ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 142 อุบัติเหตุรถชน
เขาดึงประตูรถออกแล้วขับรถยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว ครั้นความเจ็บปวดราวกับหัวใจร้าวนั้นกลับยังคงไม่เสื่อมคลาย
ลู่ฉี่ นายทำได้ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปก็พอแล้ว
ราวกับการเข้ารับการผ่าตัด ผู้ป่วยผ่าตัดหลายคนต่างก็ต้องตัดตับและปอดออกครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่
“ลูกแม่”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเด็กอายุสามสี่ขวบที่ไม่รู้ว่าหลุดออกจากมือผู้ใหญ่ได้อย่างไรกำลังวิ่งเข้ามายังถนน ครั้นความเร็วของรถเขานั้นเร็วมากจึงอาจทำให้ชนเขาได้
เขาเปิดไฟเลี้ยวทันที แทบจะไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นก็หักเลี้ยวออกจากเส้นทางที่รถตนเองกำลังแล่นอยู่เพื่อหลบชีวิตน้อย ๆ ที่ไร้เดียงสาผู้นั้น
ปัง !
เสียงกระแทกดังขึ้นอย่างรุนแรง ถุงลมที่เด้งออกมาทำให้สมองของเขามีเสียงหวืดขึ้นมา จากนั้นก็หมดสติไป
“เกิดอุบัติเหตุรถชน รีบโทรหา 120 !”
ภายในกลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มโทรหารถพยาบาล รถยนต์ที่ถูกชนนั้นเป็นรถลัมโบร์กีนีที่ถูกแต่ง หน้ารถที่ถูกตกแต่งอย่างสมบูรณ์แบบถูกชนเข้าจนยุบไปทั้งหมด โชคดีที่ฝ่ายนั้นมีการตอบสนองรวดเร็ว หลีกเลี่ยงมุมตายที่มีแรงกระแทกรุนแรงที่สุดซึ่งมีผู้คนล้มตายกันมากได้ทัน
ประตูรถยนต์ถูกถีบออก หญิงสาวที่รูปร่างเล็กผอมบางเดินออกมาจากข้างในรถด้วยความโซเซ ใบหน้าสวยสดงดงามโดดเด่น เส้นผมสีบลอนด์สว่างมองดูแล้วสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์บนศีรษะเสียอีก ถ้าหากไม่ใช่เพราะรอยคราบเลือดที่ไหลอยู่บนแขนนั้น จะกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง
เซียวเซียวมอง SUV สีฟ้าซึ่งเป็นรถแสนรักของตัวเองที่ถูกชนยับ รู้สึกโมโหขึ้นมาด้วยเหตุผลมากมาย ทั้งที่เธอขับรถอยู่บนถนนดี ๆ แล้วแท้ ๆ ก็ชนเข้ามาอย่างน่าแปลกประหลาด จงใจรนหาเรื่องหรืออย่างไร !
“คุณผู้หญิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม พวกเราเรียกรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว”
กลุ่มคนมุงที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้นมาด้วยความระมัดระวังทันที อุบัติเหตุรถยนต์ชนกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพียงแค่หากไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจนถึงตายก็พอแล้ว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะคะ”
เซียวเซียวที่เมื่อสักครู่นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโหฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างใจดี ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อสักครู่นี้
เธอเดินอ้อมหน้ารถมา จากนั้นก็เดินไปยังที่นั่งคนขับของรถอีกคัน เธออยากเห็นว่าไอ้คนตาถั่วแบบไหนกันแน่ที่ชนเธอ
แววตาอันหงุดหงิดตกอยู่บนใบหน้าที่สลบไสลของลู่ฉี เธอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย หน้าตาไม่เลวเลยนี่ รู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหน ?
