ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 42 ก่อกวน
“เฉียวชูเฉี่ยน คุณชอบผู้ชายคนนั้นมากละสิ!”
คำพูดซึ่งเหมือนมีดที่เฉือดเฉือนเธอจนเลือดไหลนองดังก้องอยู่ในหู ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เฉินเป่ยชวน คุณทำอะไรได้อีกบ้างนอกจากการบีบบังคับ คุณเหมือนเด็กสามขวบที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากเที่ยวก่อกวนไปทั่ว”
เธอพูดจบก็กัดริมฝีปากเบาๆ เฝ้ารอความโกรธของเขา
“เด็กสามขวบ?”
เสียงทุ้มต่ำของเฉินเป่ยชวนดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ และน้ำเสียงนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยิ่งเขาเป็นแบบนี้เธอยิ่งกลัวมากกว่าเดิม กลัวมากกว่าตอนที่เขาโมโหเสียอีก
“เฉียวชูเฉี่ยน อย่าพยายามยั่วโมโหฉัน”
น้ำเสียงเย็นชานั้นแฝงไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เฉินเป่ยชวนส่งเสียงฮึในลำคออย่างเย็นชาก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง “ฉันไม่ได้ใช้ห้องนี้นานแล้ว ให้เธออยู่ที่นี่ก็เหมาะพอดี”
เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง ภายในห้องนอนห้องนี้เธอเคยคิดอย่างมีความสุขว่ามันจะนำความสุขมาให้ตัวเธอเอง เคยคิดว่าจะมีผู้ชายที่รักเธออยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า คิดว่าพวกเขาจะเหมือนคู่สามีภรรยาทุกคู่ที่ได้มีลูกเป็นของตัวเอง มีกันสามคนพ่อแม่ลูกและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต
แต่ห้องนี้กลับมอบห้องนอนในฝันให้เธอพร้อมกับทำลายมันจนพินาศ ท้ายที่สุดความสุขที่พยายามถักทอก็ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีด้วยน้ำมือของเขาเอง
เธอเอื้อมมือไปสัมผัสหมอนที่อยู่บนหัวเตียง ขึ้นไปนอนขดตัวอยู่บนเตียงนั้น รู้สึกราวกับว่ายังมีกลิ่นอายแบบเดียวกับเมื่อเจ็ดปีก่อนหลงเหลืออยู่
เจ็บปวดแต่ยังคงเฝ้ารอ ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องลิ้มรสความเสียใจของการจากไปอย่างสิ้นหวัง
“หม่ามี๊ ผมขอนอนด้วยได้ไหมฮะ”
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง เจ้าตัวน้อยยืนกอดหมอนอยู่ที่ประตูเพราะนอนไม่หลับเนื่องจากอยู่แปลกที่แปลกทาง นอกจากนี้ยังมีคนต้องอธิบายให้เขาฟังด้วยว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงมีพ่อโผล่ขึ้นมาอีกหนึ่งคน
“ได้จ้ะ ขึ้นมาสิ”
รอยยิ้มแย้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที แล้วขยับตัวเองไปข้างๆ เพื่อเว้นที่ว่างไว้ให้
เจ้าตัวน้อยเองก็ไม่เกรงใจ กระโดดขึ้นมาบนเตียงอย่างคล่องแคล่ว “หม่ามี๊ คุณอานิสัยไม่ดีคนนั้นเป็นพ่อของผมจริงๆ หรือฮะ”
เขาไม่อ่อนโยนและไม่ผ่อนคลายเหมือนอาลู่ฉี นอกจากหล่อกว่ารวยกว่า ก็ไม่เห็นดีเท่าคุณอาลู่ฉีเลย
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเมื่อถูกถาม จึงได้แต่เงียบ
“ช่างเถอะ ผมไม่ถามละ ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว” เจ้าตัวน้อยแบะปาก ไม่บ่อยนักที่เขาจะอารมณ์ไม่ดีขนาดนี้
“จิ่งเหยียน… นอนเถอะ”
เธอตบหลังเจ้าตัวน้อยเบาๆ จนกระทั่งเขาหายใจอย่างสม่ำเสมอจึงดึงมือกลับมา
แสงไฟสลัวของโคมไฟติดผนังห้องทำให้ภายในห้องดูขมุกขมัวมากยิ่งขึ้น เฉียวชูเฉี่ยนมองความเงียบสงัดภายในห้อง แล้วภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ พร่ามัวลงทีละน้อย
พวกเขาจัดงานแต่งงานกันอย่างเงียบๆ เมื่อแปดปีที่แล้วเนื่องจากเธอยังเรียนไม่จบ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์จึงไม่ได้ประกาศให้บุคคลภายนอกรับรู้ แน่นอนว่านี่เป็นความคิดที่ไร้เดียงสาของเธอเอง บางทีเฉินเป่ยชวนอาจจะไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้เรื่องที่พวกเขาแต่งงานกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นสามเดือนหลังจากแต่งงานเขาคงไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ไยดีแบบนั้น
