ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 27 เข้าโรงเรียน
เช้าวันต่อมา เธอพาเจ้าตัวน้อยไปจ่ายค่าไฟที่ บริษัท State GRID จากนั้นก็ไปทำธุระเรื่องที่สองคือ หาโรงเรียน
“หม่ามี๊ปล่อยให้ผมเป็นอิสระซักสองสามวันหน่อยไม่ได้หรือครับ?”
เจ้าซาลาเปาน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ จะอย่างไรก็น่าจะให้เขาปรับตัวเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยไปเรียนหนังสือ ได้ยินว่าการศึกษาภายในประเทศเป็นแบบยัดเยียดวิชาความรู้ที่น่ากลัวมาก ถึงขนาดสามารถบีบให้คนกระโดดตึกได้เลยทีเดียว เขายิ่งอยากยืดเวลาให้ยาวนานที่สุด
“ก็ได้ แต่แม่ไม่อาจพาลูกไปที่บริษัทได้ทุกวันนะจ๊ะ”
เธอเป็นแค่เลขาคนหนึ่ง หากพาเด็กน้อยไปบริษัททุกวันเธอต้องถูกไล่ออกในเวลาไม่นานเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็ไม่อยากให้เจ้าตัวน้อยอยู่ใกล้เฉินเป่ยชวนมากนัก เขาจะได้ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตัวน้อย
“ผมอยู่บำเพ็ญตนที่บ้านได้ครับ”
เจ้าซาลาเปาน้อยแสดงท่านินจาออกมาในทันที เฉียวชูเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับคำพูดขำขันของเขา “คิดว่าตัวเองเป็นนินจาเต่าอยู่หรือ”
“……”
“หม่ามี๊ นินจากับนินจาเต่ามันคนละแนวคิดกันใช่ไหมครับ?” เดิมทีก็คือตระกูลนักรบที่ลึกลับยากจะคาดเดาแต่กลับถูกเรียกเป็นเต่า เจ้าตัวน้อยทำปากมุ่ยแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย ดูท่าไม่อาจจะสนทนาต่อได้แล้ว
“จ้า จ้า จ้า เด็กดี โรงเรียนประถมที่นี่ไม่เลวเลยนะ ตอนหม่ามี๊เด็กๆ ก็จบจากที่นี่ล่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนบีบแก้มเจ้าเนื้อของเขา จากนั้นก็พูดไปรำลึกความหลังไปด้วย แม้ต่อมาจะเจอเรื่องโชคร้ายและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสารพัด แต่เธอก็ยังอยากขอบคุณสวรรค์อยู่ดี เพราะก่อนที่เจอเรื่องโชคร้ายและความเจ็บปวดนั่น พระเจ้าได้มอบวัยเด็กที่มีความสุขและมีอิสรเสรีที่สุดในชีวิต มอบคุณพ่อคุณแม่ที่รักและเอาใจใส่เธอสุดหัวใจ และยังมีบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งความสุขให้อีกหนึ่งหลังด้วย
“ถ้าเรียนจบระดับชั้นประถมแล้วผมจะรู้สึกภาคภูมิใจเหมือนคุณแม่แบบนี้ไหมครับ?”
“……”
พอถูกเจ้าตัวน้อยพูดหยอกใส่ เธอก็ทำได้แค่ขับรถให้เร็วขึ้นอีกนิด เจ้าตัวน้อยจะได้ปล่อยเธอให้เป็นอิสระเสียที ไม่อย่างนั้นเธอคงได้โกรธตายแน่ๆ
รถเข้ามาจอดตรงประตูเล็กอย่างรวดเร็ว เธอบอกวัตถุประสงค์ในการมากับคุณลุงยาม จากนั้นคุณลุงก็เปิดทางให้ “รถเข้ามาไม่ได้นะครับ”
“คุณลุงวางใจเถิดค่ะ ฉันไม่ได้จะขับเข้าไปค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนรีบพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จูงเจ้าตัวน้อยที่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าใดเดินไปทางห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
ผ่านมาหลายปีแล้ว อาคารเรียนถูกปรับปรุงจนดูใหม่ สิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ก็ทำให้เธอพึงพอใจมากขึ้น เธอจึงรีบซอยเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก
“ไม่ทราบท่านคือผู้อำนวยการเห่าใช่ไหมคะ?” เธอเคาะประตูก่อนเข้าห้อง จากนั้นก็กล่าวคำทักทายออกมาอย่างกะตือรือร้น
“ฉันเอง เธอคือคนที่โทรเข้ามาติดต่อเรื่องเข้าเรียนที่แซ่เฉียวอะไรซักอย่างใช่ไหม?”
