ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 159 เหยียนสือเซี่ย คุณเป็นผู้หญิงที่พิเศษ
เหยียนสือเซี่ยนจับได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในคำพูดนั้นจึงรีบเอ่ยปากปกป้องเพื่อนรักทันที คนอื่นไม่รู้แต่เธอรู้ดี ถ้าเฉี่ยนเฉียนกับลู่ฉีมีอะไรกันจริงๆ คงไม่มีเรื่องให้ต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนตั้งแต่แรกจนทำให้เฉี่ยนเฉียนต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานหลายปี
“นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองคนเข้าใจผิดกัน เป็นไงล่ะ อะไรที่คุณอยากรู้ผมก็บอกไปแล้ว คุณจะไม่ขอบคุณผมหน่อยเหรอ”
น้ำเสียงที่จริงจังเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเลศนัย ทำให้เธอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “ก็คุณบอกเองว่าจะบอกฉันถ้าฉันเข้ามาส่งคุณ ทำไมฉันจะต้องขอบคุณคุณด้วย”
“ผมพูดอย่างนั้นจริงแต่ว่าผมจะโกหกคุณได้ ในเมื่อผมพูดความจริงคุณก็ควรขอบคุณผมสิ”
“…”
เธอพูดไม่ออกหลังจากโดนตอกกลับด้วยคำพูดที่เอาแต่ใจจึงหันหลังเดินออกไปจากคฤหาสน์ เมื่อเดินไปจนถึงประตูจนเกือบจะหลุดพ้นจากผู้ชายหยาบคายนั่น ทันใดนั้นประตูที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่งก็ถูกปิดลงอย่างแรงก่อนที่เธอจะถูกกดตัวไว้จนหลังแนบกับบานประตู
“คุณจะทำอะไรน่ะ ฉันขอเตือนคุณดีๆ นะว่าคุณเคยประสบความเจ็บปวดยังไงเมื่อคราวที่แล้ว”
เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบังช่วงอกของตัวเองเอาไว้ แววตาที่ทั้งโกรธทั้งอับอายคู่นั้นดูตื่นตระหนกเล็กน้อย ถ้าหมอนี่ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ ละก็โอกาสที่เธอจะหนีรอดน่าจะมีน้อยมาก
แต่ถังอี้ดูไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อย แขนทั้งสองข้างยันประตูโอบรอบเธอไว้ มุมปากที่ยกขึ้นดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของความลุ่มหลง “เหยียนสือเซี่ย คุณเป็นผู้หญิงที่พิเศษ”
“ไร้สาระ แน่นอนว่าฉันแตกต่างจากพวกผู้หญิงกลวงๆ ที่คุณรู้จัก…”
ยังพูดไม่ทันจบเธอก็ถูกปิดปากไว้ด้วยริมฝีปากอีกคู่ ดวงตาของเธอเบิกกว้างมองชายหนุ่มที่อยู่ๆ ก็ประทับจูบลงมาอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของไวน์รวมถึงกลิ่นบุหรี่จางๆ ที่ติดมากับลมหายใจ ซึ่งนอกจากจะไม่เหม็นแล้วยังรู้สึกว่าน่าหลงใหลเล็กน้อย
เธอหายจากอาการตกใจอย่างรวดเร็วและเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองโดนขโมยจูบไปโดยไม่คาดคิด จูบแรกที่เธอเก็บรักษามาตลอดสามสิบปีถูกขโมยไปแล้ว!
ความอาย ความโกรธและความโมโหต่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกันในหัวของเธอ จากนั้นจึงยกหัวเข่ากระแทกเข้าไปตรงจุดที่บอบบางของเขา
“โอ๊ย…”
ถังอี้ไม่คาดคิดว่าเธอจะเล่นงานจุดอ่อนของเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นมาปิดตรงจุดที่เจ็บด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ขาคุณยังใช้การได้ดีนะ”
คราวที่แล้วเขาเกือบจะพิการ สงสัยคราวนี้อาจจะพิการจริงๆ ก็เป็นได้
“ไอ้คนอันธพาลน่ารังเกียจ จะเตะให้ตายไปเลย!”
