สายตาที่ดูงุนงงและไม่สบอารมณ์ซึ่งมองเธอพร้อมกับน้ำเสียงกรุ่นๆ ที่เหมือนอยากจะฆ่าคนนั้นทำให้จิตใจของเธอสับสนและหลบสายตาไปมองด้านข้างตามสัญชาตญาณ
เฉียวชูเฉี่ยนนะเฉียวชูเฉี่ยน ถูกผู้ชายคนนี้ล่อลวงให้ติดกับมาแล้วถึงสองครั้ง แถมยังเจ็บปวดทั้งสองครั้ง ถึงจะโง่ยังไงก็ควรจำไว้บ้างสิ
“น่าเสียดายที่ประธานเฉินไม่ใช่นักแสดง เวทีออสการ์ติดหนี้รางวัลตุ๊กตาทองคุณแล้ว” รอยยิ้มที่เสแสร้งปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ เธอจงใจเหน็บแนมเพื่อเปลี่ยนเรื่องแต่กลับถูกเขาบีบไหล่จนเจ็บ
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อ มันเชื่อยากนักหรือว่าผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบ”
คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเพราะความเจ็บและสบตากับสายตาที่หงุดหงิดของเขาอีกครั้ง เธอเชื่อในรักแรกพบ แต่เธอไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับเฉินเป่ยชวนคนนี้
“ถ้าประธานเฉินไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอยังต้องไปรับลูกน้อยที่โรงเรียนอีก เขาคือคนที่เธอเชื่อใจและก็เป็นคนที่เชื่อใจเธอ
“เดี๋ยวก่อน” เฉินเป่ยชวนเหยียดแขนยาวๆ ของเขาออกไปขวางเธอไว้ “ต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อที่ผมพูด”
“งั้นคุณก็บอกฉันมาว่าเจ็ดปีก่อนทำไมคุณถึงไม่ช่วยเฉียวกรุ๊ป”
เธอหยุดฝีเท้าลงและหันกลับไปถามด้วยน้ำเสียงปวดร้าว เธอเชื่อแล้วยังไงล่ะ ถึงอย่างไรระหว่างเธอกับเขามันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว
“ไม่มีการช่วยเหลือกันในโลกของธุรกิจ”
เฉินเป่ยชวนเลิกคิ้วเล็กน้อย นี่คือกฎที่จะไม่เปลี่ยนแปลงในโลกของธุรกิจ
“ท่านประธานเฉินพูดถูก ไม่มีการช่วยเหลือกันในโลกของธุรกิจ มีแค่การเหยียบย่ำซ้ำเติมและฉวยโอกาสเมื่อพวกเขาล้ม!”
จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงทันทีเพราะคำตอบนี้ เธอเงียบจนน่ากลัว ในสายตาของเขาเฉียวกรุ๊ปเป็นเพียงหนึ่งในเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่สำหรับเธอแล้วมันคือบ้าน คือแรงกายแรงใจทั้งชีวิตของพ่อและแม่ของเธอ
“ประธานเฉิน ความรู้สึกของฉันไม่ใช่ฉากในละครของคุณ ที่พอรู้สึกว่าไม่ดีก็สั่งคัทแล้วสักพักค่อยถ่ายแก้ใหม่อีกรอบ คุณอาจจะชินกับทุกสิ่งที่เริ่มต้นเพราะคำพูดของคุณและจบลงเพราะคำพูดของคุณ แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันก็มีอิสระในการเลือกของตัวเองเช่นกัน”
“ลาก่อน”
หลังจากพูดจบด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ เฉียวชูเฉี่ยนก็สาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังเร็วไม่เท่าหัวใจอันหนักอึ้งที่กำลังดำดิ่งลงไป
เฉินเป่ยชวนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและมองแผ่นหลังของเธอที่ค่อยๆ ลับสายตาไปอย่างใจลอย คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดจนเป็นปม เธอคิดจะเลือกใคร?
