ถ้าหากเด็กนั่นยังไม่ตาย เฉินเป่ยชวนจะต้องสืบตามเบาะแสจนสาวถึงตัวเธอแน่นอน ถึงคราวนั้นตำแหน่งที่กว่าเธอจะได้มาครอบครองก็คงไม่ได้เป็นของตนอีกเป็นแน่
ทันใดนั้นภายในหัวก็มีอะไรบางอย่างแวบขึ้นมา เธอรีบโทรไปหาอีกเบอร์หนึ่งที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ พร้อมทำใจเอาไว้แล้วว่าคงได้ยินเสียงเตือนว่าปิดเครื่อง ครั้นคิดไม่ถึงว่าปลายสายจะรับ
“นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณโทรหาผม ถ้ามีครั้งหน้า ผมจะทำให้คุณเสียใจภายหลัง”
ช่วงเวลาที่โทรศัพท์ถูกรับสาย น้ำเสียงที่ถูกการดัดแปลงพิเศษก็ดังขึ้นมา น้ำเสียงที่เย็นชาและมืดมนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“ฉันล้มเหลวแล้ว ฉันอยากใช้คนไปจัดการเด็กคนนั้นทิ้ง แต่ว่าสองคนที่ลงมือขาดการติดต่อไป พวกเราเป็นพาทเนอร์กันไม่ใช่เหรอ คุณบอกฉันมาหน่อยสิว่าฉันควรทำยังไง ?”
หลินเฟยเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงอันกระวนกระวาย ซึ่งแม้แต่ศักดิ์ศรีของตนเองก็ลืมเลือนไปแล้ว คำว่าคุณนายเฉินสามพยางค์นี้เธอไม่มีวันยอมยกให้ผู้หญิงคนอื่นเป็นแน่
“นั่นมันเรื่องของคุณ หลินเฟยเอ๋อร์ คุณจำไว้นะพวกเราเป็นพาทเนอร์กันก็จริง แต่ผมไม่ใช้คนที่คอยตามเช็ดตูดให้คุณ ก่อนที่คุณจะลงมือทำไมไม่คิดบ้างว่าถ้าหากล้มเหลวแล้วจะต้องทำยังไง ?”
น้ำเสียงอันแปลกประหลาดดังขึ้นมาอีกครั้ง หลินเฟยเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น เธอทำเช่นไรได้ ถ้าหากล้มเหลวแล้ว เฉินเป่ยชวนจะต้องสืบสาวจนถึงตัวเธอได้เป็นแน่ ถึงครานั้นเขาจะต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างเองเป็นแน่
“คุณต้องช่วยฉันนะ ฉันรู้ว่าคุณจะต้องช่วยฉันแน่นอน”
ผู้ชายคนนี้ลึกลับซับซ้อน การที่เขารู้จักเฉินเป่ยชวนเป็นอย่างดี ก็จะต้องมีวิธีช่วยเหลือตนเองแน่นอน
“ช่วยคุณน่ะได้ แต่ว่าคุณต้องรับปากข้อตกลงหนึ่งกับผมมาก่อน”
“ข้อตกลงอะไร ขอแค่เป็นสิ่งที่ฉันทำได้ ฉันจะรับปากคุณทั้งนั้น” หลินเฟยเอ๋อร์รับปากไปโดยไม่คิดสักนิด
“ดี ตอนนี้คุณ……”
……
ณ คฤหาสน์หลังเก่าตระกูลเฉิน
เฉินจิ้นถงวางสายโทรศัพท์ลง จากนั้นมุมปากก็มีรอยยิ้มอันชั่วร้ายผุดขึ้นมา ผู้หญิงที่โง่เขลาอย่างหลินเฟยเอ๋อร์ไม่เหมาะสมที่จะมาร่วมมือกับเขา
เขาปิดเครื่องโทรศัพท์ทันที ครั้นเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งแล้วสันคิ้วก็เก็บลง เดิมทีต้องการที่จะยืมมือผู้หญิงโง่เขลาคนนี้ในการให้เฉินเป่ยชวนและเฉียวชูเฉี่ยนไม่มีความเป็นไปได้ไปโดยสิ้นเชิง ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เหนือความคาดหมายปรากฏขึ้นมา
ผู้ที่เข้ามาแทรกกลางครรภ์นั้นเป็นผู้ใดกันแน่ ?
