“ดูคุณสิ ผมแค่พูดว่าชดใช้ด้วยหัวใจคุณก็คิดอกุศลไปได้ คุณคิดว่าผมจะให้คุณชดใช้ด้วยอะไร? ด้วยร่างกายหรือว่าอะไรรึ?”
เขาพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถแต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ จากนั้นจึงหัวเราะร่าโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผู้หญิงคนนี้คิดไปไกลถึงขั้นไหนกันนะ
“…”
เธอโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก่อนที่จะโมโหจนเป็นบ้า อยู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณบอกผมไว้หรอกเหรอว่าอยากเลี้ยงข้าวผมเพื่อขอบคุณที่ช่วยเจ้าตัวเปี๊ยกนั่นไว้ ตอนนี้ผมก็กำลังหาโอกาสให้คุณกับเฉียวชูเฉี่ยนอยู่ไง โบราณว่าไว้เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำในสิ่งที่อยากทำก็คือเวลา ณ ตอนนี้ ผมเองก็ชอบแบบนี้ซะด้วย ดังนั้นวันนี้แหละดีที่จะเลี้ยงข้าวผม ถือได้ว่าเป็นการชดใช้ด้วยหัวใจ”
เหยียนสือเซี่ยไม่คิดว่าค่าเสียหายที่เขาพูดถึงจะหมายถึงการเลี้ยงข้าว แววตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความระแวง “คุณพูดจริงหรือเปล่า? แค่เลี้ยงข้าวมื้อเดียวก็พอแล้วจริงนะ?”
ไม่ใช่ว่านายคนนี้กำลังวางกับดักบางอย่างเพื่อรอให้เธอตุกหลุมพลางอีกหรอกนะ เธอถูกเอาเปรียบไปเยอะแล้ว
“ผมเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงในซั่นเป่ยชื่นชอบมากที่สุดนะ จะโกหกคุณไปเพื่ออะไร”
ถังอี้พูดพลางขยับปกเสื้อสูทของเขา หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วไม่ใช่ว่าเขาจะว่างเพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
แม้ว่าฟังแล้วอยากจะอ้วกแค่ไหนแต่เหยียนสือเซี่ยก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “โอเค งั้นก็ตามนี้ ฉันจะโทรหาเฉี่ยนเฉียน คุณเลือกแล้วกันว่าจะไปที่ไหน เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”
หลังจากพูดเองเสร็จสรรพเธอก็รีบต่อสายไปหาเฉียวชูเฉี่ยน
“ฮัลโหล เฉี่ยนเฉียน วันนี้ถังอี้อยากให้เราเลี้ยงอาหารค่ำเขาเป็นการขอบคุณน่ะ เธอว่างไหม?”
เฉียวชูเฉี่ยนที่กำลังแก้ไขเอกสารอยู่เหลือบไปมองนาฬิกา วันนี้เธอคิดว่าจะทำงานล่วงเวลาเพื่อจะได้แก้ไขงานให้เสร็จ แต่เมื่อคิดได้ว่าถ้าไม่ได้ถังอี้ช่วยไว้จิ่งเหยียนคงจะตกอยู่ในอันตรายเธอก็หมดความลังเลใจทันที “ว่างสิ ให้เขาเลือกร้านเลย เดี๋ยวฉันเลี้ยง”
“งั้นเดี๋ยวฉันค่อยส่งที่อยู่ให้เธอนะ ฉันจะไปรับลูกก่อน แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ร้าน”
หลังจากเหยียนสือเซี่ยกดวางสาย รอยยิ้มที่แสดงความขอบคุณอย่างสุภาพก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเธออีกครั้ง “คุณผู้มีพระคุณเชิญเลือกร้านอาหารได้เลยค่ะ เลือกเสร็จแล้วฉันจะเลี้ยงให้เต็มที่”
“ผมไม่เลือกอาหารที่อร่อยที่สุดหรอกนะ แต่จะเลือกที่แพงที่สุดเท่านั้น”
ถังอี้เป่าปอยผมที่ปรกหน้าผากของตัวเองด้วยท่าทางเท่ๆ ส่งผลให้เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธๆ ไอ้บ้านี่ขูดรีดกันซึ่งๆ หน้าเลย
“ก็ได้ ฉันจะไปรับลูกก่อน แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ร้านอาหาร”
พูดจบเธอก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้เขาเคลื่อนรถออกไปเร็วๆ ถ้าต้องเห็นหน้าอีตาบ้านี่ต่ออีกแม้แต่นาทีเดียวเธอคงเป็นบ้าแน่ๆ
“ผมว่างไม่มีอะไรทำ ผมไปกับคุณดีกว่า”
“พอได้แล้วถังอี้!”
