ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 153 เฉียวชูเฉี่ยนไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ
เมื่อถูกดึงสติกลับมาเฉินจิ้นถงก็ยิ้มให้มารดาอย่างเป็นปกติ “มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
“ไม่มีอะไรจ้ะ แม่แค่คิดว่าเมื่อกี้นี้ท่าทางลูกดูแปลกๆ”
แววความสงสัยยังไม่จางหายไปจากใบหน้าของเว่ยชูหรง แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้จึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ลูกชาย “จิ้นถง การที่เฉินเป่ยชวนไม่ทำอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินเฟยเอ๋อร์เลยสักอย่างมันจะต้องส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขาแน่ นี่อาจจะเป็นโอกาสดีๆ ที่พระเจ้ามอบให้ลูกก็ได้ ลูกต้องคว้าเอาไว้ให้ได้นะ เข้าใจไหม”
จิ้นถงและเป่ยชวนต่างก็เป็นทายาทของตระกูลเฉิน แต่เฉินเป่ยชวนกลับเป็นเพียงคนเดียวที่ได้หน้าไปทั้งหมด
“คุณแม่ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมเสียโอกาสอะไรไปง่ายๆ นะครับ”
เฉินจิ้นถงลุกขึ้นและเดินจากไปโดยทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มที่เธอยากจะเข้าใจ
ในอพาร์ตเมนต์ มีดวงตาสามคู่กำลังจับจ้องอยู่ที่รายงานข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์
“แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง ปล่อยให้เธอฆ่าตัวตายแบบนี้คงเหมาะแล้วจริงๆ”
เหยียนสือเซี่ยระบายความโกรธออกมาแต่ก็ยังไม่หายขุ่นเคือง คนเลวที่คิดจะทำร้ายเด็กแบบนี้ควรจะถูกประหารด้วยการยิงเป้าด้วยซ้ำ การตายแบบนี้สิถึงจะสาสม
“แต่แม่ทูนหัวเป็นคนที่ต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายที่สุดนะฮะ”
เฉียวจิ่งเหยียนที่อยู่ข้างๆ เตือนด้วยความหวังดี แม่ทูนหัวเป็นทนายความด้านการหย่าร้างที่อายุน้อยและเก่งที่สุดในซั่นเป่ย ทำไมถึงได้ทำตัวอย่างกับเป็นหนุ่มสาวหัวรุนแรงแบบนี้
“หนูจะเข้าใจอะไร แบบนี้แม่ทูนหัวเรียกว่าการผสมผสานกันระหว่างความเยือกเย็นและความเลือดร้อน เป็นสติปัญญาและความงามที่รวมอยู่ในคนคนเดียว”
ในขณะที่คนสองวัยเปิดประเด็นถกเถียงกัน เฉียวชูเฉี่ยนกลับดูโทรทัศน์อยู่เงียบๆ
เรื่องที่จิ่งเหยียนถูกลักพาตัวรวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้หลินเฟยเอ๋อร์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ ดังนั้นเธอควรจะมีความสุขเมื่อรู้ว่าหลินเฟยเอ๋อร์ตายแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด เธอรู้สึกราวว่ามีคนกดปุ่มกรอไปข้างหน้าจนเธอเห็นตอนจบแต่ทว่ากลับพลาดส่วนที่สำคัญไปหลายอย่าง ซึ่งส่วนที่พลาดไปนั้นอาจจะซุกซ่อนอันตรายที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไว้ก็ได้
“คิดอะไรอยู่น่ะ”
พอถูกเหยียนสือเซี่ยสะกิดที่แขนเธอจึงดึงความคิดของตัวเองออกมาจากเรื่องที่ไม่สบายใจ “ไม่มีอะไร ฉันแค่เสียดายนิดหน่อยน่ะ”
เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ ที่นักแสดงหญิงชื่อดังซึ่งกำลังเป็นที่นิยมที่สุดในวงการบันเทิงต้องมาลงเอยแบบนี้เพียงเพราะว่าเธออยากจะเป็นคุณนายเฉิน
“มีอะไรน่าเสียดาย? คนประเภทที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการทำสิ่งที่น่ารังเกียจแบบนี้ตายไปนั่นแหละดีแล้ว ต้องได้รับโทษแบบนี้ถึงจะสาสม”
แววตาของเหยียนสือเซี่ยเป็นประกายจ้า สำหรับผู้ที่คลุกคลีอยู่กับกฎหมาย ในตอนแรกมันเป็นเพราะความศรัทธาและความกระตือรือร้นในกระบวนการยุติธรรม แต่หลังจากเข้ามาอยู่ในสายอาชีพนี้จริงๆ จึงพบว่าหลายๆ ครั้งกฎหมายก็เลือดเย็นและไร้ความปรานีเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งก็มีบางสิ่งที่อยู่เหนือกฎหมายไปอีก แต่คราวนี้เธอรู้สึกได้ทันทีว่าตนเองได้ดึงเอาความฮึกเหิมและความกระตือรือร้นเหมือนครั้งที่เรียนกฎหมายกลับมาได้อีกครั้ง
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนสงสัยว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สบายใจเลยจริงๆ
“จริงด้วย ปลายเดือนหน้าที่คณะของเราจะจัดงานเลี้ยงรุ่นหลังจากเรียนจบมา 7 ปี เธออยากไปด้วยกันไหม? เพื่อนร่วมห้องของฉันหลายคนกลายเป็นนักกฎหมายที่ยอดเยี่ยมและมีฝีมือมากๆ ฉันแนะนำให้เธอรู้จักได้นะ แถมงานนี้ยังมีหนุ่มๆ งานดีไปด้วยนา… เธอไปกับฉันเถอะ”
พอเห็นว่าคิ้วของเพื่อนสาวยังคงขมวดอยู่แบบนั้นเธอจึงหาทางเบี่ยงเบียนความสนใจไปเรื่องอื่น แม้ว่าในคณะนิติศาสตร์จะมีผู้ชายอยู่ไม่มากนักแต่ก็ล้วนเป็นผู้ชายที่มีคุณภาพ เธอไม่สนใจลู่ฉีก็จริง แต่ถ้าลองเปลี่ยนคนใหม่เธออาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
“หยุดเลยนะ นั่นคณะของพวกเธอ จะให้ฉันไปทำอะไร?”
เฉียวชูเฉี่ยนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเธอจบจากมหาวิทยาลัยมาเจ็ดปีแล้ว ไม่สิ ของเธอต้องบอกว่าแปดปีถึงจะถูก เพราะว่าตอนนั้นท้องจิ่งเหยียนเธอจึงต้องตัดสินใจหยุดเรียนตอนที่อยู่ปีสุดท้าย
“แล้วยังไงล่ะ คณะแพทย์ของเธอไม่ใช่คณะในมหาลัยหรือไง?”
เหยียนสือเซี่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอาจช่วยให้เฉี่ยนเฉียนผ่อนคลายลงบ้าง ถ้าเธอมีความรักอีกครั้งมันคงทำให้อะไรๆ ดีขึ้น
ขณะที่กำลังวาดฝันอย่างสวยงามเธอก็ได้ยินเสียงปฏิเสธอย่างไม่ลังเลดังขึ้นที่ข้างหู
“ฉันไม่ไปนะ ฉันลางานที่ Q&C มาหลายวันแล้ว หลังจากนี้คงยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อนเธอหรอก”
“เหตุผลของเธอมันจะยาวไกลเกินไปไหม งานเลี้ยงรุ่นไม่ได้จัดสิ้นเดือนนี้แต่เป็นสิ้นเดือนหน้านะยะ เธอยังมีเวลาอีกตั้งเดือนครึ่ง ไม่กระดากเลยหรือไงที่ยกเหตุผลนี้มาปฏิเสธฉัน”
เหยียนสือเซี่ยเอ่ยอย่างไม่พอใจและไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ นั่นทำให้เธออึดอัดและขัดใจจนต้องทำเป็นยอมๆ ไป “ฉันจะพยายามก็แล้วกัน โอเคไหม?”
