ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 28 โลกของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจหรอกจ๊ะ
ได้ยินลูกชายพูดสำนวนยากๆ เช่นนี้ออกมาได้ สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนก็อดทั้งแปลกใจและดีใจขึ้นมาไม่ได้
“ลูกชายแม่ใช้สำนวนที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ด้วย”
“อยู่แล้วครับ ผมยังรู้ว่าหมายถึงอะไรอีกด้วยนะครับ” อาการหดหู่ใจเมื่อกี้นี้ราวกับมลายหายสูญไป เจ้าตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
“จริงหรือ? งั้นหม่ามี๊จะตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเลย” เฉียวชูเฉี่ยนวางตะเกียบลง ไม่รีบร้อนที่จะทานต่อ เธอรอฟังเจ้าตัวน้อยอธิบายความหมายของสำนวนนี้อย่างตั้งใจ
“ก็หมายความว่าแม้จะมีอาหารที่เอร็ดอร่อยน่าทานเป็นพิเศษก็ทำเป็นมองไม่เห็น ถึงจะมองเห็นก็ไม่คิดจะทาน เช่นนี้จึงเรียกว่าทำลายล้างตามอำเภอใจ ก็เหมือนคุณอาลู่ฉี หากไม่ตอบคำรับขอแต่งงานของคุณอาก็คือการทำลายล้างตามอำเภอใจ วันหนึ่งหม่ามี๊จะต้องเสียใจครับ”
“……”
คำอธิบายแบบนี้ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก เหมือนเจ้าตัวน้อยจะยังถือสาที่เมื่อวานเธอไม่ตอบรับคำขอแต่งงานของลู่ฉีออกไป
“แม่เคยบอกลูกแล้วว่า โลกของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจหรอกจ๊ะ ลูกคิดว่าการแต่งงานของคนสองคนหมือนกับการเล่นเกมพ่อแม่ลูกหรือจ๊ะ?”
“บางทีผมอาจจะไม่เข้าใจ แต่ผมมีตาครับ ผมมองออกว่าใครดีกับคุณแม่ ขนาดคุณแม่มีลูกติดโตขนาดผม คุณอาลู่ฉียังไม่สนใจเลย แล้วแบบนี้ไม่เรียกว่ามีความจริงใจหรือครับ?”
หากเลือกได้เขาก็ไม่คิดจะหาคุณพ่อเลี้ยง แต่คุณอาลู่ฉีเป็นผู้ชายดีๆ ที่แทบไม่มีข้อเสียเลย
ในฐานะที่เขาเป็นลูกกตัญญูย่อมไม่อยากให้หม่ามี๊ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิต หากมีผู้ชายดีๆ ซักคนปรากฎตัวขึ้น เขาก็ยินดีที่จะรับเป็นคุณพ่อเลี้ยง
“ใครบอกล่ะว่าลูกเป็นลูกติด ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของหม่ามี๊ต่างหาก”
เมื่อได้ยินว่าลูกชายเปรียบตัวเองเป็นลูกติด เฉียวชูเฉี่ยนก็รีบพูดแก้ทันที ถึงชั่วชีวิตนี้เธอจะไม่ได้แต่งงานและสร้างครอบครัวใหม่อีก แต่จิ่งเหยียนก็ไม่ใช่ลูกติดสำหรับเธออยู่ดี
“เอาล่ะ ผมไม่พูดแล้วโอเคไหมครับ?”
ด้วยรู้ว่าหากพูดต่อไปก็มีแต่จะทำให้คุณแม่เสียใจ เจ้าตัวน้อยจึงขยับตะเกียบและจิ้มอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที
มองด้วยสายตาอาจจะไม่น่าทานเหมือนไก่ทอด แต่หน้าตาโดยรวมยังใช้ได้อยู่ โดยเฉพาะกลิ่นหอมที่เตะจมูกเขามาก่อนหน้านี้แล้ว
สีหน้าเฉียวชูเฉี่ยนฉายชัดถึงความดีใจที่ได้เห็นเขายอมทานอาหารดีๆ ในที่สุด ขณะที่กำลังจะเรียกพนักงานเพื่อสั่งไอศกรีมมาเป็นของรางวัล เธอก็มองเห็นสุภาพสตรีสูงวัยท่านหนึ่งเดินเข้ามาจากทางประตู และทำหน้าประหลาดใจขึ้นมา เธอคิดจะก้มศีรษะทำทีเป็นมองไม่เห็นแต่ไม่ทันการเมื่ออีกฝ่ายมองเห็นเธอเสียแล้ว
เว่ยชูหรงที่เพิ่งเดินเข้ามาชอบนั่งริมหน้าต่างเป็นที่สุด จึงเห็นเฉียวชูเฉี่ยนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไปด้วย เธอผู้แต่งหน้ามาอย่างพิถีพิถันและสวยงามจ้องมองมาด้วยความแปลกใจ แต่เพียงไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นคำพูดหยอกล้อแกมเหยียดหยาม อารมณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ได้ลดลักษณะที่ดูสุภาพเยือกเย็นของสุภาพสตรีสูงวัยท่านนี้ให้น้อยลงในพริบตา
“คุณหญิงเฉิน วันนี้ท่านมาคนเดียวหรือขอรับ?”