เฉียวชูเฉี่ยนสับสนและมึนงงไปตลอดทาง ทั้งยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ได้อย่างไร เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างกะทันหันจนทำให้เหยียนสือเซี่ยตกใจ
“ลูกทูนหัวของฉันอยู่ไหน?” เธอชะโงกไปมองข้างหลังเฉียวชูเฉี่ยนแต่ก็ไม่พบเจ้าตัวน้อย “เฉี่ยนเฉียน? เธอไม่ได้ไปรับจิ่งเหยียนที่โรงเรียนเหรอ”
เฉียวชูเฉี่ยนถึงกับหน้าถอดสี เมื่อครู่นี้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนลืมไปโรงเรียนอนุบาลเสียสนิท
“มันเกิดอะไรขึ้นถึงลืมแม้กระทั่งลูกชายสุดที่รัก”
เหยียนสือเซี่ยถามบ่นๆ ขณะเดินไปหยิบกุญแจรถ จากนั้นทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้าไปที่โรงเรียน
เฉียวจิ่งเหยียนยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนด้วยท่าทางหม่นหมอง แม่ทูนหัวไม่มารับเพราะมีแฟนแล้ว แม่สุดที่รักก็ไม่มา นี่เป็นสเต็ปของการเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รักหรือเปล่า?
น่าแปลกมาก ช่วงนี้เขาเห็นรถคันนี้แทบทุกวัน และเนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน เขาจึงรีบถอยหลังกลับเข้าไปในประตูโรงเรียนทันที
เหยียนสือเซี่ยขับรถเร็วมาตลอดทางจึงมาถึงไม่สายเกินไปนัก เมื่อรถจอดสนิทเฉียวชูเฉี่ยนก็รีบลงจากรถแล้ววิ่งไปที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าลูกชายยังรออยู่ที่นั่นเธอจึงค่อยคลายกังวล
“จิ่งเหยียน หม่ามี๊ขอโทษนะที่มาสาย”
“เหตุผลล่ะฮะ รถติด? ทำโอที? รถเสีย? หรือว่าเครื่องตอกบัตรของบริษัทพังซะแล้ว”
ริมฝีปากที่มีเลือดฝาดของเฉียวจิ่งเหยียนเบะออก มารับช้าขนาดนี้คงจะมีเหตุผลที่เข้าท่าสักอย่าง
“หม่ามี๊…”
“หม่ามี๊ของหนูเลิกงานช้าน่ะ ที่บริษัทงานเยอะมาก”
เหยียนสือเซี่ยช่วยโกหกแทนอย่างเจตนาดี เธอจึงพยักหน้าเออออไปด้วย “ต่อไปหม่ามี๊จะมารับหนูตรงเวลาแน่นอน”
“ดูจากท่าทางที่สำนึกผิดของหม่ามี๊แล้วผมจะให้อภัยชั่วคราวก็ได้ฮะ จริงด้วยหม่ามี๊ ช่วงนี้มีรถคันหนึ่งมาจอดที่ถนนสายเล็กนอกโรงเรียนตลอดเลยฮะ”
มือเล็กๆ ชี้นิ้วให้ดูอย่างระมัดระวัง เมื่อเฉียวชูเฉี่ยนมองตามไปก็พบว่ามันเป็นรถคันเดียวกับที่เธอสงสัยก่อนหน้านี้ ซึ่งสือเซี่ยบอกว่าเธอคิดมากเกินไป
“อย่าพูดมั่วๆ สิเจ้าตัวน้อย ถนนเป็นของสาธารณะ ใครๆ ก็จอดได้ทั้งนั้น”
เหยียนสือเซี่ยเหลือบมองรถสีดำคันนั้นแล้วกลุ้มใจเล็กน้อย พวกที่เฉินเป่ยชวนส่งมาเรียนจบหลักสูตรบอดี้การ์ดมาจากโรงเรียนไหนกันนะ แม้แต่เทคนิคการซ่อนตัวขั้นพื้นฐานที่สุดก็ยังทำได้แย่ขนาดที่เด็กเจ็ดขวบยังชี้ตัวพวกเขาที่ซ่อนตัวอยู่ได้อย่างแม่นยำ
“ผมคิดว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนเลวก็ได้ฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนยังยึดมั่นในการคาดเดาของตัวเองแต่กลับถูกเหยียนสือเซี่ยลากขึ้นรถ “ถ้าเป็นคนเลวจริงๆ ป่านนี้คงมาจับพวกเราไปกันหมดแล้วละ”
