ภายในโรงพยาบาล เฉินเป่ยชวนกำลังเข้ารับการตรวจอยู่ในห้องตรวจ ตัวเลขที่ซับซ้อนบนอุปกรณ์ขั้นสูงเข้าใจยากจนทำให้หลินผิงมองดูจนปวดหัว ทว่าหัวหน้าอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ กลับมีสีหน้าที่พึงพอใจ
“หัวหน้า ผลลัพธ์ดีไหมครับ ?”
“ไม่เลวนะ ดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้เยอะเลย ดูแลอย่างละเอียดอีกหนึ่งถึงสองเดือนก็ออกโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ว่าเมื่อถึงฤดูหนาวแล้วจะต้องระมัดระวังอบอุ่นร่างกายด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผิวหนังไม่สบายได้ง่ายมาก”
ผิวหนังเองก็มีความทรงจำเช่นกัน ถ้าหากเคยถูกทำลายจากความเย็นจัดมาก่อนแล้วเจอกับอากาศที่หนาวเหน็บอีกครั้ง ก็จะเกิดปฏิกิริยาธรรมชาติขึ้นมา เรื่องนี้แต่งต่างจากผิวหนังถูกทำลายจากความร้อนจัดอย่างมาก
“ครับ”
หลังจากที่หลินผิงได้ยินแล้วภายในใจก็รู้สึกโล่งขึ้นมา เมื่อมั่นใจแล้วว่าบอสไม่เป็นอะไร เขาก็สบายใจได้เสียที
“ยังเหลือผลการตรวจเลือดหลายรายการยังไม่ออกมา อีกสักครู่พวกคุณค่อยไปรับผลมานะ แต่ผมคิดว่าเมื่อดูจากสภาพร่างกายของเขาตอนนี้แล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ครับ รบกวนคุณด้วยนะครับ”
หลินผิงโค้งคำนับเพื่อเป็นการขอบคุณอย่างจริงจัง หัวหน้าอาวุโสยิ้มพร้อมโบกมือแล้วเดินจากไป มีหลายคราที่ผู้ป่วยรอดจากความตายมาได้นั้นไม่ได้พึ่งพาหมออย่างเดียว แต่ยังพึ่งพาจิตตานุภาพของตนเองด้วย
เฉินเป่ยชวนลงจากเครื่องมือ จากนั้นก็ถูกหลินผิงพยุงไปนั่งยังวีลแชร์ที่อยู่ข้าง ๆ ตอนนี้บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บของเขาตกสะเก็ดเรียบร้อยแล้ว ครั้นหากเดินแรงเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้แผลที่ตกสะเก็ดยังไม่สมบูรณ์นั้นปริออกได้ ทำได้เพียงนั่งอยู่บนรถเข็นแทนการเดินไปก่อน
“บอสครับ ยังเหลือผลการตรวจเลือดสองสามรายการยังไม่ได้รับ แต่หัวหน้าจางบอกว่าผลลัพธ์ดีกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”
“ไปเอาพร้อมกันเถอะ” เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน แม้ภายในตึกอากาศจะไม่ดีเท่าไร ทว่ามันคงดีกว่าอยู่ภายในห้องผู้ป่วยตลอดอยู่แล้ว
“ครับ”
หลินผิงเข็นเขาเข้าไปยังห้องปฏิบัติการตรวจเลือด เมื่อคุณหมอที่อยู่ข้างในเห็นเฉินเป่ยชวนจึงลุกขึ้นมาทันที “คุณเฉิน ทำไมคุณมาเองเลยล่ะครับ ?”
เฉินเป่ยชวนเป็นดั่งบุคคลที่ราวกับเทพซั่นเป่ยเชียว ปกติแล้วคนอย่างพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้พบปะเลย ตอนนี้เยี่ยมไปเลย คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันเช่นนี้
“พวกเรามารับใบรายงานการตรวจเลือดครับ”
หลินผิงตอบกลับไปแทน หมอท่านนั้นอาจคิดว่าการประจบประแจงคงไม่สำเร็จจึงได้ก้มหน้าก้มตาหาอยู่ในกองผลรายงานการตรวจ
เฉินเป่ยชวนเหลือบตามองใบรายงานที่เรียงกันประปรายอยู่บนโต๊ะ สายตากลับสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า
หมู่โลหิตอาร์เอชลบ
แม่ของเขาคืออาร์เอชลบ เขาจึงได้รับการถ่ายทอดกรุ๊ปเลือดนี้ด้วย คิดไม่ถึงว่าหมู่โลหิตอาร์เอชลบจะไม่ได้พบเจอได้ยากขนาดนั้น
“บอสครับ ?”