ทันใดนั้นผู้จัดการประจำห้องโถงใหญ่ก็เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แม้เว่ยชูหรงจะเป็นเมียน้อยและตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นหญิงม่ายเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสกุลเฉินอยู่ดี จึงมิอาจทำให้ขุ่นเคืองใจได้
เว่ยชูหรงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ายิ้มออกมา “ถูกค่ะ มาคนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญด้านนี้ ที่เดิมขอรับ”
ในเมื่อเจอหน้ากันแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนก็ไม่คิดจะหลบหนีอีกต่อไป หากเป็นเมื่อเจ็ดปีก่อนจะอย่างไรเธอก็ต้องยืนขึ้นมากล่าวคำทักทาย แต่ดูจากสถานะในตอนนี้แล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น
เว่ยชูหรงเดินตามหลังผู้จัดการ แต่ขณะที่เท้าของเธอก้าวมาถึงโต๊ะแล้ว เธอก็หยุดเดิน
“คุณหญิงเฉินขอรับ?”
“คุณไปทำธุระก่อนเถอะ ฉันบังเอิญเจอคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วนะค่ะ”
พอเว่ยชูหรงกล่าวด้วยสีหน้าอันเย่อหยิ่งออกไป ผู้จัดการก็รีบหลบฉากไปในทันที หยั่งกับเขาชอบปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างนั้นล่ะ
“บังเอิญเสียจริง ไม่คิดว่าพวกเราจะได้มาเจอกันอีกในที่แบบนี้” เว่ยชูหรงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มจอมปลอมนั่นแม้แต่เจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็ยังมองแล้วไม่สบายตา คุณย่าท่านนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี
เจ้าตัวน้อยที่ดูเหมือนจะไม่ได้สำคัญอะไรกลับดึงดูดสายตาเธอในทันที เว่ยชูหรงมองเห็นใบหน้าที่ละหม้ายคล้ายเฉินเป่ยชวนนั่น เธอก็สูดลมหายใจขึ้นมา หรือเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเฉินเป่ยชวน
เฉียวชูเฉี่ยนรู้ตัวก็ขยับมาปิดกั้นการมองเห็นของเธอ “ใช่ค่ะ เมืองซั่นเป่ยดูเล็กไปเสียแล้วนะคะ”
“เด็กคนนี้……”
คิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องถามถึงจิ่งเหยียน เธอจึงยิ้มออกมา “หากคุณป้าเว่ยสงสัยก็ลองถามเฉินเป่ยชวนดูก็ได้ว่าใช่ลูกของเขาหรือไม่นะค่ะ”
เว่ยชูหรงผงะไปพักหนึ่ง หากเด็กคนนี้เป็นลูกของเฉินเป่ยชวน เฉียวชูเฉี่ยนคงไม่กล้าพูดออกมาแบบนี้แน่ และคงไม่ถึงขนาดที่จะต้องหย่ากัน เมื่อคิดได้ดังนั้น พอมองดูเจ้าตัวน้อยอีกที ก็รู้สึกไม่ค่อยเหมือนกันแล้ว
“เฮ้อ มีบางคนเกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่ไม่ได้สูงส่งอะไรเหมือนอย่างเธอ อุตส่าห์ได้นับญาติกับตระกูลที่ทั้งรวยและมีอิทธิพลอย่างตระกูลเฉิน แต่ก็มาพังพินาศภายในเวลาไม่นาน เธอเนี่ยนะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะไต่เต้าขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ แต่สุดท้ายกลับตกอับตกต่ำลงถึงขนาดต้องโดนไล่ออกจากบ้านไป”
เมื่อได้ยินคำพูดค่อนขอดกระแนะกระแหน เฉียวชูเฉี่ยนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คำพูดเจ็บแสบของเว่ยชูหรงดูจะร้ายกาจกว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว
ขณะที่เธอกำลังคิดหาคำพูดเหมาะๆ มาแก้เผ็ด เจ้าตัวน้อยข้างๆ ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
คุณย่าครับ ปกติคุณย่าชอบเคี้ยวหมากฝรั่งยี่ห้ออะไรหรือครับ?”