ถ้าหากพวกเขาเป็นศัตรูที่แท้จริง ก็ถือว่าช่วยเหลือเขาไว้มากมายจริง ๆ ทว่าน่าเสียดายที่ดวงของเฉินเป่ยชวนแข็งเสียจริง
มุมริมฝีปากขยับไปมา ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลา
“จิ้นถงลงมากินข้าวได้แล้ว”
เสียงของเว่ยชูหรงดังขึ้นมาจากชั้นล่าง เขาจึงนำโทรศัพท์เก็บเข้าไปในลิ้นชักจากนั้นก็เดินลงไปชั้นล่างทันที
สีหน้าของท่านผู้หญิงที่นั่งอยู่เห็นได้ชัดว่าหม่นหมองมาก เธอได้แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว ครั้นเป่ยชวนก็ยังไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นอีก
“คุณย่าครับ สีหน้าที่ไม่ยิ้มของคุณย่า ไม่น่ารักไม่สวยสักนิดเลยนะครับ”
เฉินจิ้นถงเดินเข้าไปหา จากนั้นก็นวดบ่าไหล่ให้เธอ น้ำเสียงประจบประแจงและท่าทางอันสนิทสนมนี้ทำให้สีหน้าของท่านผู้หญิงอบอุ่นขึ้นมาบ้าง “จิ้นถงเป็นเด็กดีที่สุด ไม่ยั่วให้ย่าโมโหไม่เหมือนพี่ชายคนนั้นของเธอ โตแล้วปีกแข็งแล้ว ก็คิดอะไรทำอะไรก็ทำไม่มาขอความเห็นจากคนแก่อย่างย่าแล้ว”
เธอใช้ชีวิตมาจนอายุปูนนี้แล้ว แม้ว่าดวงตาจะมองอย่างอื่นไม่กระจ่างแจ้งเท่าไร ครั้นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ยังคงมองได้อย่างมั่นใจ เฉี่ยนเฉียนและเฉินเป่ยชวนเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันที่สุด สิ่งที่หาได้ยากก็คือภายในใจของพวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีกันและกันอยู่ ครั้นเหตุใดจึงต้องผิดใจกันจนถึงขั้นนี้ด้วย
“คุณย่าครับ รอให้ผมจะแต่งงาน คุณย่าหาไว้ให้ก่อน เลือกตัวสำรองไว้เยอะ ๆ จากนั้นผมก็ศึกษาดูใจไปทีละคน อย่างนี้ไม่ว่าจะแต่งงานกับใครก็เป็นคนที่คุณย่าต้องตา โอเคไหมครับ ?”
เฉินจิ้นถงโค้งลำตัวมา ใบหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบฉีกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน ครั้นร่างกายอันสูงใหญ่ของเขากลับมีเงามืดอันใหญ่แอบแฝงอยู่
“เด็กคนนี้นี่ชอบหยอกล้อให้ย่าหัวเราะอยู่เรื่อยเลย ถ้างั้นก็ตามนั้นนะ ย่าจะตามหาให้เธอหลาย ๆ คน เธอไปลองคบหาดูใจกันดู เธอเองก็อายุไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ถึงเวลาแต่งงานมีลูกแล้ว”
“ครับ เอาตามที่คุณย่าว่ามาเลยครับ ถ้าคุณย่าชอบหมด ผมก็จะแต่งงานด้วยหมดเลย”
เมื่อถูกหยอกล้อเช่นนี้ บนใบหน้าของท่านผู้หญิงจึงถือว่ามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “เธอก็นะ โตมากับน้ำผึ้งหรือไง ปากหวานจริง ๆ เลย”
เฉินจิ้นถงยิ้มพร้อมกลับไปนั่งที่นั่งของตน นัยน์ตาหลังแว่นตานั้นเหลือบมองไปยังเก้าอี้ที่มักทิ้งว่างให้เฉินเป่ยชวน มุมปากจึงโค้งขึ้นมาเล็กน้อย
เฉินเป่ยชวน ฉันจะต้องนำตำแหน่งที่เป็นของฉันกลับคืนมาให้หมด และนำสิ่งที่เป็นของฉันบีบไว้ในกำมือทั้งหมดเหมือนกัน
เฉียวชูเฉี่ยนเฝ้าอยู่ในโรงพยาบาลทั้งคืน เมื่อบวกกับความร้อนรนในเมื่อก่อนหน้า เส้นเลือดในดวงตาจึงผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ครั้นเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยกำลังลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเธอจึงราวกับไฟอันมืดมิดที่ถูกจุดให้สว่างทันที
“จิ่งเหยียน ลูกตื่นแล้วเหรอครับ ?”
เฉียวจิ่งเหยียนขยับร่างกาย จึงรู้สึกว่าทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง ภายในหัวก็มีความมึนงง
“หม่ามี๊ครับ ทำไมผมถึงปวดเนื้อปวดตัวอย่างนี้ล่ะครับ ?”