“เป่ยชวน กระโปรงตัวนี้สวยไหม”
ในวันครบรอบแต่งงานหนึ่งร้อยวัน เธอตั้งใจใส่กระโปรงตัวใหม่ที่ซื้อมาเพื่อทำให้เขาหันมามองเธอสักครั้ง ซึ่งเธอขอให้ลู่ฉีช่วยไปเลือกชุดแบบที่ผู้ชายชอบเป็นเพื่อนเธอเพียงเพื่อให้ถูกใจเขา
หลังจากกลับไปที่คฤหาสน์ เธอตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวตามที่เหยียนสือเซี่ยบอก เปลี่ยนไปสวมชุดกระโปรงที่เลือกมาอย่างดี เนื้อผ้าแบบซีทรูนั้นทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอแน่ใจว่าพร้อมแล้วแต่ก็ยังหยุดใช้นิ้วมือบิดที่ชายกระโปรงไปมาไม่ได้
“เป่ยชวน ฉันเลือกชุดนี้มาเป็นพิเศษเลยนะ วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานหนึ่งร้อยวันของเรา”
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเขินอาย ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าพวกเขาแต่งงานกันมาหนึ่งร้อยวันแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้ฉลองครบรอบหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เมื่อคิดว่าชีวิตตั้งแต่นี้ต่อไปจะได้มีวันพิเศษที่น่าจดจำในทุกๆ ปี ภายในใจของเธอก็มีความสุขขึ้นมาอย่างเหลือล้น
แต่เธอก้มหน้ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงของเฉินเป่ยชวน พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับสายตาที่ว่างเปล่าทว่าเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของเขา
“เป่ยชวน…”
“เธอคิดว่าชุดนี้ดูสวยในสายตาของผู้ชายแล้วหรือ?”
“คุณไม่… คุณไม่ชอบหรือ?”
เฉียวชูเฉี่ยนพยายามข่มหัวใจไม่ให้เต้นแรง เธอพูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอเองก็ชอบชุดนี้มากๆ
“ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยสักนิดว่าฉันชอบสไตล์ไหน งั้นวันนี้ฉันจะบอกให้รู้ก็แล้วกันว่าฉันชอบผู้หญิงที่สวมชุดอะไร”
“เธอไม่อยากรู้เหรอว่าฉันชอบสไตล์ไหน ไม่อยากฉลองครบรอบหนึ่งร้อยวันกับฉันหรือ แน่นอนว่าฉันกำลังจะบอกเธอ กำลังจะรำลึกถึงวันดีๆ นี้ร่วมกันกับเธอไงละ”
น้ำเสียงที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มนั้นคล้ายกับมีดที่บางและแหลมคมซึ่งกรีดเบาๆ บนร่างกายของเธอจนเกิดบาดแผล เป็นแผลที่ไม่ใหญ่ แต่ทว่าเจ็บปวดเป็นที่สุด
เธอท้องจิ่งเหยียนในคืนนั้น
เธอเอื้อมมือไปกอดเจ้าตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนซีดเผือด แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่ความทรงจำนั้นหวนกลับมาทำร้ายโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เธอจะยังมีอาการเจ็บปวดที่ควบคุมไม่ได้ เหมือนกับว่าภายในร่างกายเกิดอาการชักกระตุกด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
“หม่ามี๊ เขาเป็นคนนิสัยไม่ดี อย่าให้เขามาเป็นพ่อนะฮะ”
ทันใดนั้นเจ้าตัวน้อยที่กำลังหลับก็ละเมอออกมา ทำให้นิ้วอันเรียวยาวของเธอสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เฉินเป่ยชวนเป็นคนไม่ดีจริงๆ
ลำคอของเธอแห้งผากเล็กน้อยเพราะความทรงจำที่เจ็บปวดนั่น เธอลุกขึ้นอย่างเฉื่อยชาไปเปิดประตู พอดูจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่เจอเฉินเป่ยชวนจึงเดินลงไปที่ชั้นล่าง
ถึงอย่างไรเธอก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน แม้จะผ่านมาถึงเจ็ดปีเธอก็ยังคุ้นเคยกับมันและเดินไปถึงห้องครัวได้อย่างง่ายดาย เธอรินน้ำอุ่นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ขณะที่กำลังจะดื่มน้ำให้ชุ่มคอก็ได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นใกล้ๆ