ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 155 ความแตกต่างของพี่น้องต่างแม่
เมื่อบริกรเห็นลูกค้าเข้ามาก็รีบนำเมนูมาให้ด้วยความกระตือรือร้น เฉินจิ้นถงส่งเมนูให้เฉียวชูเฉี่ยนแต่เธอกลับยิ้มและโบกมือปฏิเสธ “คุณสั่งดีกว่าค่ะ คุณเป็นลูกค้าประจำแถมยังเป็นเจ้ามือด้วย”
“โอเค งั้นผมจะสั่งไปสุ่มๆ ละนะ”
เฉินจิ้นถงไม่ปฏิเสธ เขาก้มหน้าก้มตาสั่งอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ ซึ่งท่าทางแบบนี้ทำให้เธออดนึกถึงเฉินเป่ยชวนไม่ได้
หากมองเผินๆ พวกเขาสองคนดูค่อยไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าทั้งคู่มีส่วนคล้ายกันมาก โดยเฉพาะเวลาที่ตั้งอกตั้งใจทำอะไรสักอย่างท่าทางของทั้งคู่ยิ่งดูคล้ายกันมาก ทว่าอุปนิสัยของพวกเขากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
นี่คงเป็นความแตกต่างของพี่น้องต่างแม่ละมั้ง
“คุณโอเคกับอาหารที่ผมสั่งหรือเปล่าครับ”
เมื่อส่งเมนูคืนให้บริกรแล้วเขาจึงถามเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและดึงความคิดของเธอกลับมา
“โอเคค่ะ”
เธอหลบตาเขาอย่างอึดอัดเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่เธอกำลังคิดอย่างเพลินๆ จนไม่ได้ฟังว่าเขาสั่งอะไรไปบ้าง
เฉินจิ้นถงสังเกตเห็นท่าทางที่อึดอัดของเธอแต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น หลังจากนั้นไม่นานบริกรก็ทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟ แล้วเฉียวชูเฉี่ยนก็พบว่าอาหารที่เขาสั่งมาล้วนเป็นของโปรดของเธอทั้งนั้น
“เป็นยังไงบ้างครับ ดูแล้วพอจะทานได้มั้ย?”
“น่าทานมากเลยค่ะ”
สิ่งที่น่ากลุ้มใจที่สุดในการกินอาหารร่วมกับผู้อื่นคือความชื่นชอบที่แตกต่างกัน แต่ไม่คิดเลยว่ารสนิยมการกินของเขาจะใกล้เคียงกับเธอขนาดนี้
แล้วทั้งสองก็เริ่มขยับตะเกียบ อาหารรสชาติดีมากจนทำให้เฉียวชูเฉี่ยนกินได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ ทำไมเธอถึงไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่มีร้านอาหารอร่อยๆ แบบนี้อยู่ ไว้วันหลังเธอคงต้องพาจิ่งเหยียนกับสือเซี่ยมาบ่อยๆ เสียแล้ว
“อาหารที่นี่ราคาไม่แพงแถมยังรสชาติดีมากเลยมีลูกค้าขาประจำเยอะ”
เฉินจิ้นถงกินไปด้วยคุยไปด้วยด้วยท่าทีสบายๆ บรรยากาศเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็เริ่มพูดเจื้อยแจ้ว พยายามไม่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจนเกินไป
“อ้อ จริงสิ คุณรู้เรื่องหลินเฟยเอ๋อร์แล้วใช่ไหม?”
