ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 39 อบรมศีลธรรม
ผู้ปกครองที่กำลังรับลูกอยู่พากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ต่างดึงลูกของตนให้หมอบลงกับพื้นตามสัญชาตญาณเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่จะตามมา ราวกับว่าพวกเขาเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“หนูเป็นคนแจ้งความใช่ไหม?” ตำรวจนายหนึ่งที่น่าจะเป็นหัวหน้าของตำรวจกลุ่มนี้เดินไปหาเจ้าตัวน้อย
"ใช่ฮะ ตรงนั้นไง"
เจ้าตัวน้อยชี้ไปที่รถมายบัคซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นและรอดูเหตุการณ์อย่างสงบ คุณอานิสัยไม่ดีคนนั้นบังคับและขังหม่ามี๊ของเขาไว้ในรถจนเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วจริงๆ
คนนิสัยไม่ดีต้องโดนคุณลุงตำรวจจัดการ
หัวหน้าตำรวจมองรถมายบัคที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างในด้วยแล้ว เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าวันนี้เขาถูกเด็กน้อยคนนี้หาเรื่องซวยมาให้เสียแล้ว
“คุณเฉิน”
เจ้าตัวน้อยยังคงรอดูเหตุการณ์ที่คนนิสัยไม่ดีจะถูกตำรวจจับไปลงโทษตามกฎหมาย แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่เฝ้ารอจะกลายเป็นว่าคุณลุงตำรวจคนนั้นก้มหัวคำนับคนนิสัยไม่ดีอย่างนอบน้อม ทำให้โลกใบเล็กๆ ของเขาพังทลายลงในชั่วพริบตา ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าตำรวจที่เขาเรียกมานั่นไม่ใช่ตำรวจปลอม ไม่เพียงเท่านั้น ตำรวจที่อยู่ข้างๆ ยังมาอบรมเรื่องศีลธรรมกับเขาด้วย
“เด็กน้อย ต่อไปอย่าหาเรื่องเล่นสนุกกับพวกลุงอีกนะ พ่อแม่ของหนูอยู่บนรถมารอรับหนูเลิกเรียน หนูล้อเล่นด้วยการเรียกตำรวจมาแบบนี้มันไม่ถูกนะ”
"…"
เจ้าตัวน้อยรู้สึกมึนงงราวกับว่ามีอีกากลุ่มหนึ่งบินผ่านหน้าเขาไป เดี๋ยวก่อน… พ่อแม่ของใครนะ
หม่ามี๊คือแม่ของเขา แล้วพ่อล่ะคือใคร?
ในตอนนั้นเฉินเป่ยชวนเพิ่งเปิดประตูและก้าวขาอันเรียวยาวลงมาจากรถ บุคลิกที่น่าเคารพนับถือและมีเกียรตินั้นทำให้ผู้คนยากที่จะปฏิเสธ "เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"
“เข้าใจแล้วครับ เป็นแค่การเล่นซนของลูกชายของคุณเฉินเท่านั้น”
หลังจากหัวหน้าตำรวจแจ้งให้ลูกน้องของตนทราบ ตำรวจทุกคนก็รีบกลับขึ้นรถ พวกเขาคือตำรวจของซั่นเป่ยแต่กลับถูกล้อเล่นต่อหน้าผู้คนมากมาย และที่น่าเศร้าที่สุดก็คือพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะตำหนิเขาเลยสักนิด หลังจากนี้สถานีตำรวจแห่งนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หลังจากรถตำรวจขับออกไป เฉินเป่ยชวนก็มองไปที่เด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้จะเรียกตำรวจมาจับเขา!