“เฉียวชูเฉี่ยนค่ะ”
สมัยก่อนคุณพ่อเคยบอกไว้ว่ามีอยู่สองเรื่องที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของท่าน คือการมีลูกสาวเช่นเธอ และได้ตั้งชื่อนี้ซึ่งหากผู้ใดได้ยินชื่อแล้วก็จะไม่มีวันลืม แต่พอผู้อำนวยการโรงเรียนท่านนี้พูดออกมาทำไมเหลืออยู่แค่เฉียวอะไรซักอย่างไปเสียล่ะ
“พาเด็กมาด้วยหรือไม่คะ?”
ผู้อำนวยการโรงเรียนดันแว่นตาของเธอขึ้น จากนั้นก็มองเจ้าตัวน้อยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหนึ่งรอบประหนึ่งเครื่อง X-Ray
“ใช่ค่ะ เขาชื่อเฉียวจิ่งเหยียนค่ะ” เธอดันเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ ขึ้นหน้า เตรียมจะแนะนำตัวลูกชายซักสองสามประโยค อยากให้ผู้อำนวยการได้มีภาพประทับอยู่ในใจ แต่ไม่คิดว่าผู้อำนวยการเห่าจะชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “แซ่ตามแม่หรือ?”
“อืม ใช่ค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนทำได้เพียงพยักหน้า เธอหิ้วท้องโตออกจากชีวิตของเฉินเป่ยชวน ออกจากเมืองซั่นเป่ย แล้วจะให้ลูกเธอใช้นามสกุลเฉินของตระกูลเฉินได้อย่างไร
ผู้อำนวยการโรงเรียนยักคิ้วเข้าใจเรื่องราวในทันที “ไปทำเรื่องก่อนเถอะ อยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งห้องหนึ่ง ครูประจำชั้นแซ่เซี่ยว พรุ่งนี้มาเรียนได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ผู้อำนวยการโรงเรียน”
ขั้นตอนการทำเรื่องเข้าเรียนไม่ยุ่งยากอย่างที่เธอคิด แค่กรอกแบบฟอร์มสองชุด เซ็นชื่อ จ่ายค่าเล่าเรียนก็เป็นอันเสร็จสิ้น จากนั้นเธอก็พาเจ้าตัวน้อยไปทำความรู้จักกับครูประจำชั้น หลังจากที่นัดแนะให้มาเข้าเรียนในวันพรุ่งนี้เช้าเสร็จแล้ว สองแม่ลูกก็นั่งแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าประตู
“อีกหน่อยอยู่โรงเรียนต้องตั้งใจเรียนนะครับ หม่ามี๊จะมารับตอนหลังเลิกเรียน และถ้าเราทำตัวดีก็จะมีรางวัลเป็นของตอบแทนจ้า”
“ทราบแล้วครับ”
เจ้าตัวน้อยพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ เขาดูเป็นคนไม่รู้กาลเทศะแบบนั้นหรือ เขากำลังจะกลายเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่โรงเรียน และถ้าทำตัวไม่ดีก็จะถูกข่มเหงรังแกได้
พอเห็นเจ้าตัวน้อยอารมณ์เสีย เฉียวชูเฉี่ยนก็พูดหว่านล้อมออกไปว่า “อย่าโมโหเลยน่า เดี๋ยวหม่ามี๊พาไปทานของอร่อยดีไหมครับ?”
“ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้ผมจะขูดรีดให้เต็มที่เลยครับ” พอได้ยินคำว่าของอร่อยเจ้าตัวน้อยก็ตาสว่างขึ้นมาทันที เขาอยากทานไอศกรีม แซนวิช ยังมีไก่ทอด และตามด้วยน้ำอัดลมซักแก้ว
“ไม่มีปัญหา วันนี้หม่ามี๊พกกระเป๋าสตางค์มาด้วย ลูกอยากทานของแพงแค่ไหนก็สั่งได้เลย”
“เป็นอันตกลงครับ!”