บริเวณที่เกิดเหตุอยู่ใกล้จากโรงพยาบาลมาก เจ้าหน้าที่พยาบาลจึงมาถึงด้วยความรวดเร็วกว่าปกติ คุณหมอสองคนเคลื่อนย้ายลู่ฉีออกจากที่นั่งคนขับอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ทำการตรวจสอบอย่างง่าย ๆ ก่อน
“เฉี่ยนเฉียน……”
ในขณะที่กำลังสลบไสลอยู่นั้นเขาพึมพำขึ้นมา เซียวเซียวที่กำลังพันแผลอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเข้าหูไปโดยปริยาย หางตาจึงได้ยกขึ้นทันที มิน่าเธอจึงรู้สึกคุ้นหน้าคร่าตาเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
“คุณผู้หญิง คุณเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน เชิญไปตรวจที่โรงพยาบาลกับพวกเราหน่อยดีกว่าครับ”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือนขึ้นมาด้วยความหวังดี อุบัติเหตุรถชนทำให้สมองกระทบกระเทือนได้ง่าย มีบางคนมองดูปกติมากในที่เกิดเหตุ ครั้นหลังจากที่ผ่านไปอีกสักพักหนึ่งดันมีปฏิกิริยาอันย่ำแย่เกิดขึ้นมา รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มี
“ดีเหมือนกันค่ะ ถึงยังไงก็ต้องรอเขาฟื้นมาแล้วสอบปากคำอยู่ดี”
……
ภายในโรงพยาบาลมีผู้คนเดินเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ไม่หยุด ความกระวนกระวายใจบนใบหน้าของหลินผิงเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากเฉินเป่ยชวนยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมา
“หัวหน้าจาง ทำไมบอสยังไม่ฟื้นอีกล่ะครับ ?” นี่ผ่านมาสองวันแล้ว ครั้นไม่มีแม้แต่วี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา
“เดิมอาการผิวหนังถูกทำลายจากความเย็นจัดก็พูดยากอยู่แล้ว ผมจะจัดการให้เขาเข้ารับการตรวจสอบอีกสองสามรายการนะครับ จะดีที่สุดถ้าเรียกคนในครอบครัวของเขามา มันจะส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่สลบอยู่ครับ”
หลินผิงมีความลำบากใจเล็กน้อย บอสได้บอกกับเขาโดยเฉพาะแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้บอกไปว่าเขาไปทำงานต่างประเทศ คนในครอบครัวตระกูลเฉินอย่างท่านผู้หญิงเองก็มีอายุเยอะแล้ว กลัวว่าจะรับไม่ได้กับเหตุการณ์สะเทือนใจเช่นนี้ และสำหรับคุณนายเฉินคนใหม่นั้นหลินผิงไม่แม้แต่ลังเลเลยสักนิด
“ให้คนที่เขาแคร์มาหา ร่างกายของมนุษย์มีหลายเรื่องที่ทางการแพทย์อธิบายไม่ได้อยู่มากครับ ไม่แน่เมื่อเขารับรู้ถึงคนที่เขาแคร์แล้วฟื้นขึ้นมาทันทีเลยก็ได้”
“ไม่ต้องหาใครทั้งนั้น”
ขณะที่หลินผิงกำลังลังเลว่าจะทำเช่นนั้นดีหรือไม่ ชายหนุ่มที่สลบไสลอยู่บนเตียงผู้ป่วยมาตลอดก็ขยับปากอันไร้เรี่ยวแรงของตนเองขึ้นมา
“บอส ? ฟื้นแล้วเหรอครับ ?”
“เรื่องที่ฉันอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น”
เฉินเป่ยชวนออกแรงเบิกตาขึ้นมา ดวงตาอันตื่นตัวและร่างกายอันเหนื่อยล้านี้ราวกับเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้เขารู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่เหมือนตนเอง ครั้นไม่ได้แสดงว่าสมองของเขาเกิดความสับสนแต่อย่างใด
“ฟื้นแล้วก็ไม่มีปัญหามากแล้วครับ”
หัวหน้าจางเองก็โล่งออกไปเช่นกัน สองวันที่เขาหมดสติไปนั้น ภายในใจของตนก็รู้สึกกระวนกระวายเช่นกัน
“หัวหน้าจาง ขอบคุณมากนะครับที่คุณช่วยชีวิตผมไว้”
ริมฝีปากที่ได้รับความหนาวเหน็บฉีกออกเป็นร่องเนื่องจากการพูด คราบเลือดสด ๆ ละเลงสีอันสดใสบนริมฝีปากอันซีดเซียวของเขา
“ไม่ต้องขอบใจหรอก คุณพักผ่อนสักหน่อยนะ ผมจะไปจัดการให้คุณเข้ารับการตรวจอย่างเป็นระบบ”
เมื่อรอให้หัวหน้าจางเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแล้ว เฉินเป่ยชวนจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าตัวเปี๊ยกนั่นเป็นยังไงบ้าง ?”
“ฟื้นขึ้นในวันต่อมาครับ หัวหน้าจางบอกว่าอาทิตย์หน้าเขาก็ออกโรงพยาบาลได้แล้วครับ”
สมกับที่เป็นเจ้าตัวเปี๊ยกจริง ๆ ร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย หลังจากที่ทราบว่าเจ้าตัวน้อยปลอดภัยดีมุมริมฝีปากของเขาจึงเผยรอยยิ้มโล่งใจขึ้นมา จากนั้นเมื่อคิดถึงอีกเรื่องรอยยิ้มก็หายไปทันควัน “จับคนเป็นไว้ไม่ได้ใช่ไหม ?”
