ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 49 หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง
“คุณแม่ก็คิดไปซะไกล คุณแม่อยากมีเหลนสาวอีกคน ได้ถามหรือยังคะว่าเขาอยากมีกันหรือเปล่า”
เว่ยชูหรงเลิกคิ้วมองไปที่เฉียวชูเฉี่ยน เทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อนแล้วตอนนี้เธอยิ่งเกลียดผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ทันไรก็เป็นที่รักและที่โปรดปรานของท่านผู้หญิง ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าหล่อนยังพาเหลนชายซึ่งอ้างว่าเป็นคนของตระกูลเฉินกลับมาด้วย
เมื่อเห็นว่าเว่ยชูหรงตั้งใจพูดเสียดสีเฉียวชูเฉี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านผู้หญิงจึงหันไปมองหน้าแล้วบอกว่า “ถ้าเธอไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน อย่ามาพูดจาเยิ่นเย้อน่ารำคาญต่อหน้าฉันทุกวี่ทุกวันแบบนี้”
เมื่อถูกตำหนิต่อหน้าผู้ที่อ่อนวัยกว่า เว่ยชูหรงก็อับอายจนหน้าดำหน้าแดง ก่อนจะรีบหาเรื่องมากลบเกลื่อน “คุณแม่ ที่พูดนี่ไม่ใช่เพราะหนูเป็นห่วงพวกเขาสองคนหรือคะ”
“เธอไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา เป่ยชวนกับยายหนูต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขารู้หรอกว่าควรทำอะไรยังไง”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าอันจริงจังของท่านผู้หญิงก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ท่านกุมมือของเฉียวชูเฉี่ยนเอาไว้ “ยายหนู ตอนนี้ในประเทศเราเปลี่ยนกฎหมายให้มีลูกสองคนได้แล้ว ถึงเวลาที่หนูกับเป่ยชวนจะมีลูกอีกคนได้แล้วละ ตระกูลเฉินของเราก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเสียหน่อย”
“…”
“หรือว่าพวกเธอกังวลว่าพอมีลูกคนที่สองแล้วจะไม่มีใครรักและใส่ใจเจ้าคนโต วางใจเถอะน่ะ ถ้ามีใครลำเอียงรักลูกคนที่สองมากกว่าละก็ ย่าจะยกสมบัติทั้งหมดของตระกูลเฉินให้จิ่งเหยียนซะเลย”
คำพูดทีเล่นทีจริงของท่านผู้หญิงทำให้สีหน้าของเว่ยชูหรงเปลี่ยนไปแทบจะทันที ส่วนแบ่งทรัพย์สินของตระกูลเฉินของเธอซึ่งเป็นคุณนายเฉินแม้แต่นิดเดียวก็เสียไปไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องแบ่งสมบัติให้เจ้าเด็กเหลือขอที่เดิมทีไม่ใช่คนในตระกูลเฉินด้วย
เมื่อนึกถึงว่าสิ่งที่ทุ่มเททำมาตลอดด้วยความยากลำบากจะต้องสูญเปล่า เธอก็รู้สึกราวกับถูกแมวข่วนจนแทบไม่มีแรงจับตะเกียบในมือ
“หยุดพูดเล่นเถอะค่ะคุณย่า หนูหิวมากแล้ว” เฉียวชูเฉี่ยนรีบเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วคีบหมูสามชั้นตุ๋นในถ้วยเข้าปาก
ใครจะเก็บเรื่องลูกคนที่สองไปคิดอย่างไรก็ช่าง มีเพียงเธอกับเฉินเป่ยชวนเท่านั้นที่จะไม่คิดถึงมัน
“ถ้าหิวก็กินเยอะๆ กินอิ่มจะได้มีแรง”
ท่านผู้หญิงพูดจบก็ขยิบตาให้เฉินเป่ยชวน เฉียวชูเฉี่ยนที่หันไปเห็นพอดีถึงกับหน้าแดงก่ำ อย่างไรก็ตามยิ่งคุณย่าอายุมากขึ้นก็ยิ่งทำอะไรตามอำเภอใจมากขึ้น ทั้งยังพยายามเฉไฉเรื่องที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ด้วย
มุมปากของเฉินเป่ยชวนกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ “คุณย่าครับ เรื่องแค่นี้สบายมากสำหรับผม”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี สู้เขา! ย่าเอาใจช่วย”
