลงชักโครกหมดเลยหรือครับ?” ลูกน้องที่ตามมารู้สึกเสียดาย ของพวกนี้มีมูลค่าสูงมาก ถ้าเอาลงชักโครกไปแบบนี้ แค่คิดพวกเขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว
“มึงทำวงการนี้วันแรกหรืออย่างไร จะเอาเงินหรือเอาชีวิตรอดกันล่ะ เร่งมือหน่อย!”
ลูกน้องถูกเตะอย่างแรงไปที จึงรับกล่องจากลูกพี่แล้ววิ่งไปทางห้องน้ำอย่างเร็ว
เฉียวชูเฉี่ยนและเหยียนสือเซี่ยเดินออกมาจากห้องน้ำ “บอกก่อนนะ คราวหน้าถ้ามีงานแบบนี้อีก อย่าหลอกให้ฉันมาอีกนะ”
“กลับประเทศมาคราวนี้ ถ้าหากเธอคิดจะไปให้ถึงเป้าหมายของเธอเอง ก็ต้องผูกมิตรให้มากๆ หน่อย ถึงจะมีลู่ทางมากขึ้นในภายหลัง
“ฉันรู้ว่าเธอทำเพื่อฉัน ขอบใจนะ”
ตระกูลเฉียวเป็นเลือดเนื้อทั้งชีวิตของคุณพ่อและคุณแม่ เจ็ดปีก่อนเธอไม่มีความสามารถ ถึงได้ถูกผู้อื่นฮุบสมบัติไปต่อหน้าต่อตา ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอตั้งใจศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่ที่ต่างประเทศ จุดประสงค์ก็เพื่อจะฟื้นฟูตระกูลเฉียวและดึงกลับมา
“จะมาขอบคุณฉันทำไมกันเล่า”
เหยียนสือเซี่ยกลอกตาบน จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องน้ำไป แต่ยังเดินไปได้ไม่ทันไร เธอก็ถูกชายคนหนึ่งวิ่งมาชนไหล่อย่างรีบร้อน
“ทำไมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะคะ?”
เฉียวชูเฉี่ยนเจ็บปวดที่ไหล่ จึงเอามือกดๆ นวดๆ จุดที่ถูกชน ถึงธรรมชาติจะเรียกร้องขนาดไหน ก็ต้องเดินดูคนบ้างสิ
เธอรอให้อีกฝ่ายกล่าวคำขอโทษเพื่อให้เรื่องจบ แต่กลับเห็นแววสังหารในดวงตาเขาแทน
“จับผู้หญิงสองคนนี้เอาไว้”
เธอสังเกตชายที่กำลังเอ่ยปากพูดอย่างละเอียด รอยบากบนใบหน้าเขาดูน่ากลัวมาก โดยเฉพาะแววตานั่น ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี
“พวกคุณจะทำอะไรคะ?” เหยียนสือเซี่ยดันตัวเฉียวชูเฉี่ยนมาด้านหลังตัวเธอเองเพื่อปกป้อง
“เธอก็ลองพูดออกมาดูสิว่าพวกเราคิดจะทำอะไร อย่าพูดมาก ตั้งใจฟังคำสั่งของพวกเราไว้จะดีกว่านะ ไม่แน่ฉันอาจจะปล่อยพวกเธอออกไป พวกแกกี่คนรีบเอาของไปเคลียร์ให้เรียบร้อยซะ”
ชายที่มีรอยบากพูดไปทางเหยียนสือเซี่ย จากนั้นก็เร่งลูกน้องสองสามคนที่อยู่ข้างๆ
ถึงอย่างไรเหยียนสือเซี่ยก็เป็นทนายความ แม้จะทำแต่คดีฟ้องหย่า แต่ก็พอมีความรู้เกี่ยวกับคดีผิดกฎหมายอยู่บ้าง เธอจึงรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้กำลังจะทำอะไร
KTV แห่งนี้เป็นคลับระดับสูงอันดับหนึ่งของเมืองซั่นเป่ย สิ่งแวดล้อมดีๆ เช่นนี้จึงมีคนเหล่านี้มาทำการค้ากัน
และตอนนี้เองได้มีเสียงจากภายนอกดังเข้ามาพิสูจน์การคาดเดาของเธอ “พวกค้ายาฟังให้ดี พวกนายถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว อย่าขัดขืนจะดีที่สุด ขอเพียงพวกนายยอมให้ความร่วมมือกับทางตำรวจ เราจะพิจารณาลดโทษให้พวกนายตามความเหมาะสม”
เฉียวชูเฉี่ยนใจเต้นตึกตึก พ่อค้ายากำลังถูกไล่กวดอยู่จริงๆ ด้วย จะแจ็คพอตอะไรปานนี้ เธอพยายามทำใจให้สงบ หวังจะเกลี้ยกล่อมผู้ชายกลุ่มนี้ให้สำเร็จ “พวกคุณจับเราสองคนมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ สู้ปล่อยพวกเราไป พวกเราจะทำเป็นไม่รู้เรื่องแน่นอนค่ะ”
แต่เหมือนอีกฝ่ายจะหมดหนทางหนีอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียงจับคนเป็นตัวประกันถึงจะมีโอกาสหลบหนีไปได้ “พูดให้น้อยๆ หน่อย พาไป”
บ้านตระกูลเฉิน
ฟ้ายังไม่มืดเฉินเป่ยชวนก็ขับรถมาถึงคฤหาสน์แล้ว
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว ท่านผู้หญิงกำลังรอคุณชายมาทานข้าวด้วยกันอยู่นะค่ะ” คนรับใช้รีบรับกระเป๋าเอกสารมาไว้ข้างๆ เฉินเป่ยชวนตอบรับไปคำหนึ่ง สายตามองตรงไปที่ห้องอาหาร
แต่พอเห็นว่าในห้องอาหารยังขาดไปอีกคนหนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะยังไม่กลับเข้ามา
“หลานทำไมกลับมาคนเดียวล่ะ ยายหนูไม่ได้มาด้วยกันหรือ?”
ท่านผู้หญิงเข้าใจว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกัน จึงไม่ได้โทรไปเร่งเร้าอะไร เธอไม่คิดว่าหลานตัวเองจะกลับมาคนเดียว
“ไม่ครับ”
เฉินเป่ยชวนถอดเสื้อคลุมออก ตอบกลับไปคำหนึ่ง จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง
เหยียนสือเซี่ยเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้สองคนนั่นอาจกำลังทานข้าวอยู่ที่ไหนสักแห่ง