หลินผิงสังเกตเห็นสายตาของเขา จึงได้ก้มหน้าเรียกเขา
“เอากระดาษรายงานผลแผ่นนั้นมาให้ฉันดูหน่อย”
เขายื่นมือไปชี้กระดาษแผ่นนั้น ภายในแววตามีความเอือมละอาผุดขึ้นมา เพื่อผู้หญิงคนนั้นตนเองเกือบจะเสียชีวิตสองครา ถ้าหากมีครั้งต่อไป ไม่แน่ว่าตนเองจะต้องการถุงเลือดสำรอง
หลินผิงหยิบรายงานแผ่นนั้นขึ้นมา ครั้นชื่อที่อยู่บนนั้นทำให้เขาต้องตกตะลึงไป
“มีอะไรเหรอ ?”
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วขึ้นมา สายตาก็มองตามไปด้วย
หลังจากที่เห็นสามพยางค์บนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไปทันที ภายในวงการธุรกิจในซั่นเป่ยผู้ใดไม่ทราบว่าเฉินเป่ยชวนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตีหน้านิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับฝ่ายคู่แข่งแบบไหน ก็อย่าคิดที่จะมองสำรวจอารมณ์บนใบหน้าจากเขาไปได้แม้แต่น้อย ทว่าครั้งนี้สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปจนถึงที่สุด อีกทั้งยังปกปิดไม่ได้อีกด้วย
เขากระชากกระดาษรายงานมาอย่างรวดเร็ว สันคิ้วของเขาขมวดแน่น เส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือขณะที่บีบกระดาษรายงานขยับขึ้นมา “เฉียวจิ่งเหยียนที่เขียนบนกระดาษรายงานนี้ใช่คนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไปหรือเปล่า”
“ใช่……ใช่เขาครับ ไม่รู้ว่าลืมเอากระดาษรายงานผลไปหรือว่าปริ้นซ้ำกันครับ แต่ว่าผลลัพธ์ไม่มีปัญหาอะไร เขาออกโรงพยาบาลไปแล้วครับ”
คุณหมอตกใจกับปฏิกิริยาอันกะทันหันของเขา ทำให้ปากของคุณหมอเริ่มสั่นขึ้นมา
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นหลากหลายอารมณ์ ไม่รู้ว่าดีใจหรือว่าโมโหกันแน่ เขาบีบกระดาษรายงานไว้ในมือพร้อมหันหน้าไปพูดกับหลินผิงที่อยู่ข้างหลังด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลับไปก่อน”
หลินผิงก็ไม่กล้าที่จะขัดจังหวะ จึงได้เข็นวีลแชร์กลับห้องผู้ป่วยไปทันที
“บอสครับ ?”
“โทรหาหลี่จิ้ง”
เขากักเก็บอารมณ์ที่ระอุขึ้นมาอยู่ในใจไม่หยุดเอาไว้ ครั้นน้ำเสียงอันร้อนใจยังคงเปิดเผยความร้อนรนใจในเวลานี้ของเขาอยู่ดี
เมื่อเจ็ดปีก่อน เขาคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของลู่ฉี ดังนั้นจึงเซ็นชื่อบนใบสำคัญการหย่า เจ็ดปีต่อมาเมื่อเขาเห็นเจ้าตัวน้อยที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงเขาอย่างถึงที่สุดผู้นั้น สุดท้ายก็ดันเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นลูกของลู่ฉีอยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าเขาจะกระทำความผิดพลาดที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกด้วย !
หลินผิงโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีเสียงผู้ชายที่ขี้เกียจดังเข้ามา “นายส่งคนมาสะกดรอยตามฉันใช่ไหม ฉันเพิ่งลงจากเครื่องบินเมื่อสักครู่ยังไม่ทันได้หายใจเข้าเลยด้วยซ้ำ นายก็โทรเข้ามาแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้วมั้ง พูดมาเถอะ ครั้งนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่าให้ฉันตรวจดีเอ็นเออีกแล้วหรอกใช่ไหม ?”
