ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 184 เครื่องดักฟัง
เดาว่าตอนนี้ทุกคนในตึกนี้คงรู้หมดแล้วว่าเธอมาที่นี่ตอนเที่ยงและไม่ได้ออกไปจากห้องทำงานของเขาเลยจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานในตอนบ่าย
ตราบใดที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดก็ย่อมจินตนาการได้ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ในห้อง
“ถึงเวลาเลิกงานแล้ว”
เฉินเป่ยชวนลุกขึ้นจากเตียงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ตอนแรกเขาตั้งใจจะปลุกเธอเมื่อถึงเวลาเลิกงาน แต่เมื่อมองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเธอเขาก็เปลี่ยนใจ
การทำให้ทุกคนในซั่นเป่ยรู้ว่าเธอใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายอยู่ที่ห้องพักในห้องทำงานของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน
“หน้าไม่อาย”
เฉียวชูเฉี่ยนรีบลุกออกจากเตียงและจัดการเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่อย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องทำงานราวกับมีสุนัขตัวใหญ่ไล่กวดมาข้างหลัง
เฉินเป่ยชวนไม่ได้ไล่ตามเธอและเดินออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม สายตาหยุดอยู่ที่เครื่องดักฟังซึ่งติดอยู่ที่โต๊ะอีกครั้ง
ในเมื่ออยากรู้นักว่าทุกๆ วันฉันทำอะไรบ้าง งั้นฉันก็จะให้โอกาสนายได้รับรู้
หลังจากได้รับความร่วมมือจากเฟิงฉิงบวกกับข่าวที่ได้ยินมาจากงานเลี้ยง เพื่อนร่วมงานที่เคยพูดจาเยาะเย้ยถากถางมาตลอดก็เปลี่ยนมาทำดีกับเธอ บางคนถึงกับพยายามหาโอกาสเข้ามาประจบประแจง
“เลขาเฉียว หลังเลิกงานเราไปช้อปปิ้งด้วยกันไหม”
เลขาหวังเดินมาถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เธอเคยมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเฉียวชูเฉี่ยน หากหล่อนได้กลับไปเป็นคุณนายเฉินอีกครั้ง ชีวิตการงานของเธอในอนาคตคงไม่สดใสแน่ๆ
“หลังเลิกงานฉันต้องไปรับลูก พวกคุณไปกันเถอะค่ะ”
เธอปฏิเสธคำเชิญของเลขาหวังอย่างสุภาพ คนพวกนี้มักจะทำดีกับคนที่อยู่เหนือกว่าแต่ดูถูกเหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าตนเอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ล้ำเส้นจนเกินไปเธอก็จะไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้มีโอกาสแล้วค่อยไปด้วยกันนะ”
เลขาหวังที่พูดจบแล้วจำต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจ เฉียวชูเฉี่ยนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปหาเหยียนสือเซี่ย “เลิกงานแล้วไปช้อปปิ้งด้วยกันไหม”
“ช้อปปิ้งเหรอ…”
คนปลายสายทำเสียงอึกอักอย่างเห็นได้ชัดว่าตัดสินใจไม่ได้
“โอเค ฉันเข้าใจละ ตอนนี้เธอเป็นคนที่มีแฟนแล้วนี่เนอะ เธอกับผู้ชายของเธอรักกันมาก งั้นฉันไปช้อปปิ้งกับผู้ชายตัวน้อยของฉันก็แล้วกัน”