เว่ยชูหรงถูกถามขึ้นมาก็ผงะไปซักพัก เธอมองเจ้าตัวน้อยที่ตัวประมาณข้อศอกเธอเพียงเท่านั้นอย่างสงสัย “หนูถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน?”
ปกติเธอไม่ชอบทานของราคาถูกอย่างหมากฝรั่งเสียหน่อย
“ผมว่าคุณย่าเหมาะที่จะทานยี่ห้อ Stride มากครับ ที่มีคำโฆษณาว่า ยังมีกลิ่นปากอยู่อีกไหม? คงหยุดทานยี่ห้อนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นหมากฝรั่งทั่วไปคงช่วยอะไรคุณไม่ได้เสียแล้ว”
ด้วยท่าทีการตอบที่จริงจังของเจ้าตัวน้อยทำให้เธอมึนงงไปชั่วขณะ กระทั่งมาเห็นเฉียวชูเฉี่ยนกำลังกลั้นเสียงหัวเราะอยู่ เธอถึงเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าตัวเหม็นน้อยนี่กำลังบอกว่าเธอปากเหม็นหรือ!
“เจ้าตัวเหม็นน้อยนี่”
เธอชี้นิ้วอันสั่นเทาอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่จมูกของเจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยจ้องกลับด้วยสายตาที่เย็นชา “ถ้าผมคือเจ้าตัวเหม็นน้อย คุณย่าก็ต้องเป็นคุณย่าตัวเหม็นมากสิครับ อีกอย่างตอนผมยังเด็กมากๆ ก็รู้แล้วว่าไม่ควรชี้นิ้วพูดจากับผู้อื่น เพราะนั่นเป็นการแสดงออกของผู้ไม่มีการศึกษา คุณป้าไม่รู้หรือครับ?”
เจ้าตัวน้อยถามกลับด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง แต่สายตายังแฝงอาการยั่วยุและเย้ยหยันอยู่เบาๆ หม่ามี๊ของเขาจะให้ผู้อื่นมารังแกได้อย่างไร
“เจ้าหนูนี่……”
เว่ยชูหรงเคยถูกทำให้โกรธเยี่ยงนี้เสียที่ไหน ใบหน้าเธอทั้งแดงทั้งขาวซีด เธอยื่นมือจะไปจับแขนเจ้าตัวน้อย แต่ถูกเฉียวชูเฉี่ยนขวางเอาไว้
“คุณหญิงเฉินคงไม่คิดจะตีลูกชายฉันในที่สาธารณะสินะคะ”
เธอขมวดคิ้วขึ้น สายตาบอกความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เจ้าตัวน้อยไม่เคารพผู้สูงวัยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่คนที่พูดแดกดันเธอก่อนคือผู้หญิงคนนี้
“เฉียวชูเฉี่ยน สมกับเป็นเด็กที่เธอคลอดออกมาจริงๆ นิสัยแย่ไม่ต่างกับเธอเลยที่คิดจะใช้ใบหน้าสะสวยน่ารักเพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นที่สูง เธอไม่หัดส่องกระจกให้ดีเสียบ้างว่าตัวเองต่ำช้าจนเข้ากระดูกไปแล้ว”
“คุณว่าใครต่ำช้ากันคะ?”
ด่าผู้อื่นว่าต่ำช้าแล้วยังด่าควบสองแม่ลูกต่อหน้าลูกตัวเองเช่นนี้อีก ถึงจะอารมณ์ดีซักเพียงใดก็ไม่อาจทนได้หรอกนะ อย่าว่าแต่เธอที่อารมณ์กำลังคุกกรุ่นอยู่
เว่ยชูหรงยิ้มเยาะออกมา “จะเสแสร้งไปทำไม ฉันถามเธอหน่อยสิ เด็กคนนี้มาจากไหนกันแน่ คงไม่ใช่ว่าหลอกเฉินเป่ยชวนไม่สำเร็จ เลยสมคบคิดกับชายอื่นแล้วคลอดเด็กเถื่อนนี่ออกมาสินะ”