เธอมองคนตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของตนเอง ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เลยแท้ ๆ ก็เริ่มถือโทษโกรธแทนเธอเสียแล้ว พูดไม่ออกว่าควรดีใจหรือว่าเสียใจดี นิ้วมือพลางลูบไปยังเส้นผมอันอ่อนนุ่มของเขา
“เด็กโง่ ตอนนี้หม่ามี๊อายุเยอะแล้วเพราะงั้นเลยอ่อนโยนลง ตอนที่หม่ามี๊ยังเป็นสาวอยู่มีแค่หม่ามี๊ไปรังแกคนอื่นเท่านั้นแหละ ใครกล้ามารังแกหม่ามี๊ได้กันคะ”
เมื่อก่อนที่พ่อแม่ของเธอยังอยู่พวกท่านบอกว่าเธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ไม่มีท่าทางที่ลูกสาวเศรษฐีควรมีเลยสักนิด
เนื่องจากเวลาทำให้มนุษย์แก่ตัวลง และทำให้มนุษย์ค่อย ๆ อ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ
“ต่อให้หม่ามี๊โกหกผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกไม่นานผมจะโตแล้ว ถึงเวลานั้นผมจะได้ปกป้องหม่ามี๊จะไม่ถูกคนหน้าไหนรังแกได้อีกแล้ว”
เฉียวจิ่งเหยียนพูดด้วยความสบายใจอย่างผิดปกติ ไม่มีพ่อแล้วจะอย่างไร จากนี้ไปเขาจะเป็นผู้ดูแลหม่ามี๊เอง
เฉียวชูเฉี่ยนเห็นสีหน้าอันจริงจังบนใบหน้าน้อย ๆ จนทำให้หัวเราะออกมา ราวกับความโศกเศร้าที่ได้รับจากบ้านตระกูลเฉินเมื่อสักครู่นี้ได้ขจัดออกไปหมดแล้ว “ดีเลย ถ้างั้นต่อจากนี้ไปหนูแต่งงานแล้วก็จะต้องดีกับหม่ามี๊ให้ได้แบบนี้เข้าใจหรือเปล่า ห้ามแต่งงานแล้วลืมแม่เด็ดขาดเลยนะ”
เจ้าตัวน้อยขมวดคิ้วอย่างจริงจังขึ้นมา “ถ้างั้นผมจะไม่แต่งงานครับ”
“……”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้ ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง เธอไม่อยากให้ลูกชายของตนเองเป็นชายโสดทั้งชาติหรอก
เพื่อไม่ให้สือเซี่ยเป็นห่วง เธอจึงพาลูกชายไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าก่อนแล้วค่อยพากลับคอนโด ครั้นเมื่อเปิดประตูเดินเข้าไปก็ต้องพบกับใบหน้าอันเป็นกังวลและเป็นห่วงทันที
“เป็นยังไงบ้าง ? ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม ?”
เธอนำกระเป๋าวางไว้บนตู้ลิ้นชักที่อยู่ข้าง ๆ เฉียวชูเฉี่ยนส่งสายตาให้เฉียวจิ่งเหยียน เจ้าตัวน้อยจึงเดินกลับห้องตนเองไปอย่างว่าง่ายทันที แถมยังไม่ลืมที่จะทำปากมุ่ยด้วย คนใหญ่ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย ทั้งที่โกหกยังต้องทำลับหลังเขาอีก
“จะมีเรื่องอะไรได้ มีความสุขมากเลยแหละ”
เรื่องของตระกูลเฉินพูดน้อย ๆ เข้าไว้จะดีที่สุด เพื่อเป็นการไม่ให้สือเซี่ยต้องหงุดหงิดตามด้วย
เหยียนสือเซี่ยไม่มีความสงสัย กลับโล่งใจขึ้นทันที “ถ้างั้นก็ดีแล้ว”
พระเจ้าทราบดีว่าเธอเป็นห่วงจริง ๆ ว่าเฉินเป่ยชวนจะโผล่หน้ามาที่บ้านตระกูลเฉินอย่างกะทันหัน ทำให้เฉี่ยนเฉียนไม่มีการเตรียมตัวเลยสักนิด
“สือเซี่ย อีกวันสองวันฉันอยากจะออกไปข้างนอกสักหน่อย อาจจะต้องลำบากเธอช่วยฉันดูแลจิ่งเหยียนหน่อยนะ”
แม้ว่าวันนี้การไปที่บ้านตระกูลเฉินจะทำให้ไม่สบายใจเท่าไร ครั้นการร่วมมือของเฟิงฉิงจะต้องดำเนินต่อไป เรื่องที่เฉินจิ้นถงพูดมาวันนั้นเธอได้พิจารณาอย่างจริงจังดูแล้ว เพื่อการร่วมมือกันในวันข้างหน้าจะได้ราบรื่นกว่านี้และเพื่อเป็นการทำกำไรให้กับ Q&C ด้วย เธอควรจะต้องไป
“ไปไหนเหรอ ?”