เรื่องตลกนี้ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนทั้งอยากร้องไห้ทั้งและอยากหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน พอเห็นเจ้าตัวน้อยมองมาที่เธออย่างไม่พอใจจึงโน้มศีรษะลงมาทันที เธอจะบอกจิ่งเหยียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเฉินเป่ยชวนอย่างไรดี
"ต่อไปอย่าเอารถแพงๆ แบบนี้มารับผมอีกนะ แค่แท็กซี่ธรรมดาๆ ก็พอแล้ว"
"…"
เมื่อรู้ว่าเจ้าตัวน้อยกำลังแสดงความไม่พอใจ เธอจึงดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอด “จิ่งเหยียนลูกรัก วันนี้มีคุณย่าท่านหนึ่งอยากพบหนู หนูไปพบท่านกับหม่ามี๊หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
เจ้าตัวน้อยจ้องมองเฉียวชูเฉี่ยนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองเฉินเป่ยชวน "ยังไงก็ได้ฮะ"
เด็กน้อยตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ เฉียวชูเฉี่ยนจูงมือเขาขึ้นรถ ขณะที่เฉินเป่ยชวนกำลังจะสตาร์ทรถและมุ่งหน้าไปยังบ้านเก่าของตระกูลเฉิน เขาก็ได้ยินเสียงเจ้าตัวน้อยที่นั่งอยู่เบาะหลังพูดขึ้นมาว่า "นายคนขับ ขับรถช้าๆ นะ ผมเกลียดเสียงดังของคันเร่งมากๆ”
"…"
มุมปากของเฉินเป่ยชวนกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยไม่คิดว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้จะเรียกเขาว่าคนขับรถ!
เรื่องตลกนี้ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนอารมณ์ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉินเป่ยชวนระบายความโกรธออกมาไม่ได้ เธอก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
ในบ้านเก่าของตระกูลเฉิน ท่านผู้หญิงเดินไปมองที่ประตูรั้วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เฝ้าดูอยู่นานก็ยังไม่เห็นรถของหลานชายเสียที ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเธอจึงเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมเป่ยชวนยังไม่พายายหนูกับเหลนของฉันกลับมาสักทีนะ?”
ภายในใจของเว่ยชูหรงที่ถูกตบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้จัดการกับนังผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเฉียวชูเฉี่ยน เฉินเป่ยชวนก็แถลงข่าวยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาเสียก่อน แถมยังมีลูกชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ลองคิดดูว่าเธอจะอัดอั้นตันใจแค่ไหน
"คุณแม่จะกังวลอะไรนักคะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครบางคนไม่กล้าพาลูกกลับมาเพราะปกปิดทุกอย่างมาตั้งหลายปี”
"เธอหุบปากไปซะ"
เมื่อท่านผู้หญิงได้ยินคำพูดของเว่ยชูหรง ใบหน้าที่ดูใจดีมีเมตตาเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที "ฉันดูออกว่าคุณไม่ชอบหน้าเฉี่ยนเฉียน เมื่อก่อนก็ชอบเพ่งเล็งเธอ ตอนนี้เฉี่ยนเฉียนพาเหลนของฉันกลับมาอย่างยากลำบาก เธอก็ยังไม่ประพฤติตัวให้ดีขึ้น ฉันขอเตือนเธอเลยนะว่าอย่าให้ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรที่ไม่ดีอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยกโทษให้เธอเด็ดขาด"
"คุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงกล่าวโทษหนูแบบนี้ล่ะคะ หนูแค่พูดเพราะหวังดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนสูงวัยอย่างคุณแม่จะอยากเห็นหน้าเหลน แต่ในกรณีนี้มันไม่ค่อยดีกับเป่ยชวนนะคะ ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ถ้าหากฝ่ายหญิงจงใจใช้เรื่องแบบนี้มาหลอกลวงเขาล่ะ”