มือของเฉียวชูเฉี่ยนที่ถือตะเกียบไว้ชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากก็ค่อยๆ เหือดหายไป “อื้ม ฉันเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้”
หลินเฟยเอ๋อร์เสียชีวิตอย่างกะทันหันเกินไป
“พี่นี่ก็จริงๆ เลย เกิดเรื่องกับหลินเฟยเอ๋อร์ขนาดนี้เขายังจะอยู่ที่ต่างประเทศอีก ไม่รู้ว่าเขาติดงานอะไรอยู่”
น้ำเสียงของเฉินจิ้นถงแฝงไปด้วยความไม่เห็นด้วยแต่ในตอนท้ายก็ยังแอบแก้ตัวให้เฉินเป่ยชวน ส่วนเธอก็ใช้ตะเกียบคีบกับข้าวเข้าปากอย่างเฉื่อยชา
ขนาดหลินเฟยเอ๋อร์ตายเขาก็ยังไม่กลับมา แถมในวันที่จิ่งเหยียนถูกลักพาตัวไปเขายังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยสักอย่าง
แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าหัวใจของเขาเย็นชาเพียงใด
“ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ” เฉียวชูเฉี่ยนส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มให้ “เปล่าค่ะ”
“อ้อ มีเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ว่ามันไม่ค่อยดีนักที่จะไหว้วานคุณ แต่ผมก็ยังอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณอยู่ดี”
เฉียวชูเฉี่ยนอยากหยุดบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้โดยเร็วจึงถามไปว่า “คุณจะให้ช่วยอะไรคะ?”
“คุณคงรู้จักนิสัยของคุณย่าดี ก่อนที่หลินเฟยเอ๋อร์จะตายคุณย่าให้ผมนำเอกสารการหย่าไปให้เธอ ซึ่งผมคิดว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้หลินเฟยเอ๋อร์สะเทือนใจจนทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย”
“หลังจากที่คุณย่าทราบเรื่องนี้ แม้ว่าท่านจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจก็คงโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง สภาพร่างกายและจิตใจของท่านก็ไม่ค่อยดีนัก ดูหดหู่ตลอดทั้งวันเลยละครับ”
หลังจากที่เฉินจิ้นถงเล่าจบเขาก็หยุดไปครู่หนึ่งด้วยความลำบากใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “ผมเลยคิดว่าหากคุณสะดวก คุณพอจะช่วยพาลูกไปเยี่ยมท่านหน่อยได้ไหมครับ คุณย่าชอบคุณมาก ผมคิดว่าหากท่านได้พบคุณท่านคงสบายใจขึ้น”
เมื่อพูดถึงคุณย่าที่ดูแลเธออย่างดีมาตลอดเธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ “ได้ค่ะ ฉันจะหาเวลาไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ ดูว่าวันไหนว่างแล้วจะพาลูกไปหาคุณย่านะคะ”
นัยน์ตาหลังแว่นเปล่งประกายด้วยความดีใจ “ขอบคุณมากครับ ผมจะกลับไปบอกข่าวดีให้คุณย่าทราบ ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
เฉียวชูเฉี่ยนได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินเป่ยชวนจะเป็นอย่างไรคุณย่าก็ดีกับเธอมากจริงๆ อีกทั้งตอนนี้เฉินเป่ยชวนก็ยังอยู่ต่างประเทศ จึงไม่มีอะไรต้องกังวลมากนักหากเธอจะไปหาคุณย่า
หลังจากรับประทานอาหารพร้อมบรรยากาศดีๆ เสร็จแล้ว เฉินจิ้นถงจึงลุกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ เฉียวชูเฉี่ยนดูเวลาแล้วจึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่เพื่อกลับไปแก้ไขงานส่วนที่คุยกันไว้
“ให้ผมไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจาก Q&C ฉันนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่า”
แค่ให้เขาเลี้ยงข้าวเธอก็เกรงใจมากแล้ว หากให้เขาไปส่งอีกเธอคงจะไม่สบายใจ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ หวังว่าคุณจะทำแผนงานเสร็จในเร็วๆ นี้นะครับ งั้นผมขอตัวกลับบริษัทก่อนนะ”
เฉินจิ้นถงเคารพความคิดของเธอและไม่พยายามดึงดันจะไปส่ง “ได้ค่ะ ฉันจะทำออกมาให้ดีที่สุดนะคะ”
เมื่อขึ้นมาบนรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ข้างทาง ในสมองของเฉียวชูเฉี่ยนก็คิดแต่เรื่องที่จะทำงานขั้นแรกนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าเฉินจิ้นถงที่เดินไปถึงบริษัทเฟิงฉิงได้หยุดฝีเท้าของเขาลงที่ชั้นล่างนั้นและหันไปมองยังทิศที่เธอจากไป