เมื่อเหยียนสือเซี่ยได้ยิน แววตาก็มีความสงสัยขึ้นมาเพิ่ม เฉี่ยนเฉียนเป็นผู้หญิงติดบ้าน หรือว่าทางบริษัทจะจัดการให้เธอออกไปทำงานต่างจังหวัด ?
“โปรเจกต์แรกหลังจากที่ Q&C ร่วมมือกับเฟิงฉิง ฉันอยากไปดูหน่อยน่ะ”
ตอนนี้แม้ทางบริษัทจะถือเป็นของผู้อื่น ครั้นในใจของเธอบริษัทแห่งนี้ก็คือตัวแทนของเลือดเนื้อและจิตใจของพ่อแม่เธอ เธออยากจะลงแรงเพื่อเลือดเนื้อและจิตใจของพวกท่านทำให้มันเปล่งแสงประกายเจิดจรัสขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันจะสนับสนุนเธอ ไม่ต้องห่วงนะลูกชายยกให้ฉันดูแลเอง ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
ฉันจะขอลายเซ็นกลับมาให้เธอแน่นอน”
เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มพร้อมกระพริบตาให้ จากนั้นก็ถูกจับกดบนโซฟา “ที่รัก ทำไมถึงทำให้ฉันรักเธอขนาดนี้ มาจูบหน่อยสิ”
“……”
เฉินจิ้นถงได้รับสายโทรศัพท์จากเฉียวชูเฉี่ยนในสองวันต่อมา “พูดตามจริงนะ ผมนึกว่าพี่อาจจะไม่ไปซะอีก”
มือที่ถือโทรศัพท์ดัดเล็กน้อย มุมริมฝีปากผุดเป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ชัดว่ามีความพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“วันนั้นพี่ไปเยี่ยมคุณย่าด้วยเจตนาที่ดีแต่กลับเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา แม้ว่าพี่จะบอกว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่ผมคิดว่าพี่น่าจะยังโกรธอยู่ สองวันมานี้ผมรู้สึกอึดอัดใจมาตลอด ท่านเป็นแม่ผม
เมื่อเฉียวชูเฉี่ยนได้ยินคำพูดตำหนิติเตียนตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในโทรศัพท์ จึงวาดวงกลมอยู่บนกระดาษโดยไม่ปริปากพูดสักคำ แน่นอนว่าเธอต้องโกรธอยู่แล้ว หากผู้ใดถูกผู้อื่นด่ามาเช่นนั้นต่างก็จะโกรธทั้งนั้น ครั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะโกรธเรื่องนี้แล้วไปกระทบกับการงาน การแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเธอทำได้อยู่แล้ว
“เธอคิดมากเกินไปแล้ว งานคืองาน ฉันไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องวันนั้นไม่เกี่ยวกับเธอเลย”
ผู้ที่ทำให้เธออึดอัดใจคือเว่ยชูหรง ไม่สามารถที่จะโยนความผิดนี้ไว้บนหัวเขาเนื่องจากเฉินจิ้นถงเป็นแม่ลูกกันกับเขาได้
“ถ้างั้นก็ดีครับ งั้นผมจะให้เลขาจองตั๋วเครื่องบินและห้องให้พี่นะครับ จองเสร็จแล้วเดี๋ยวผมเอาใบเสร็จการจองตั๋วส่งเข้ามือถือพี่ จะได้สะดวกในการเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า”
“ถ้างั้นก็รบกวนเธอด้วยนะ”
หลังจากที่กล่าวขอบคุณเรียบร้อยแล้ว เธอจึงวางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกระถางต้นกระบองเพชร ภายในแววตามีความคะนึงหาอยู่ลึก ๆ คุณพ่อคุณแม่ถ้าพวกท่านกำลังมองหนูอยู่บนสวรรค์ ก็หวังว่าหนูจะสามารถเอาเฉียวกรุ๊ปกลับคืนมาให้ได้เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอนที่เลิกงาน ในโทรศัพท์ก็ได้รับใบเสร็จการจองตั๋วที่เฉินจิ้นถงส่งเข้ามาเรียบร้อยแล้ว เมื่อดูวันที่ออกเดินทาง ภายในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะใช้มาตรฐานเดียวกันในการมองเฉินจิ้นถงกับแม่เขาได้เลย
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา เฉียวชูเฉี่ยนลากกระเป๋าเดินทางออกจากคอนโด รถยนต์ของเฉินจิ้นถงได้จอดรอยู่ข้างทางเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเธอออกมาจึงรีบลงรถแล้วเข้าไปช่วยเธอขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถทันที
“ขอบใจนะที่เธอเลือกเดินทางวันจันทร์ แถมยังมารับฉันถึงที่อีก ความจริงระยะทางจากคอนโดสือเซี่ยถึงสนามบินไม่ไกลเท่าไหร่เลย ฉันเรียกรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว”
ทำให้เธอมีเวลาว่างหกวันในการอยู่กับเจ้าตัวน้อยดี ๆ
“ถึงยังไงก็ทางเดียวกัน รีบขึ้นรถเถอะครับ” เฉินจิ้นถงเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้เธอ การกระทำที่สุภาพบุรุษนี้ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มขึ้นอย่างเกรงใจพร้อมมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมา
“ผู้กำกับจางคนนั้นฉันไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ แม้ว่าจะทำการบ้านมาบ้างแต่ว่ายังต้องให้เธอช่วยเหลือฉันในตอนที่ต้องการด้วยนะ”
รถยนต์ขับอย่างนิ่มนวลแต่ไม่ได้ช้านักอยู่บนถนน เพื่อเป็นการไม่สร้างความอึดอัดเนื่องจากไม่พูดจาเป็นเวลานาน เฉียวชูเฉี่ยนจึงเริ่มคุยเรื่องงานขึ้นมาก่อน
เฉินจิ้นถงหันหน้ามองมา จากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องตื่นเต้นนะครับ มีผมอยู่ด้วยทั้งคน”
“……”
เดิมทีสายตาประสานกัน ครั้นเฉียวชูเฉี่ยนเคลื่อนสายตาออกด้วยสันชาตญาณทันที คำพูดเมื่อสักครู่นี้น่าจะเป็นความเคยชินของการสื่อสารของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่น
มุมปากของเฉินจิ้นถงยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดเพลงไปด้วย ทำให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดที่เกิดขึ้นกะทันหันมีจุดสนใจใหม่
ระยะทางที่เดิมทีก็ไม่ไกลเท่าไรนักฟังไม่กี่เพลงก็ถึงจุดหมายแล้ว เลขาของเฉินจิ้นถงที่อยู่ประตูทางเข้าสนามบินได้แลกบัตรผ่านขึ้นเครื่องมาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเพียงต้องแกนตรวจเช็คก่อนขึ้นเครื่องก็โอเคแล้ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เครื่องบินที่แล่นมาเป็นระยะทางที่ยาวทยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดเป็นเสียงครึกโครมดังขึ้นมา
ภายในโรงพยาบาล สีหน้าที่เฉินเป่ยชวนเงยมองท้องฟ้าแลดูไม่ดีนัก หลินผิงยืนอย่างระวังระวังอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยขึ้นมามาก
“คนไปแล้ว พวกนายเพิ่งจะได้รับข่าวเนี่ยนะ”
เครื่องบินที่ผู้หญิงโง่คนนั้นไปกับเฉินจิ้นถงได้บินเรียบร้อยแล้ว เขากลับเพิ่งได้รับข่าวสาร
“นายอย่าโทษพวกเขาเลย คงไม่สามารถดักฟังโทรศัพท์ของเฉียวชูเฉี่ยนได้ตลอดเวลาหรอกจริงไหม อีกอย่างคนเพิ่งไปเอง ต่อให้เครื่องบินจะเร็วแค่ไหน แต่นายตามไปก็ทันการ”
ถังอี้ที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมาพร้อมกลั้นหัวเราะไว้ ยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งคิดว่าเฉินเป่ยชวนเป็นบ่อความหึงหวง เป็นห่วงผู้หญิงของตัวเองอย่างเห็นได้ชัดเลยแท้ ๆ
“ทำขั้นตอนออกจากโรงพยาบาลให้ฉันเดี๋ยวนี้”
เฉินเป่ยชวนชักสายตากลับจากท้องฟ้า จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินผิงที่อยู่ข้าง ๆ ทันที
“บอสจะออกจากโรงพยาบาลเหรอครับ ? แต่ว่าหัวหน้าบอกว่าคุณรักษาร่างกายอีกสักพักจะดีกว่านะครับ”
ถ้าหากเป็นเรื่องอื่น หลินผิงจะทำตามทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ครั้นเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับร่างกายของบอส เขาจึงทำได้เพียงรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้นมา
“หลินผิง ตอนนี้นายจัดการธุระไม่ดีเท่าไหร่เลยนะ อย่าเถียงเลยจะดีกว่า ไปจองตั๋วเครื่องบินให้เขาอย่างว่าง่ายซะดี ๆ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
MANGA DISCUSSION