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณหมอบอกแล้วว่าอีกไม่กี่วันลูกก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม”
เธอกุมมือน้อย ๆ ของเขาเอาไว้ ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ พระเจ้าช่างดีต่อเธอเสียจริง ที่ไม่ได้พรากสุดที่รักของเธอไป
“จริงเหรอครับ ? หม่ามี๊ผมถูกขังไว้ในห้องที่หนาวมาก ๆ ผมกลัวมากเลย ผมนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าหม่ามี๊อีกแล้วซะอีก”
เฉียวจิ่งเหยียนต้องการที่จะรักษาความกล้าที่ลูกผู้ชายควรจะมี ครั้นเมื่อนึกถึงความรู้สึกอันหวาดกลัวแทบแย่แบบนั้นขึ้นมา น้ำตาก็ไหลรินลงมาอย่างผิดหวัง
“เด็กดี จิ่งเหยียนกล้าหาญมาก หม่ามี๊จะอยู่ข้างหนูตลอดไปเลยนะคะ”
เธอโอบกอดร่างน้อย ๆ เข้ามาอยู่ในอ้อมอก น้ำตาของเธอก็เอ่อเคลอเบ้าขึ้นมาทันที ทั้งชาตินี้เธอไม่ต้องการที่จะได้รับความร้อนรนใจและความเป็นกังวลใจอย่างเมื่อวานนี้อีกแล้ว
เฉียวจิ่งเหยียนสูดจมูก ไม่อยากให้น้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาพร้อมกัน “หม่ามี๊ครับ ใครช่วยผมไว้เหรอครับ ?”
ขณะนั้นเขาไร้สติไปแล้ว แม้ว่าข้างใบหูจะได้ยินเสียง ครั้นเสียงนั้นก็ราวกับเปลี่ยนเสียงไป กลายเป็นเสียงหวืด ๆ ดังขึ้นแทรก เขารู้สึกเพียงว่าคนผู้นั้นพูดกับตนอยู่ตลอดเวลา แถมยังถูร่างกายให้ตนเองเพื่อให้ความอบอุ่นไม่หยุดอีก
และอ้อมกอดนั้น รู้สึกว่ามีความสบายเป็นอย่างยิ่ง
“คุณอาถังอี้บอกให้คนอื่นไปช่วยหนูไว้น่ะค่ะ”
เมื่อเฉียวชูเฉี่ยนเอ่ยถึงถังอี้ ภายในใจก็ยังคงมีคำว่าขอบคุณอยู่เต็มไปหมด รอให้จิ่งเหยียนออกจากโรงพยาบาลไปก่อนเธอจะต้องไปขอบคุณเขาอย่างดีแน่นอน
“คุณอาเองเหรอครับ ?”
คิ้วน้อย ๆ ขมวดเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเป็นความสงสัยหรือว่าความผิดหวัง ขณะที่เขาหนาวเหน็บแทบแย่อยู่ในห้องเย็นนั้น เขานึกว่าคนที่กอดเขาไว้คือไอ้คนสารเลวเสียอีก
“เป็นอะไรไปคะ ?”
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเขา เฉียวชูเฉี่ยนจึงถามขึ้นทันที
“ไม่มีอะไรครับ หม่ามี๊ คนสารเลวเฉินเป่ยชวนแต่งงานแล้วจริง ๆ เหรอครับ ?”
แม้ทราบว่าการที่ตนเองถามเช่นนี้อาจทำให้หม่ามี๊เป็นทุกข์ ครั้นเขายังคงต้องการมั่นใจสักหน่อย เขารู้สึกว่าคนผู้นั้นคือเฉินเป่ยชวน
เมื่อได้ยินสามพยางค์นั้น สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนแปลงไปทันที “จากนี้ไปหม่ามี๊จะปกป้องหนูเองค่ะ”
ไม่ได้ตอบคำถามครั้นความหมายชัดเจนดี แสงสว่างที่อยู่ในแววตาของเฉียวจิ่งเหยียนที่ยังไม่ได้มอดดับไปหมดได้มอดดับลงทันควัน เฉินเป่ยชวนไอ้คนสารเลว จากนี้ไปผมจะไม่ให้โอกาสอะไรคุณอีกแล้ว ทั้งชาตินี้จะไม่ยอมรับพ่ออย่างคุณเป็นอันขาด
“คุณเฉียวคะ ข้างล่างมีคุณผู้ชายชื่อลู่ฉีต้องการที่จะขึ้นมาเยี่ยมค่ะ”
นางพยาบาลเคาะประตูจากข้างนอกแล้วเดินเข้ามา ทำให้ความเศร้าใจที่กระจายอยู่ในใจของเธอสลายไป และขณะนี้เธอเพิ่งนึกออกว่าตนเองลืมบอกลู่ฉีว่าปลอดภัยดีเสียแล้ว
“รบกวนคุณอนุญาตให้เขาขึ้นมาได้เลยค่ะ”
MANGA DISCUSSION