หมอนี่จริงๆ แล้วไม่ได้อยากจะกินข้าว แต่เขาอยากจะปั่นหัวเธอเล่นต่างหาก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบให้ผู้หญิงพูดประโยคนี้ที่สุด ผมชอบประโยคนี้มากๆ เพราะเห็นได้ชัดว่ามันมาพร้อมกับคำชมเชย”
ยิ่งเธอโมโหมากเท่าไหร่ถังอี้ก็ยิ่งยิ้มอย่างมีความสุขมากเท่านั้น เมื่อก่อนเขาเคยรำคาญพวกผู้หญิงขี้โมโห แต่ไม่รู้ทำไมพอผู้หญิงคนนี้โมโหขึ้นมาแทนที่จะไม่พอใจเขากลับรู้สึกว่ามันน่ารักและอยากจะมองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
“…”
เหยียนสือเซี่ยสำลักจนพูดอะไรไม่ออก เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากลงจากรถของตัวเองแล้วย้ายไปนั่งบนรถโรลส์-รอยซ์ตรงที่นั่งข้างคนขับ
“ก็แค่นี้!”
……
“ทำไมแม่ทูนหัวไม่ขับรถของตัวเองมารับผมล่ะฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนที่เพิ่งขึ้นมาบนรถมองคนทั้งสองซึ่งนั่งอยู่ตรงเบาะหน้าอย่างสงสัย แม่ทูนหัวกับคุณอาถังอี้คบกันอยู่เหรอ?
“นายทุนใหญ่มีเงินน่ะ ชอบผลาญน้ำมันเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศ”
เธอกลอกตามองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ มีรถหรูให้นั่งฟรีจะไม่นั่งก็น่าเสียดาย
“แล้วเราจะไปไหนต่อฮะ?”
“โลกของนายทุนบางทีก็มีช่วงเวลาที่ยากจนจนต้องให้คนอื่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารน่ะ วันนี้เราก็เลยต้องเลี้ยงอาหารนายทุนเขาหน่อย”
เหยียนสือเซี่ยสบายใจขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้จิกกัดใครบางคน
“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมได้หมดใช่ไหมไม่ว่าผมจะอยากกินอะไร”
ถังอี้เองก็ไม่ใช่คนที่ใครจะยอมใครง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงถามเธอกลับทันที เหยียนสือเซี่ยกำลังจะตอบว่าเขาจะกินอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากออกไปอยู่ๆ ก็พลันเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ไอ้บ้านี่! ขนาดอยู่ต่อหน้าเด็กยังกล้าพูดจาไร้ยางอายแบบนี้อีก
เห็นได้ชัดว่าถังอี้จงใจทำให้เธอประสาทเสีย แต่เขายังแสร้งทำเป็นตีหน้าซื่อแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “คุณชั่วร้ายหรือเปล่า?”
“…”
เพื่อกันไม่ให้ตัวเองเผลอฆ่าใครตาย เหยียนสือเซี่ยจึงหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เธอต้องใจเย็นๆ เข้าไว้ จากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจำนวนมากมีข้อพิสูจน์แล้วว่าอาการชั่ววูบคือปีศาจร้าย และเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวสุดๆ
เฉียวชูเฉี่ยนไปถึงร้านอาหารบนตึกระฟ้าซึ่งมองเห็นวิวรอบด้านและหรูหราที่สุดในซั่นเป่ยก่อนใคร เธอก้มลงมองตัวเลขราคาที่แพงลิ่วแล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง เงินแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของจิ่งเหยียน
“เฉี่ยนเฉียน”
เฉียวชูเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเหยียนสือเซี่ย เธอลุกขึ้นยืนและโบกมือเรียกพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ถังอี้ อยากกินอะไรก็สั่งตามสบายเลยนะคะ ถ้าวันนั้นไม่มีคุณฉันคงไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำยังไง”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกครับ เราเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