“หัวหน้ามันหนีไปได้ครับ ที่เหลือก็ตายหมดในที่เกิดเหตุ”
หลินผิงเองก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด กล่าวรายงานเรื่องจริงออกมาอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา ไอ้หัวหน้านั่นเล่ห์เหลี่ยมจัดมาก ก่อนที่จะหนีไป ยังหันกลับมายิงลูกน้องที่วิ่งตามเขามาทิ้งอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการทิ้งผู้ที่รอดชีวิตไว้
“นายคิดว่าอาจเป็นใครที่ลงมือทำ ?”
เฉินเป่ยชวนเองก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ฝ่ายศัตรูวางแผนไว้แล้วเป็นอย่างดี ถ้าหากพวกมันทำให้จับเป็นได้อย่างง่ายดายถึงจะมีปัญหา
“ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่รู้แน่ชัดครับ บอสครับ จะเป็นการเล่นแง่ของเฉินจิ้นถงหรือเปล่าครับ ?”
แม้ว่าต่อหน้าคนนอก ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องตระกูลเฉินจะไม่เลวเลย ครั้นบนความเป็นจริงแล้วบอสชัดเจนดีว่าเฉินจิ้นถงไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
“เป็นไปได้”
ถ้าหากเขาตาย จิ่งเหยียนก็เป็นอะไรไปเช่นกัน ถึงเวลานั้นทุกอย่างของตระกูลเฉินก็เป็นของเขาหมด ครั้นภายในใจเขามักรู้สึกว่ามีส่วนที่น่าสงสัยอยู่บางแห่ง
“ถ้างั้นผมจะให้คนสืบทางนี้เยอะ ๆ หน่อย”
“อืม แล้วเฉียวชูเฉี่ยน……”
“คุณเฉียวไม่รู้อะไรทั้งนั้นครับ นึกว่าเป็นความช่วยเหลือจากคุณชายถัง”
แม้ว่าเขาจะยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค ครั้นหลินผิงก็เข้าใจความคิดของเขาแล้ว จึงได้ตอบกลับไปเอง
หนังตาอันเหนื่อยล้าของเฉินเป่ยชวนจึงปิดลง การไม่สนความเป็นความตายของตนเองเพื่อผู้หญิงที่ไม่รักตนแถมยังสวมเขาให้อีกเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว ยังมีครั้งที่สองแบบนี้ ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าน่าขายหน้าเลย
“บอสครับ ทางคุณหลินเฟยเอ๋อร์กระวนกระวายเล็กน้อยครับ……”
หลินผิงพูดอย่างคลุมเครือ ครั้นความหมายที่อยู่ในคำพูดนั้นกลับชัดเจนแจ่มแจ้ง ในงานแต่งงานบอสทิ้งเธอไว้แล้วจากไป หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนใดก็คงเป็นห่วงว่าตำแหน่งคุณนายเฉินของตนเองจะไม่ปลอดภัยเช่นกัน ครั้นเขามักรู้สึกเสมอว่าผู้หญิงคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวในครั้งนี้
ดวงตาของเฉินเป่ยชวนยังคงปิดอยู่ ครั้นสันคิ้วกลับขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ริมฝีปากอันบางเฉียบกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชาราวไม่ใส่ใจ “อยากจะทำอะไรก็ไปทำซะ”
เดิมระหว่างเขาและหลินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่มีความรู้สึกอันใดต้องหลงเหลือไว้อยู่แล้ว ถ้าหากเธอเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวครั้งนี้จริง ๆ เขาจะทำให้เธอรู้ว่าอะไรคือการตายเสียดีกว่าการมีชีวิตอยู่ !
ในเวลานี้หลินเฟยเอ๋อร์ส่ายโทรศัพท์บ้านไปมาไม่หยุดอยู่ในห้องรับแขกราวกับมดถูกกระทะร้อน ภายในหัวมีแต่ความสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด ไม่ทราบว่าเฉินเป่ยชวนได้ตามสืบจนพบอะไรหรือยัง
“ฉันจะกระวนกระวายไม่ได้ กระวนกระวายไม่ได้”
หลังจากที่พึมพำกับตัวเองมาเนิ่นนานแล้วจึงเริ่มสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ภายในหัวมีแต่คำพูดของผู้ชายลึกลับคนนั้นกลับไปกลับมาไม่หยุด จากนั้นก็ตัดสินใจแล้วหลังจากที่ตัดสินใจไม่ลงด้วยความยากลำบากมาโดยตลอด หมอนั่นพูดถูก เมื่อเทียบกับการที่รอคอยโดยเป็นผู้ถูกกระทำนั้น ไม่สู้ไปลงมือทำให้ถึงที่สุดจะดีกว่า ลงมือก่อนจะได้เปรียบ !