เฉียวชูเฉี่ยนแจ้งชื่อร้านอาหาร เพียงไม่นานรถแท็กซี่ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้าน เจ้าตัวน้อยเห็นป้ายร้านสายตาเขาก็ส่องประกายแห่งความผิดหวัง เขาเอามือดึงหน้าดึงหูอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณแม่บอกจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ผมที่ร้านนี้หรือครับ?” เขาชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่ป้ายร้าน——ร้านอาหารประจำบ้านแห่งเมืองซั่นเป่ย
“ลูกคิดว่าร้านอาหารประจำบ้านนี้ อาหารข้างในจะไม่ดีหรือ? แม่จะบอกให้นะว่าอาหารประจำบ้านนี้มีรสชาติแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นร้านที่ดีที่สุดในซั่นเป่ย ไม่มีที่อื่นอีกแล้วจ๊ะ”
สมัยเธอยังตัวเล็กเท่ากับเจ้าตัวน้อยก็เคยมีความเข้าใจเกี่ยวกับร้านนี้แบบเดียวกัน แต่คุณพ่อคุณแม่บอกเธอว่านี่คือร้านเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาร้อยปีแล้ว หากไม่ใช่คนมีตำแหน่งมีฐานะแล้วคิดจะเหมาร้านนี้บอกได้เลยว่ายาก
พอคิดมาถึงตรงนี้เธอก็มองเจ้าตัวเล็ก และอดขำน้อยๆ ออกมาไม่ได้ ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเธอไม่ได้กอดผิดคนแล้ว สมเป็นลูกที่เธอคลอดออกมาจริงๆ
“เก็บเสียงหัวเราะเยาะของคุณแม่ไปเถิดครับ”
เจ้าตัวน้อยเข้าใจว่าเฉียวชูเฉี่ยนหัวเราะเยาะเขา จึงชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาทันที ยามที่โมโหใบหน้าทั้งห้าส่วนของเขาเหมือนเฉินเป่ยชวนอย่างกับแกะ เธอมองแล้วจิตใจก็เริ่มว้าวุ่น จึงรีบเดินเข้าร้านไป
“ยังดีที่เป็นวันทำงาน และไม่ตรงกับเวลาพักทานข้าว ไม่อย่างนั้นไม่รู้ต้องต่อคิวไปถึงเมื่อไหร่เลยล่ะครับ”
พนักงานพาพวกเขามานั่งบริเวณข้างหน้าต่าง เฉียวชูเฉี่ยนพลิกดูเมนูอาหาร จากนั้นก็สั่งรายการอาหารที่ขึ้นชื่อและรสชาติดีที่สุดที่เธอเคยจำได้
“ท่านทั้งสองรอสักครู่นะครับ”
พนักงานเสิร์ฟรับเมนูอาหารกลับมาด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็เดินจากไป เจ้าตัวน้อยไม่สบอารมณ์ เขาอยากทานแฮมเบอร์เกอร์ โค้ก เฟรนช์ฟราย ปีกไก่ทอด ทำไมมันช่างยากขนาดนี้นะ?
เพียงไม่นาน อาหารที่สั่งก็ทยอยเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ มีทั้งสี กลิ่น รสครบถ้วนเหมือนในความทรงจำของเธอเลย
เฉียวชูเฉี่ยนใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากเจ้าตัวน้อย แล้วบอกให้รีบทาน “รีบชิมเร็ว อาหารพวกนี้ต้องถูกปากลูกแน่ๆ”
เจ้าตัวน้อยเคยชินกับการทานอาหารสไตล์ตะวันตกจึงยังใช้ตะเกียงไม่ถนัด เขาคีบหยิบๆ อยู่นานจึงหมดอารมณ์จะกินแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะลิ้มรสชาติก็จางหายไปไม่น้อย
“ถ้าลูกไม่อยากกินอาหารที่แม่สั่งมา อาหารเหล่านี้ก็ต้องเหลือทิ้ง การกินทิ้งกินขว้างเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก ลูกลืมกลอนบทที่หม่ามี๊เคยสอนตอนเด็กๆ แล้วหรือคะ”
“ปลูกข้าวกลางแสงแดด……”
“หยาดเหงื่อหยดลงดิน ใครรู้ในจานข้าว ทุกเม็ดล้วนลำบาก” ไม่รอให้เธอพูดจบ เจ้าตัวน้อยก็พูดต่อจนจบในหนึ่งช่วงลมหายใจ
เขาเพิ่งกลับประเทศมา จะอะไรก็ควรมีระยะเวลาของการปรับตัวบ้าง อย่างเวลาเช่นนี้ควรสั่งอาหารอะไรที่เขาพอจะหยิบจับได้ ไม่ใช่มาบีบบังคับให้เขาคีบอาหารจำพวกถั่วแบบนี้
“ในเมื่อรู้แล้วก็ต้องทานอาหารให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นในหนึ่งเดือนนี้ห้ามทานไอศกรีมค่ะ”
พอเห็นว่าคำสั่งสอนในเชิงคุณธรรมของตนใช้ไม่ได้ผลแล้ว จึงงัดอาวุธลับของตัวเองออกมาใช้
“คุณแม่ข่มขู่ผมอีกแล้ว”
เจ้าตัวน้อยจ้องเธอด้วยอย่างความโมโห เขาไม่ชอบที่สุดก็ตอนหม่ามี๊ข่มขู่เขาด้วยวิธีการนี้ และทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณแม่กำลังข่มขู่ แต่ตัวเองก็ต้องยกธงขาวไปก่อนซะทุกครั้งด้วย
“ใครใช้ให้วิธีนี้ได้ผลกันล่ะ” วิธีนี้ลองกี่ใช้ก็ใช้ได้ผลในทุกครั้ง เฉียวชูเฉี่ยนตีมือน้อยบอกให้รีบทานอาหาร ผลคือ เขาไม่ขยับตามเดิม “ในเมื่อหม่ามี๊รู้ว่าการกินทิ้งกินขว้างไม่ดี ก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า ทำลายล้างตามอำเภอใจนะครับ”