เธอทำเป็นตอบตกลงไปก่อน พอถึงเวลานั้นค่อยหาเหตุผลมาปฏิเสธอีกที
“ก็โอเคอยู่หรอก แต่อย่าคิดว่าพอถึงเวลาแล้วจะเบี้ยวฉันละ ฉันจะคอยจับตาดูเธอเอาไว้”
นิ้วเรียวนั้นทำท่าให้ดูเป็นเชิงว่าฉันกำลังจ้องมองเธออยู่นะ จากนั้นจึงจูงลูกชายทูนหัวที่อยู่ข้างๆ วิ่งไปยังห้องเล่นเกมที่จัดไว้ชั่วคราวกันสองคน
เฉียวชูเฉี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีและกดรีโมทคอนโทรลเพื่อปิดโทรทัศน์ ไม่ว่าการตายของหลินเฟยเอ๋อร์จะยังน่าสงสัยและดูอันตรายอย่างไร แต่อย่างน้อยคนที่อาจคุกคามเธอกับจิ่งเหยียนได้ก็หายไปแล้วหนึ่งคน ซึ่งนั่นถือว่าเป็นข่าวดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียวชูเฉี่ยนและเหยียนสือเซี่ยไปส่งจิ่งเหยียนเข้าชั้นเรียนด้วยกัน ครูประจำชั้นรีบกล่าวขอโทษอย่างแข็งขันตั้งแต่พบพวกเธอเพราะกลัวว่าเธอจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“อาจารย์เฉินคะ ถ้าจิ่งเหยียนมาถึงโรงเรียนไม่ตรงเวลาอีก รบกวนอาจารย์รีบโทรหาฉันให้เร็วที่สุดเลยนะคะ”
ถ้าหากว่าครั้งก่อนที่โรงเรียนโทรไปแจ้งให้รู้ตั้งแต่แรกว่าจิ่งเหยียนยังมาไม่ถึงโรงเรียน พวกเธอก็อาจจะไม่ต้องพบเจอกับความยากลำบากขนาดนั้น
“คุณเฉียวไม่ต้องกังวลนะคะ ครั้งที่แล้วเป็นเพราะฉันสะเพร่าเอง แต่หลังจากนี้ฉันจะเอาใจใส่จิ่งเหยียนให้มากขึ้นว่าเขามาโรงเรียนหรือเปล่า”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะให้รับผิดชอบ คุณครูประจำชั้นจึงโล่งใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากเกิดเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ ละก็ ต่อไปนี้เธอคงหมดอนาคตแน่ๆ
“รบกวนคุณครูด้วยนะคะ”
พอออกมาจากโรงเรียนแล้วเหยียนสือเซี่ยก็อดบ่นไม่ได้ “เธอนี่เป็นคนดีเกินไปไหม ถ้าเป็นฉันละก็คงให้โรงเรียนออกมาชี้แจงไปแล้ว”
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นถือว่าเป็นความประมาทไม่ใช่หรือ? ถ้าหากจิ่งเหยียนเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?
“ให้ชี้แจ้งแล้วยังไงต่อล่ะ ยังไงจิ่งเหยียนก็ต้องเรียนที่นี่ เรียนที่ซั่นเป่ย”
การชี้แจงอาจจะทำให้จิ่งเหยียนเรียนที่โรงเรียนนี้อย่างไม่มีความสุข ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอยอมให้เรื่องจบไปเงียบๆ ดีกว่า
เหยียนสือเซี่ยชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะโอบบ่าของเธอไว้ “เธอเปลี่ยนไปนะ อยู่ๆ เฉี่ยนเฉียนของฉันก็กลายเป็นผู้ใหญ่มากกว่าฉันไปซะแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเฉี่ยนเฉียนในอดีตที่ไม่เคยยอมใครและมักจะไม่ยอมทนเมื่อมีเรื่องที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้นตอนนี้จะมีทัศนคติที่เปิดกว้างขึ้นแล้ว
“แล้วไงล่ะ ฉันโตแล้วนะ จะให้ทำเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจและอ่อนต่อโลกหรือไง?”
เธอรู้สึกขบขันกับคำชมนี้ คนเราทุกคนต้องเรียนรู้เพื่อเติบโตขึ้น เพียงแต่ว่าราคาที่เธอต้องจ่ายเพื่อเรียนรู้นั้นค่อนข้างสูงมากไปก็เท่านั้น
“ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันจะก็ไม่มีวันทอดทิ้งเธอ”
หลังจากโน้มไปหอมแก้มของเธอหนึ่งฟอด ทั้งสองคนก็ผลักกันเข้าไปในรถ
“ตอนนี้ฉันต้องไปส่งเฉี่ยนเฉียนที่โตเป็นผู้ใหญ่ไปทำงานแล้วละ”
เหยียนสือเซี่ยสตาร์ทรถด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากโรงเรียน เฉียวชูเฉี่ยนก็เหลือบไปเห็นรถสีดำคันหนึ่งขับออกมาผ่านกระจกมองหลังแต่ทว่าไม่ได้ใส่ใจมากนัก