ความมั่นใจของเธอทำให้เฉียวชูเฉี่ยนเหลือบมองด้วยความสงสัย แต่เพราะมีเรื่องของเฉินเป่ยชวนกวนใจอยู่เธอจึงไม่มีกะจิตกะใจไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
ตามจริงเวลานี้ควรเป็นเวลานอนแล้ว แต่เฉียวชูเฉี่ยนกลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด เธอฟุบหน้าอยู่บนเตียงนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนราวกับผู้ป่วยที่ไร้เรี่ยวแรง
ประโยคที่เฉินเป่ยชวนบอกว่าเขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นมีพลังทำลายล้างสูงมากจนทำให้แนวป้องกันที่เธอสร้างขึ้นมาภายในใจพังทลายจนเกิดเป็นช่องว่าง เธอทำได้เพียงคอยเฝ้าระวัง ไปต่อก็ไม่ได้ถอยหนีก็ไม่ได้
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับเหยียนสือเซี่ยที่เดินเข้ามาพร้อมกับนมอุ่นๆ หนึ่งแก้ว “เธออยากจะเล่าให้ฉันฟังไหมว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”
“สือเซี่ย ถ้าถังอี้ทำให้เธอเจ็บปวด เธอให้โอกาสเขาแล้วแต่เขาก็ยังทำให้เธอเจ็บอีก เธอจะยังให้โอกาสเขาเป็นครั้งที่สองไหม”
“ฉันว่าแล้วว่าต้องเป็นเพราะเฉินเป่ยชวน!” นัยน์ตาของเหยียนสือเซี่ยเหมือนมีเปลวไฟเล็กๆ ปะทุขึ้น คนที่จะทำให้เธอลืมไปรับลูกชายได้ นอกจากผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีใครแล้ว
แต่แล้วแววตาของเธอก็กลับสับสน เธอควรบอกเรื่องที่เฉินเป่ยชวนช่วยจิ่งเหยียนให้เฉี่ยนเฉียนรู้ดีหรือเปล่า?
“เฉี่ยนเฉียน คนเรามีวิธีแสดงความรู้สึกที่แตกต่างกัน บางคนเย็นชาและเย่อหยิ่ง ทั้งที่ในใจแคร์มากแต่กลับแสดงออกมาว่าไม่แคร์ ส่วนบางคนดูเผินๆ ก็เหมือนจะดี แต่กลับซ่อนมีดเอาไว้แล้วคอยจ้องจะแทงข้างหลัง”
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเป่ยชวนคงจะเกิดเรื่องขึ้นกับจิ่งเหยียนเข้าจริงๆ เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้วเธอจึงทำเป็นหูทวนลมไม่ได้อีกต่อไป
“ถังอี้บอกอะไรเธอใช่ไหม”
เฉียวชูเฉี่ยนยิ่งสงสัยมากขึ้นหลังจากฟังเธอพูดจนจบ สือเซี่ยไม่ชอบหน้าเฉินเป่ยชวนมาตลอด แต่พักหลังมานี้ทุกครั้งที่พูดถึงเขาดูเหมือนว่าเธอจะเข้าข้างเขามากกว่าปกติ ซึ่งมันดูไม่ใช่เธอเลย
“ช่างแม่ง ฉันจะไม่ทนเก็บมันไว้อีกต่อไปแล้ว ความจริงคนที่ช่วยจิ่งเหยียนไม่ใช่หลินผิง แต่เป็นเฉินเป่ยชวน”
เหยียนสือเซี่ยเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับบอกสิ่งที่เธออยากจะบอกมาตลอดออกไปโดยไม่สนอะไรอีกแล้ว เธอรู้สึกแย่จริงๆ ที่มีความลับแต่ว่าพูดออกไปไม่ได้
“เธอว่าอะไรนะ”
วันนี้คงเป็นวันที่ถูกทำให้ตกใจได้ง่ายๆ เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เฉินเป่ยชวนบอกเธอว่าเมื่อสิบปีก่อนเธอไม่ใช่คนเดียวที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ แล้วสือเซี่ยยังมาบอกอีกว่าผู้มีพระคุณของเธอกับจิ่งเหยียนไม่ใช่หลินผิงแต่เป็นเฉินเป่ยชวน
“ขอโทษที่ฉันลังเลที่จะบอกเรื่องนี้กับเธอมาตลอด ฉันกลัวว่าหลังจากที่รู้เรื่องนี้เธอจะเจ็บปวดมากขึ้นเพราะความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ”
MANGA DISCUSSION