เหยียนสือเซี่ยด่าแล้วจึงเช็ดปากด้วยหลังมือก่อนจะรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเสียจูบแรกไปแล้ว
“…”
ความเจ็บปวดของถังอี้ค่อยเบาบางลงในไม่ช้า เขามองด้านหลังของเธอที่ห่างไกลออกไป มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่ซีดเผือดนั้น เขาอดใช้นิ้วลูบคลำริมฝีปากของตัวเองไม่ได้ นี่คงไม่ใช่จูบแรกของผู้หญิงคนนี้หรอกใช่ไหม
เหยียนสือเซี่ยก่นด่าไปตลอดทางระหว่างที่ขึ้นแท็กซี่กลับมาจากคฤหาสน์ ปากด่าเบาๆ แต่ในใจนึกสาปแช่งเสียงดัง จนคนขับรถเสียขวัญเพราะนึกว่าตนเองรับหญิงสาวที่ป่วยขึ้นมา
ขณะที่เตรียมจะก้าวขึ้นไปชั้นบนเธอกลับหยุดยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า สีหน้ามีความลังเลสับสน
สิ่งที่ถังอี้พูดต้องเป็นความจริงแน่ๆ แล้วแบบนี้เธอควรจะบอกเฉี่ยนเฉียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีไหม
เพราะช่วยจิ่งเหยียนเอาไว้ตอนนี้เฉินเป่ยชวนจึงยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เฉี่ยนเฉียนไม่รู้ว่าเขาทำสิ่งเหล่านี้ เธอได้แต่คิดว่าถ้าให้ความหวังเฉี่ยนเฉียนอีกครั้ง ต่อไปจะเกิดความผิดหวังขึ้นอีกไหม
ยิ่งคิดภายในใจก็ยิ่งกลัดกลุ้ม เธอแค่หวังว่าเฉี่ยนเฉียนจะได้อยู่อย่างสบายใจและมีมีชีวิตที่มั่นคง
“ให้ตายเหอะ! เพิ่งจะรู้ว่าวันนี้ไม่ควรรับปากไปส่งไอ้คนเลวนั่นเลย!” พอรู้ความจริงแล้วยิ่งทำให้เธอยุ่งวุ่นวายไปใหญ่ ไหนจะยังต้องมาเสียจูบแรกที่เก็บรักษาไว้มานานหลายปีไปอีก
ภายในอพาร์ตเมนต์ชั้นบน เฉียวชูเฉี่ยนเองดื่มเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้ดื่มมากแต่ก็เริ่มง่วงขึ้นมาเป็นพักๆ เธอมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก่อนจะทนฝืนต่อไปไม่ไหวและหลับไปในที่สุด
เธอตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเปิดประตูห้องออกไป “เธอมาทำอะไรตรงนี้น่ะ เกิดอะไรขึ้นถึงได้กลายเป็นมีแพนด้าอย่างนี้”
เหยียนสือเซี่ยนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น มีรอยคล้ำใต้ตาอย่างกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน
“เฉี่ยนเฉียน เธอชอบชีวิตแบบไหน”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง เมื่อคืนเธอพลิกตัวไปมาทั้งคืนก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าควรบอกเฉี่ยนเฉียนเรื่องของเฉินเป่ยชวนดีไหม ส่วนอีกครึ่งคืนก็มัวแต่คร่ำครวญถึงจูบแรกที่เสียไป
“อย่าบอกนะว่าเธอไม่ยอมหลับยอมนอนเพราะมัวคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน”
เธออดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้เหยียนสือเซี่ยที่ไม่เคยใคร่ครวญเรื่องชีวิตเริ่มใคร่ครวญขึ้นมาแบบนี้
“บอกมาเถอะน่า เธอชอบชีวิตแบบไหน”
“แน่นอนว่าฉันชอบชีวิตที่มีความสุข แต่หลายครั้งความสุขก็หาได้ยากเหลือเกิน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติแหละดี”
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอคิดว่าความสุขของเธอปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว เพียงแค่เอื้อมมือออกไปคว้าความสุขก็จะอยู่ในมือเธออย่างมั่นคงแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับบอกเธอว่ามันไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย
ความสุขที่ได้รับนั้นเข้ามาช้าและเข้ามาน้อยกว่าความสูญเสียมาก
ปล่อยไปตามธรรมชาติ…
เหยียนสือเซี่ยเก็บมาคิดอย่างเงียบๆ จิตใจที่คิดหาคำตอบอย่างว้าวุ่นมาตลอดดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งในทันที เธอก็แค่ต้องปล่อยให้เรื่องของเฉี่ยนเฉียนกับเฉินเป่ยชวนดำเนินไปตามเส้นทางของมัน
ถ้าเฉินเป่ยชวนรักเฉี่ยนเฉียนจริง ไม่ว่าระหว่างพวกเขาจะมีเรื่องที่เข้าใจผิดกันมากแค่ไหนมันก็จะได้รับการแก้ไขทีละน้อย แต่ถ้าเขาแก้ไขความเข้าใจผิดไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้เฉี่ยนเฉียนมีความสุขได้
“เอ้า! กุญแจรถ เธอไปส่งลูกที่โรงเรียนเองนะ วันนี้ฉันอยากจะจำศีล”
เธอพูดพลางโยนกุญแจให้ โชคดีที่วันนี้ไม่มีคดีต้องขึ้นศาล ดังนั้นถึงจะไม่ไปสำนักงานก็ไม่เป็นไร
เฉียวชูเฉี่ยนชินแล้วกับนิสัยที่ชอบพูดกลับไปกลับมา เธอยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะปลุกลูกชายให้ไปโรงเรียน
ขณะที่ขับรถไปอย่างช้าๆ และมั่นคง เฉียวชูเฉี่ยนก็เหลือบไปมองเจ้าตัวน้อยผ่านทางกระจกมองหลัง “ช่วงนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?”
“หม่ามี๊ถามแบบนี้เหมือนสบประมาทผมในฐานะลูกผู้ชายเลยนะฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนเงยหน้าขึ้นแล้วทำหน้าบึ้ง ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นคนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะรับมือกับข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ของใครบางคนไม่ได้
“ดูเหมือนจิ่งเหยียนของหม่ามี๊จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ”
มีรอยยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจผุดขึ้นมา ในไม่ช้ารถก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน
“แล้วเจอกันฮะหม่ามี๊”
“อื้ม ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ” เฉียวชูเฉี่ยนยังคงกำชับด้วยความกังวลเหมือนเดิมพลางเฝ้ามองร่างเล็กๆ ของเขาที่เดินจากไปไกลขึ้นเรื่อย
หลังจากสตาร์ทรถอีกครั้งสายตาบังเอิญกวาดไปเห็นรถเก๋งคันสีดำที่จอดอยู่ริมถนน เธออดขมวดคิ้วไม่ได้ ตลอดสองสามวันมานี้เธอเห็นรถคันนี้ทุกครั้งที่มาส่งจิ่งเหยียนเข้าเรียน
เธอรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจตลอดทั้งวัน ตอนพักเที่ยงจึงโทรหาคุณครูด้วยความไม่สบายใจและถามว่าจิ่งเหยียนเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทุกอย่างก็ปกติดี
เธอใช้มือนวดขมับที่ขึงตึง คงเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยทำให้เธอกลัว
“เฉียวชูเฉี่ยน เธออย่าทำให้ตัวเองตกใจได้ไหม”
ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานเธอคงได้เป็นโรคประสาทแน่ๆ
“เลขาเฉียว มีคุณมีคนมาหาคุณค่ะ”
ขณะที่กำลังถอนหายใจอยู่นั้นเพื่อนร่วมงานก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ใครคะ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอ”
“รองประธานเฉินจากบริษัทเฟิงฉิงน่ะ เขาบอกว่าจะรอคุณอยู่ที่ล็อบบี้ชั้นล่าง” พอพูดจบเธอก็หันหลังและออกไปจากห้องทันที เฉียวชูเฉี่ยนนิ่งไปนิดหนึ่งอย่างสงสัยว่าเฉินจิ้นถงมาทำอะไร