ท่านผู้หญิงฟังแล้วก็หัวเราะอย่างชื่นบาน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เพียงแต่ยังไม่ยอมปล่อยวางปมปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในใจก็เท่านั้น ท่านไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยังทนเมินเฉยต่อกันได้หากว่าท่านยังคอยเป่าหูอยู่ข้างๆ ทุกวันแบบนี้
ตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิงและไฟที่โหมกระหน่ำ วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเผาไหม้ลุกลามเข้าด้วยกัน
หลังกินข้าวอิ่ม เฉียวชูเฉี่ยนที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองก็มีข้ออ้างขึ้นไปชั้นบน ในเมื่อถูกบังคับให้อยู่ที่บ้านตระกูลเฉิน เธอจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลบเลี่ยงเฉินเป่ยชวนให้ได้
แต่ไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือเปล่า ทันทีที่เธอเตรียมจะขึ้นไปข้างบน เขาก็ก้าวตามไปติดๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เธอจึงจงใจก้าวให้ช้าลงเพื่อให้เฉินเป่ยชวนเดินนำไปก่อน
โคมไฟที่ติดอยู่บนผนังทั้งสองด้านตรงบันไดทำให้เงาของพวกเขาเชื่อมถึงกันจนเฉียวชูเฉี่ยนอดรู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้ เหมือนในหัวมีจิตสำนึกบางอย่างที่มักจะฉายภาพสิ่งที่เคยเกิดขึ้นออกมา เป็นภาพที่ทำให้เธอเรียกความทรงจำที่สวยงามในอดีตกลับมาได้
เพราะกำลังคิดอย่างเคลิบเคลิ้มนั่นเองเธอจึงก้าวเท้าพลาดเหยียบไม่ตรงขั้นบันได ทำให้เสียการทรงตัวจนล้มลงไปข้างๆ
แม้ว่าบันไดจะไม่สูง แต่ถ้าตกลงไปจากจุดนี้ยังไงก็คงต้องมีรอยบวมช้ำเกิดขึ้นบนใบหน้ากันบ้าง
เธอป้องใบหน้าของตัวเองไว้โดยอัตโนมัติ แม้จะไม่คิดว่าตนเองเป็นคนที่ต้องใช้หน้าตาทำมาหากิน แต่เธอก็ยังรักและทะนุถนอมใบหน้าสวยๆ ที่พระเจ้าประทานให้
ในตอนที่เธอเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องล้มลงไปไปกองอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ที่แข็งแรงเอื้อมมาคว้าเอวของเธอไว้ได้ทันท่วงที
หญิงสาวไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากกระดูกที่แตกร้าว เธอกลืนน้ำลายอย่างกลัวๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้
ใบหน้าของเฉินเป่ยชวนไม่แสดงซึ่งอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าคนที่ช่วยเธอไว้ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น ทว่ามือที่กำลังโอบรอบเอวของเธออย่างแน่นหนานั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน
“ขะ… ขอบคุณ”
ริมฝีปากของเธอขยับ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเฉินเป่ยชวนคว้าเธอไว้ไม่ทัน ตอนนี้เธอคงกลิ้งลงไปกองอยู่ข้างล่างแล้ว
เห็นได้ชัดว่าคำขอบคุณที่กล่าวออกไปฟังดูขัดหูเขามากเป็นพิเศษ เขาก้มหน้ามองไปที่มือของตนซึ่งยังโอบเธอไว้แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“คราวหน้าถ้าจะล้มช่วยดูให้ดีก่อน อย่าล้มลงมาในอ้อมกอดผม”