หลี่จิ้งเอ่ยหยอกล้อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกติ หากไม่เป็นเพราะทางบ้านบังคับให้เขาเป็นหมอ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเขาไปกับโรงพยาบาล ทว่าเมื่อมีข้อเรียกร้องเขาก็มีวิธีการรับมือ ขณะที่เลือกคณะตอนมหาวิทยาลัยเขาเลือกแผนกที่งานเบา นั่นก็คือการตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากคิดว่างานว่างและเบา ยามที่ไม่มีอะไรก็ไปพักผ่อนวันหยุดประจำปี และไม่ต้องทำโอทีจนทำให้ตัวเองกลายเป็นแอปเปิลเน่า
ครั้นผู้ใดจะไปรู้ว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน แผนกที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่นิยม บัดนี้กลับมีเป็นที่ต้องการสูงมาก ขยับนิดขยับหน่อยก็ต้องทำโอทีเพื่อเปรียบเทียบตัวอย่าง ทำให้เขารู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อก่อนที่ให้นายตรวจดีเอ็นเอ นายทำยังไง ?”
เฉินเป่ยชวนถามด้วยความสงสัย ลู่ฉีไม่มีทางที่จะมีหมู่โลหิตอาร์เอชลบเหมือนอย่างเขาแน่นอน เรื่องนี้แสดงว่าเจ้าตัวเปี๊ยกนั่นเป็นลูกชายของเขาและเฉียวชูเฉี่ยนเท่านั้น
“ทำยังไงอะไรกัน แน่นอนว่าใช้เครื่องมือทำน่ะสิ ทำไมเหรอ ? นายคิดว่าผลลัพธ์ไม่ใช่ที่ต้องการ ต้องการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือไง ?”
ความอารมณ์ดีหลังจากพักร้อนที่ต่างประเทศหนึ่งเดือนกว่าหายไปเกือบครึ่งหนึ่งเพียงชั่วพริบตา หากดูจากมุมมองของผู้ที่มีความรู้ปกติแล้ว เขาเกลียดผู้ชายที่ขาดความรับผิดชอบที่สุด ครั้นหากมองตามมุมมองของเพื่อนแล้ว เขาไม่อยากให้เพื่อนของตนเองโดนอนุพันธ์ของอสุจิข่มขู่
ควรทำเช่นไรดี ?
“เพราะงั้นผลการตรวจครั้งนั้นคือพ่อลูกกันงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียง เฉินเป่ยชวนก็ได้รับคำตอบที่ตนเองต้องการทันที เฉียวจิ่งเหยียนเป็นลูกชายของเขาจริง ๆ
“แน่นอน ระดับความเหมือน 99% ไม่ใช่พ่อลูกกันแล้วจะเป็นอะไรกัน ? นายกำลังสงสัยความเป็นมืออาชีพของฉันงั้นเหรอ ?”
เฉินเป่ยชวนยื่นโทรศัพท์ให้หลินผิงที่อยู่ข้าง ๆ ภายในดวงตาผุดความเยือกเย็นออกมา รายงานการตรวจของหลี่จิ้งถูกใครบางคนสลับอย่างเห็นได้ชัด มือใหญ่ ๆ ที่บีบแผ่นรายงานการตรวจนั้นรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เขานึกคิดลำดับเรื่องราวของวันนั้นอีกรอบ จากนั้นหางตาก็หรี่ลงอย่างอันตราย ดีมาก หลินเฟยเอ๋อร์ เธอวางกลอุบายไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี่เอง
“ฮัลโหล เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ฉันไปพักร้อนที่ไกลโพ้นเลยพลาดเรื่องราวไปมากใช่ไหม ?”
หลี่จิ้งชอบฟังเรื่องราวซุบซิบนินทาของผู้อื่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องนินทานั่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนตนเอง ให้ตายอย่างไรก็ไม่สามารถพลาดได้
หากรู้เช่นนี้ตั้งนานแล้วเขาควรไปพักร้อนช้ากว่านี้สักเดือน การอยู่ห่างจากโลกแสร้งทำเป็นเวลาหนึ่งเพื่อชำระจิตวิญญาณนั้นได้ ครั้นชีวิตคนเราก็ต้องพึ่งเรื่องซุบซิบนินทาต่าง ๆ นานา จึงจะทำให้การหล่อเลี้ยงชีวิตนั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
“วางสายก่อนนะ” หลินผิงไม่พูดมากวางสายทันที ราวกับไม่ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้อย่างไรอย่างนั้น
“บอสครับ อยากไปเจอคุณเฉียวหน่อยไหมครับ ?”
MANGA DISCUSSION