เว่ยชูหรงแอบด่ายายแก่หนังเหนียวอยู่ในใจ ในขณะที่ภายนอกกลับแสดงสีหน้าที่น่าเอ็นดู ยายแก่หนังเหนียวคนนี้เอาแต่ดูถูกเธอมาตลอด ตอนเธอยังเป็นสาวก็ด่าว่าเธอเป็นนังจิ้งจอกที่เข้ามาล่อลวงลูกชายของหล่อน ในตอนนี้เธอจำต้องเสแสร้งทำเป็นเชื่อฟังเพราะไม่มีคนคอยหนุนหลังอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงสามีที่ล่วงลับไปแล้วเธอก็ยิ่งคับแค้นใจ ช่วงชีวิตวัยสาวของเธอถูกผู้ชายคนนั้นผลาญไปหมด แต่ก็ดีที่ก่อนตายเขามอบทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเฉินให้ท่านผู้หญิงดูแล ไม่อย่างนั้นเธอกับลูกชายคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
"อีกสักพักยายหนูกับเหลนก็คงมาถึง ถ้าเธอยังกล้าพูดแบบนี้อีกก็จงระวังไว้เถอะ ฉันจะให้เธอขนของออกจากบ้านไปเลยตั้งแต่วันพรุ่งนี้"
ท่านผู้หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เว่ยชูหรง… อย่าคิดนะว่าท่านจะไม่รู้ว่าวันๆ เธอคิดอะไรบ้าง แม้ว่าท่านผู้หญิงจะไม่ชอบเธอ แต่ท่านก็ยังรักและทะนุถนอมหลานชายเหมือนๆ กัน แม้ว่าจะมีความลำเอียงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากน้อยไปกว่ากันมากนัก
แต่สำหรับเว่ยชูหรงนั้นวันๆ เอาแต่สนใจแต่เรื่องทรัพย์สมบัติเพราะกลัวว่าเธอกับลูกชายจะไม่ได้รับส่วนแบ่งของตระกูลเฉิน
เมื่อนึกถึงว่าครอบครัวของเธออาจจะต้องเกิดความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สมบัติเหมือนครอบครัวอื่นที่มีฐานะเธอก็ปวดหัวขึ้นมา จึงเลิกสนใจเว่ยชูหรงแล้วตรงไปที่ห้องครัวเพื่อให้หัวหน้าพ่อครัวอุ่นอาหาร เพื่อที่ว่าอีกสักพักเมื่อพวกเขามาถึง อาหารจะได้ไม่เย็นไปเสียก่อน
รถมายบัคขับมาถึงบ้านหลังเก่าของตระกูลเฉินด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้า เจ้าตัวน้อยที่กระโดดลงจากรถมาก่อนแบะริมฝีปากเล็กๆ ของออกแล้วทำหน้างอเง้า "รถหรูซะเปล่าไม่เห็นจะดีเลย ขับนานๆ ปวดก้นไปหมด"
"หม่ามี๊อย่าลืมจ่ายเงินล่ะ ต่อไปอย่าเสียเงินเรียกรถที่ดูสวยแต่ขับแย่แบบนี้อีกนะฮะ"
"…"
เฉินเป่ยชวนที่ลงจากรถพร้อมคนที่อยู่ข้างหลังแทบจะเลิกคิ้วหลังจากฟังจนจบ เจ้าเด็กเหลือขอนี่ช่างพูดจาประชดประชันได้ทุกประโยคจริงๆ
ใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนปรากฎรอยยิ้มและเดินทิ้งระยะห่างจากเฉินเป่ยชวนโดยสัญชาตญาณ ทว่าขณะที่กำลังพาเจ้าตัวน้อยเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นไหล่ของเธอก็ถูกมือใหญ่เอื้อมมาโอบไว้
“อย่าลืมหวานใจในวัยเด็กของคุณล่ะ”
เขาโน้มตัวไปกระซิบขู่ที่ข้างหูของเธอเบาๆ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนตัวแข็งทื่อ ความโกรธพุ่งพล่านอยู่ในใจ แต่ทว่าเธอทำได้เพียงข่มมันเอาไว้
ให้ตายเถอะ เธอทำให้ลู่ฉีเสียเวลาเพราะความเห็นแก่ตัวมาเจ็ดปี เธอจะปล่อยให้ตระกูลฉีของเขาได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์นี้ของเธออีกไม่ได้
"โอ้… ในที่สุดพวกเธอกลับมาเสียที"
ท่านผู้หญิงเดินไปที่ประตูทันทีที่ได้ยินเสียงรถ แล้วเธอก็เห็นภาพของพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้ามาด้วยกันอย่างกลมเกลียว
"สวัสดีฮะคุณย่า"
“เรากลับมาแล้วครับคุณย่า”
เสียงของคนตัวเล็กและคนตัวโตเอ่ยขึ้นมาเกือบจะพร้อมเพรียงกัน เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วและจ้องมองเจ้าเด็กเหลือขอข้างๆ ที่จู่ๆ ก็เรียกย่าของเขาว่าย่าขึ้นมา