“อีกไม่นานผมจะทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงของผม แล้วคุณจะรู้ว่าผมไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินเป่ยชวนเลยแม้แต่น้อย แถมยังดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ”
การที่เฉินเป่ยชวนอยู่ในโรงพยาบาลไม่อาจขัดขวางไม่ให้เขารู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้ได้ อย่างเช่นเรื่องการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างระหว่างเฟิงฉิงและ Q&C หรือแม้แต่รายละเอียดตอนที่เฉียวชูเฉี่ยนและเฉินจิ้นถงไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
“เลือกจังหวะเวลาร่วมงานกันได้ดีนี่”
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็น เดิมทีการร่วมธุรกิจกับ Q&C อยู่ในแผนงานของเขาอยู่แล้ว แต่เฉินจิ้นถงกลับใช้โอกาสช่วงที่เขาไม่อยู่ไปเจรจากับ Q&C แค่เขาบอกว่าจะ “หายไป” จากซั่นเป่ยนานแค่ไหน เฉินจิ้นถงก็อดกลั้นความใจร้อนของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
รอยยิ้มนั้นทำให้หลินผิงชาวาบไปทั้งตัว เขาอยู่กับบอสมาหลายปีจนเข้าใจวิธีการแสดงออกทางอารมณ์ของเขาดี ยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณเฉียวด้วย เขาจึงรับรู้ความไม่สบายใจของบอสได้เป็นอย่างดี
“บอสครับ ตอนนี้คนของเขาแทรกซึมเข้าไปอยู่ในแผนกต่างๆ เรียบร้อยแล้วและล้วนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เตะตา บอสต้องการให้พวกผมจัดการคนพวกนั้นก่อนเลยไหมครับ”
เขาพยายามเปลี่ยนไปคุยหัวข้อที่ไม่ซับซ้อน แม้ว่าตอนนี้คนเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ก่อปัญหาใหญ่ในอนาคต ทางที่ดีที่สุดคือต้องกำจัดพวกเขาออกไปก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น
“ไม่ต้อง ปล่อยให้เขาลำบากทุ่มแรงไปกับคนพวกนั้นก่อน”
เฉินเป่ยชวนปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยไม่คิดแม้แต่นิดเดียว การจัดการคนของเฉินจิ้นถงในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่นั่นรับประกันไม่ได้ว่าเขาจะไม่หาคนมาเพิ่มอีก การทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้เฉินจิ้นถงเสียอะไรไปมากนัก กลับกันมันจะทำให้เขาเป็นฝ่ายเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
มันจะดีกว่าถ้าปล่อยให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงดูคนเหล่านี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะได้รับผลประโยชน์จากความพยายาม เขาก็จะถอนรากถอนโคนคนพวกนั้นออกไปให้หมด เมื่อถึงเวลานั้นเฉินจิ้นถงจะไม่เพียงแค่เสียเวลา แต่เขาจะเสียแรงกายแรงใจไปด้วย
พอหลินผิงได้ยินดังนั้นรอยยิ้มที่หาดูได้ยากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผมทราบแล้วครับว่าควรทำอย่างไร อ้อ จริงด้วย ผลชันสูตรศพหลินเฟยเอ๋อร์ออกมาแล้วนะครับ จากผลตรวจเลือดพบว่านอกจากจะมีแอสเปอร์จิลลัสที่เป็นสาเหตุของการตายแล้วยังมีส่วนผสมของยาระงับประสาทหลงเหลืออยู่ด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อของหลินเฟยเอ๋อร์ สีหน้าของเฉินเป่ยชวนก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที การตายของเธอมันง่ายเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาคงจะทำให้เธอรู้ว่าชีวิตที่ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างและการตายทั้งเป็นมันเป็นอย่างไร
“ยาระงับประสาททำให้ยาแอสเปอร์จิลลัสในร่างกายของเธอออกฤทธิ์ช้าลงใช่ไหม”
“ใช่ครับ แต่เราบอกไม่ได้ว่าเธอได้รับยาระงับประสาทไปมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นจึงยังคาดเดาไม่ได้ว่าเธอถูกฆาตกรรมตั้งแต่เมื่อใด”