เฉียวชูเฉี่ยนวางสายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แน่นอนว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แม้ว่าเพื่อนรักจะให้ความสำคัญกับความรักมากกว่ามิตรภาพ เธอก็ยังคงมีความสุขและสบายใจอยู่ดี
พอเลิกงานเธอก็นั่งแท็กซี่ไปรอรับเฉียวจิ่งเหยียนที่ประตูโรงเรียนหลังเลิกเรียน “หม่ามี๊ ทำไมแม่ทูนหัวไม่มาด้วยล่ะฮะ”
ปกติช่วงนี้หม่ามี๊กับแม่ทูนหัวจะมารับเขาพร้อมกัน เขาจึงไม่ค่อยชินที่วันนี้เห็นหม่ามี๊มาคนเดียว
“ตอนนี้แม่ทูนหัวของหนูมีแฟนแล้ว ต่อไปคงจะมารับทุกวันไม่ได้ ลูกทำตัวให้ชินไว้ดีกว่า”
เธอลูบผมอันอ่อนนุ่มของลูกชาย ดูท่าวันนี้สือเซี่ยคงจะกินมื้อเย็นเรียบร้อยมาจากข้างนอก “จิ่งเหยียน หม่ามี๊พาหนูไปกินอาหารมื้อใหญ่ดีไหม”
ได้รับความร่วมมือจากเฟินฉิงแล้วก็ควรเฉลิมฉลองเสียหน่อย
“เย้ๆ ขอให้หม่ามี๊อายุยืนนะฮะ”
เมื่อได้ยินว่าจะได้กินอาหารมื้อใหญ่ เฉียวจิ่งเหยียนก็ยกไม้ยกมือพลางส่งเสียงร้องอย่างดีใจ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนทั้งโกรธทั้งขำ “อย่าทำอย่างนี้ได้ไหมลูก ทำยังกับหม่ามี๊ไม่ได้พาหนูไปกินของอร่อยๆ นานแล้วอย่างนั้นละ” นานแล้วนี่ฮะ”
เจ้าตัวน้อยทำหน้ามุ่ยพลางบ่น เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไปกินของอร่อยๆ ครั้งล่าสุดตอนไหน
“งั้นต่อไปนี้หม่ามี๊จะพาหนูไปกินอาหารมื้อใหญ่ทุกเดือนเลย”
เพื่อเห็นแก่เจ้าตัวน้อย ในที่สุดเธอก็เลือกร้านพิซซ่าที่ดูดีมีระดับร้านหนึ่ง
เฉียวจิ่งเหยียนดื่มน้ำผลไม้รวดเดียวหมดแก้วจนทำให้พุงป่องแล้วก็เกิดปวดฉี่ขึ้นมา
“ผมปวดฉี่ฮะหม่ามี๊”
“ลูกไปคนเดียวได้ใช่ไหม”
เฉียวชูเฉี่ยนถามเมื่อเหลือบไปเห็นว่าห้องน้ำอยู่ไม่ไกล
“ได้สิฮะ ผมไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ”
เจ้าตัวน้อยหน้าตึง เขาเกือบจะแปดขวบแล้วแต่ยังถูกถามว่าไปฉี่คนเดียวได้ไหมแบบนี้มันช่างน่าอายเหลือเกิน
“งั้นลูกไปคนเดียวนะ เดี๋ยวหม่ามี๊รออยู่ตรงนี้”
เฉียวจิ่งเหยียนเบะปากแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากจัดการกับกระเพาะปัสสาวะเรียบร้อยแล้วจึงใส่กางเกงแล้วเดินออกมา
ตอนนี้เป็นเวลาที่คนมากินอาหารพร้อมกันพอดี ในร้านฟาสต์ฟู้ดจึงค่อนข้างแออัดไปด้วยผู้คน ไม่รู้ว่าบนพื้นมีน้ำหกอยู่หรืออย่างไร อยู่ๆ บริกรที่ถือถาดพิซซ่าเดินมาจึงเสียการทรงตัวและทำให้พิซซ่าร้อนๆ ที่เพิ่งออกจากเตาหล่นลงมา
เฉียวจิ่งเหยียนอยากจะหลบแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาแค่อยากกินพิซซ่าแต่ไม่ได้อยากถูกโปะหน้าด้วยพิซซ่า ถ้าเกิดเสียโฉมขึ้นมาต่อไปคงไม่มีใครอยากแต่งงานกับเขา
“ระวัง”
ในขณะที่เสียงหนึ่งดังขึ้น พิซซ่าที่กำลังตกลงมาบนใบหน้าของเขาก็ถูกมือของใครบางคนรองรับเอาไว้ก่อนที่มันจะหล่นลงไปบนพื้น