ถังอี้พูดพลางหันไปมองเหยียนสือเซี่ยที่อยู่ข้างๆ อย่างจงใจราวกับจะบอกอะไรบางอย่างเป็นนัยๆ
“…”
“อย่าไปฟังใครบางคนพูดจาไร้สาระอยู่เลย เรารีบสั่งอาหารกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”
แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดแต่ใบหน้าของเหยียนสือเซี่ยกลับแดงระรื่อ เธอกับหมอนี่ไม่ได้สนิทกันเลยแม้แต่น้อย
เขาสั่งอาหารตามที่บอกไว้คือไม่ได้สั่งจานที่อร่อยที่สุดแต่สั่งจานที่แพงที่สุด ซึ่งว่าไม่ว่าจะพูดชื่ออาหารจานไหนเธอก็รู้สึกเจ็บใจไปหมด
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากๆ นะคะที่ช่วยจิ่งเหยียนเอาไว้ คุณคือผู้มีพระคุณของเราสองแม่ลูกแท้ๆ”
รอยยิ้มแห่งความซาบซึ้งใจปรากฏขึ้นในแววตาของเฉียวชูเฉี่ยนขณะที่หยิบแก้วไวน์ขึ้นมา
“ความจริงคนที่คุณควรขอบคุณไม่ใช่ผม แต่เป็น…”
ถังอี้เกาหัวแกรกๆ คำว่าผู้มีพระคุณไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของเขา พอมีใครมาซาบซึ้งในบุญคุณอย่างนี้เขาจึงทำอะไรไม่ค่อยถูก เพราะถึงอย่างไรผู้มีพระคุณตัวจริงของเธอก็ยังคงนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล
“หืม?”
เฉียวชูเฉียนชะงักไปนิดหนึ่ง ทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงด้วย ฉันลืมไปเลยว่าฉันควรจะเชิญหลินผิงมาเลี้ยงด้วย”
การช่วยจิ่งเหยียนคราวนั้นเขาคือคนที่เธอควรขอบคุณมากที่สุด
“ใช่ครับ นั่นแหละ คุณควรโทรหาหลินผิง”
ถังอี้รีบปัดความรับผิดชอบออกจากตัว การขอบคุณหลินผิงก็ไม่ต่างอะไรกับการขอบคุณเฉินเป่ยชวน การแอบอ้างเป็นผู้มีพระคุณของเขาจะได้ดูมีประโยชน์ขึ้นมาหน่อย
“งั้นฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้ละ”
เฉียวชูเฉี่ยนหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะโทรไปหาหลินผิงอย่างที่พูด ทว่าถังอี้เอื้อมมือมาห้ามไว้ก่อน “แย่จัง ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสั่งให้เขาไปทำธุระแถวแถบภูเขาเลยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผมว่าคุณค่อยหาโอกาสเลี้ยงข้าวเขาวันหลังดีกว่า”
เขาไม่สบายใจขึ้นมานิดหน่อยเพราะเฉินเป่ยชวนบอกว่าอย่าให้เธอรู้ความจริงเรื่องนี้เป็นอันขาด
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่สงสัยในตัวเขาเลย ทั้งยังดื่มเพื่อขอบคุณเขาอีกครั้ง
ระหว่างมื้ออาหารถังอี้ดื่มเข้าไปไม่ใช่น้อย พอออกมาแล้วเขาจึงเดินโซเซจนเฉียวชูเฉี่ยนอดกังวลไม่ได้ “สือเซี่ย ฉันว่าเธอต้องไปส่งเขาก่อนแล้วละ ดื่มเข้าไปขนาดนี้อาจจะเกิดปัญหาได้ง่ายๆ”
“โอเค งั้นเธอกับลูกเรียกแท็กซี่กลับนะ”
เป็นเรื่องเกินคาดที่เหยียนสือเซี่ยไม่ปฏิเสธ นอกจากนี้เธอยังเป็นฝ่ายเข้าไปพยุงแขนถังอี้แล้วพาเขามุ่งหน้าไปยังรถโรลส์-รอยซ์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลอีกด้วย
“หม่ามี๊ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าโลกของแม่ทูนหัวกำลังเป็นสีชมพูละฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรอขึ้นมาหลังจากกินอิ่ม ระหว่างสองคนนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ
“โลกสีชมพงสีชมพูอะไรกันล่ะ เราน่ะรีบกลับบ้านไปทำการบ้านได้แล้ว”
เธอเขี่ยจมูกเล็กๆ ของเขาก่อนจะหันไปมองยังทิศทางที่ทั้งคู่เดินจากไป สือเซี่ยอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มันคงจะดีที่สุดถ้าเธอพบใครสักคนที่เธอชอบ เพียงแต่ว่าถังอี้…
MANGA DISCUSSION