“…” เฉียวชูเฉี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดที่น่าขันขนาดนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตอนเธอล้มเฉินเป่ยชวนเป็นฝ่ายยื่นมือมาช่วยเธอไว้เอง ทำไมจึงกลายเป็นว่าเธอล้มลงไปในอ้อมกอดของเขาซะได้
แต่ยังไม่ทันจะแก้ตัว จู่ๆ มือใหญ่ที่เอวก็คลายออก โชคดีที่เธอเอื้อมมือไปคว้าราวบันไดไว้ได้ทันท่วงที ไม่อย่างนั้นคงจะหนีไม่พ้นหายนะ ทว่ากลับไม่มีโชคเป็นครั้งที่สอง
เมื่อได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นท่านผู้หญิงก็เดินตามมาดูอย่างห่วงๆ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรครับคุณย่า เราแค่กำลังจะขึ้นไปข้างบน”
มุมปากของเฉินเป่ยชวนยกขึ้น ทว่าสายตาจับจ้องอยู่ที่เฉียวชูเฉี่ยนซึ่งยังไม่หายตกใจอยู่ข้างๆ
“เราจะขึ้นไปข้างบนจริงๆ ค่ะคุณย่า”
เฉียวชูเฉี่ยนถูกบังคับจนต้องโกหกออกไป เธอกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการตอบสนองที่รวดเร็วของตัวเอง ตอนนี้เธอคงลงไปนอนกองอยู่บนพื้นให้คนอื่นหัวเราะเยาะไปแล้ว
“อ่อๆ ขึ้นไปเถอะ กินอิ่มแล้วก็ขึ้นไปข้างบนซะไป”
ท่านผู้หญิงหรี่ตาแล้วไล่ต้อนทั้งสองคนขึ้นไปเหมือนไล่ต้อนเป็ด แทบจะอยากให้มีข่าวดีเสียในวันพรุ่งนี้
ด้วยบทเรียนเมื่อครู่นี้เฉียวชูเฉี่ยนจึงเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสาม เมื่อเฉินเป่ยชวนไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้วเธอจึงรู้สึกหายใจได้สะดวกมากขึ้น
“หม่ามี๊อยากมีลูกกับเขาอีกคนจริงๆ เหรอฮะ”
ทันใดนั้นเจ้าตัวน้อยที่ไล่ตามมาก็เอียงคอถาม
“ไม่มีทางอยู่แล้วจ้ะ”
ในดวงตาของเฉียวชูเฉี่ยนมีแววตื่นตกใจ เจ้าตัวน้อยไม่ควรต้องมีความคิดที่ไม่ดีแบบนี้
“งั้นก็ดีฮะ ผมคิดว่าผมมีน้องที่มียีนดีกว่านี้ได้”
ดีเหมือนยีนของคุณอาลู่ฉี อบอุ่นและดูดีมีความรู้ ไม่เย็นชาจนทำให้ดูน่ารำคาญเลยด้วย
“…”
“เอาละ วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า ไปทำการบ้านเร็วๆ เลย”
เมื่อไล่เจ้าตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าในหัวคิดเรื่องอะไรอยู่บ้างไปแล้ว เธอจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดสำหรับอยู่บ้านพลางนึกถึงทุกการกระทำของเฉินเป่ยชวนเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กลายเป็นคนที่คาดเดาได้ยากยิ่งกว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน
เธอสะบัดศีรษะไปมาและนอนฟุบลงบนเตียง คืนนี้คงจะนอนหลับสนิทเพราะวันนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ
เช้าวันต่อมาเฉียวชูเฉี่ยนไม่ได้ตื่นสาย แต่ว่าคุณย่ายังคงไปส่งจิ่งเหยียนตัดหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเหลือบไปเห็นรถมายบัคที่จอดอยู่ที่ลานบ้าน เธอจึงต้องเริ่มคิดแล้วว่าควรออมเงินเพื่อซื้อรถให้ตัวเองสักคันดีไหม ไม่อย่างนั้นคงต้องนั่งรถไปทำงานกับเฉินเป่ยชวนทุกวัน แค่คิดก็รู้สึกทรมานแล้ว
“ขึ้นรถ!”
คำสั่งที่เย็นชาดังลอดมาจากหน้าต่างรถ เธอจึงทำได้แค่ถือกระเป๋าแล้วเดินขึ้นรถไป
“เฉียวชูเฉี่ยน คุณย่าอายุมากแล้ว ผมเคารพความคิดของท่าน ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปคุณต้องแสดงบทบาทของตัวเองให้สมจริง ไม่อย่างนั้น…”