เฉียวจิ่งเหยียนยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะมองพี่ชายผู้ที่สละตัวมาช่วยเขาไว้อย่างประหลาดใจ แววตาเต็มไปด้วยความประทับใจ
“ขอบคุณฮะพี่ชาย” ถ้าไม่ได้เขาช่วยรับพิซซ่าเอาไว้ ผิวที่บอบบางของเขาจะต้องถูกลวกจนพองอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไร คราวหน้าก็ระวังๆ หน่อยแล้วกัน”
ชายผู้นั้นหัวเราะอย่างเบิกบาน เขาอายุประมาณยี่สิบปี รูปร่างสูงผอมและไม่ได้ดูกำยำนัก แต่ชุดกีฬาสีเทาอ่อนที่เขาสวมใส่ทำให้ดูอบอุ่นและใจดีเป็นพิเศษ
“อื้อ มือพี่พองหรือเปล่าฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนพยักหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอาการบาดเจ็บของเขาเพราะพิซซ่าร้อนๆ นั่นก็ทำให้ผู้ใหญ่ร้อนได้เหมือนกัน
“สบายมาก”
เด็กหนุ่มหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง คิ้วคม แววตาที่สดใสและจมูกที่โด่งเป็นสันนั้นดูหล่อเหลาและอบอุ่น ยิ่งเมื่อเขายิ้มจนเห็นลักยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากก็ยิ่งดูดีมากเป็นพิเศษ
“หม่ามี๊ของผมอยู่ตรงนั้นฮะ เธอเคยเรียนแพทย์ พี่อยากให้เธอดูแผลให้ก่อนไหมฮะ”
แม้ว่าหม่ามี๊จะไม่ใช่หมอแต่เวลาเขามีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เธอก็จัดการรักษาได้อย่างสบายๆ
“ไม่เป็นไร พี่มีธุระต้องไปทำต่อ ต่อไปก็เดินระวังๆ ด้วยล่ะ ไม่งั้นหม่ามี๊ของน้องคงจะเสียใจแน่ๆ”
เด็กหนุ่มพูดจบก็หันหลังและเดินออกไปจากร้านพิซซ่า เฉียวจิ่งเหยียนมองเขาอย่างประทับใจยิ่งกว่าเดิม หาได้ยากจริงๆ คนดีที่มีความสุขเมื่อช่วยเหลือผู้อื่นแบบนี้
“ทำไมไปฉี่นานจังล่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนถามพลางหยิบพิซซ่าชิ้นสุดท้ายส่งให้เขา “ล้างมือแล้วหรือยัง”
“ล้างแล้วฮะ หม่ามี๊ไม่รู้อะไร เมื่อกี้นี้ถ้าไม่ได้พี่ชายใจดีช่วยเอาไว้ ผมคงโดนพิซซ่าร้อนๆ หล่นใส่จนเสียโฉมไปแล้ว”
เขาเล่าฉากน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างออกรสจนเฉียวชูเฉี่ยนต้องรีบตรวจดูใบหน้าของเขาอย่างละเอียด “ไม่โดนลวกตรงไหนแน่นะ”
“ผมไม่โดนลวกฮะ แต่พี่ชายคนนั้นอาจจะโดน”
แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วแต่เด็กน้อยก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ แผลที่เกิดจากความร้อนต้องคอยดูแลให้ดีเหมือนๆ กับแผลที่เกิดจากความเย็นจัด
เฉียวชูเฉี่ยนชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกแต่ก็ไม่เห็นคนใจดีที่ลูกชายพูดถึง ช่วงหลายปีให้หลังมานี้หาคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนได้ยากจริงๆ
เมื่อสองแม่ลูกเดินออกมาจากร้านพิซซ่าและขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ข้างทาง ร่างสูงผอมที่อยู่นอกร้านพิซซ่าก็ปั่นจักรยานจากไปจนชุดกีฬาสีเทาอ่อนที่สวมใส่ปลิวไหวไปตามแรงลม