ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 137 เพิ่มความเร็วอีกหน่อย
เมื่อคิดได้ถึงความน่าจะเป็นนี้ เขาจึงเหยียบคันเร่งรถอย่างแรง ทำให้รถยนต์บึ่งไปข้างหน้าอย่างฉับไวทันที
ด้านหน้าประตูห้องเย็น เครื่องตัดมอเตอร์สี่ตัวทำงานพร้อมกัน ครั้นความเร็วของการตัดนี้สำหรับหลินผิงแล้วเขายังคงรู้สึกว่าเชื่องช้าเกินไปอยู่ดี ความใจเย็นบนใบหน้าจึงกลายเป็นความร้อนรนใจขึ้นมาเรื่อย ๆ บัดนี้ทุกครั้งที่ผ่านไปหนึ่งนาที สองคนที่อยู่ข้างในก็จะมีอันตรายเพิ่มขึ้นมา
“เพิ่มความเร็วอีกหน่อย”
“ครับ”
เฉินเป่ยชวนที่อยู่ข้างใน ท่อนบนที่เปลือยของเขาได้เริ่มแข็งตัวทำจนไม่ได้ยินเสียงออกคำสั่งด้านนอกแล้ว ครั้นสองแขนกลับยังคงโอบกอดเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมอกเหมือนเดิม
ลมหายใจที่อ่อนแอลง ความหนาวเหน็บที่ทิ่มแทงจนถึงกระดูกดำและอากาศที่ขาดออกซิเจนอย่างรุนแรงทำให้สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มเลือนราง แม้แต่เสียงของเครื่องตัดมอเตอร์ข้างใบหูก็เริ่มไม่ชัดเจนแล้ว
หนังตาที่หนังอึ้งดิ่งลงล่างอย่างเหนือการควบคุม ถ้าหากจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเสียน้ำตาให้กับเขาหรือไม่
เฉียวชูเฉี่ยน เธอเป็นตัวกาลกิณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของฉัน นี่เพิ่งผ่านไปไม่เดือนเองก็ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในเส้นแดนของความเป็นความตายถึงสองครั้ง
ทันใดนั้นเองสติอันเลือนรางของเขาก็ปรากฏเป็นภาพภาพหนึ่งขึ้นมา ในภาพนั้นเฉียวชูเฉี่ยนกำลังอ้าแขนออกกว้างพร้อมรอยยิ้ม ข้างกายมีเด็กน้อยผู้น่ารักอยู่หนึ่งคน กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนามหญ้าสีเขียวขจี ทุกอย่างแลดูสวยงาม ครั้นอยู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาอีกทางซึ่งกำลังใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายภาพอันสวยสดงดงามนี้ไว้ ทว่าคนผู้นั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นลู่ฉี
หนังตาที่กำลังจะปิดลงได้เปิดขึ้นทันควัน สติอันเลือนรางค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
เขาจะตายไม่ได้ ! ต่อให้ต้องตายจริง ๆ ก็จะต้องลากผู้หญิงคนนั้นมาตายด้วยกัน เขาไม่ยอมให้ตนเองตายไปแล้ว เธอไปมีชีวิตอย่างมีความสุขกับผู้ชายคนอื่นเด็ดขาด !
ต่อให้เป็นตัวกาลกิณี ต่อให้ต้องล้มตาย ก็จะต้องอยู่กับเขาเท่านั้น
“บอส คุณได้ยินเสียงผมไหม ประตูใกล้จะเปิดได้แล้ว คุณต้องอดทนเอาไว้นะ”
เสียงของหลินผิงดังเข้ามาจากข้างนอก เฉินเป่ยชวนยกแขนที่แข็งทื่อของตนเองขึ้นมาหนึ่งข้าง จากนั้นก็ใช้แรงตบไปบนประตูสามครั้ง
แม้ว่าเสียงจะเบาเลือนราง ครั้นบนใบหน้าหลินผิงได้ปรากฏความตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขาจึงรีบเร่งลูกน้องที่กำลังตัดประตูห้องเย็นอยู่ “เร็วขึ้นอีก !”
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที รูเข้าออกที่เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคนได้ถูกตัดขาด หลินผิงรีบสาวเท้ามุดตัวเข้าไป “บอส ผมจะส่งพวกคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
สายตาอันร้อนรนใจเมื่อมองเห็นร่างกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าที่ได้แข็งตัวเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำของเฉินเป่ยชวน เขาจึงรีบถอดเสื้อคลุมสูทของตัวเองออกแล้วคลุมบนตัวเขาทันที
“ส่งเขาออกไปก่อน อย่าให้เธอรู้เรื่อง”
เฉินเป่ยชวนยังไม่ทันได้พูดจบ ก็รู้สึกเพียงว่าหนังตาของตนเองทนไม่ไหวแล้ว เวลาต่อมาก็สลบหมดสติไป
“บอส !”
ถังอี้พาเฉียวชูเฉี่ยนและเหยียนสือเซี่ยลงจากรถด้วยความรีบร้อน จากนั้นก็เจอหลินผิงที่กำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยออกมาพอดี
เฉียวชูเฉี่ยนรีบพุ่งเข้าไปหาทันที “จิ่งเหยียน จิ่งเหยียนหม่ามี๊มาแล้ว”
“คุณเฉียว พวกเราเจอเด็กในห้องเย็น แต่ว่าคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ น่าจะไม่มีอันตรายอะไรมากหรอก”
แม้ว่าหลินผิงจะกระวนกระวายใจมาก ครั้นก็ยังคงกล่าวด้วยความสำรวม บอสถอดเสื้อผ้าของตัวเองให้เด็กคนนี้แถมยังโอบกอดเขาไว้ ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงว่าจะเป็นอันตรายคือบอสตนเองมากกว่า
“หลินผิง ?”
หลังจากที่เห็นผู้ที่เดินเข้ามานั้นถังอี้จึงยกคิ้วขึ้นทันที หลินผิงเป็นลูกน้องของเฉินเป่ยชวน ดูเหมือนว่าหมอนั่นยังคงอดไม่ไหวจนต้องลงมือเองเสียแล้ว เจ้าคนแสร้งทำเย็นชาผู้นี้ ทั้งที่แสดงสีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่งไม่สนใจขณะที่อยู่งานแต่งงานแท้ ๆ ครั้นเพียงชั่วพริบตาเดียวกลับตามหาจิ่งเหยียนเจอก่อนพวกเขาหนึ่งก้าวเสียอีก
“คุณชายถัง เด็กได้ถูกช่วยเหลือออกมาตามคำสั่งคุณแล้วครับ”
คำสั่งของเขางั้นหรือ ? เขาโทรหาหลินผิงตั้งแต่เมื่อไรกัน ?
ณ โรงพยาบาล เฉียวชูเฉี่ยนนั่งเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วยอยู่ตลอด บนใบหน้าอันซีดเซียวมีคราบน้ำตาอย่างเห็นได้ชัด มือเธอบีบมือน้อย ๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเอาไว้แน่น
“จิ่งเหยียน……”
วันนี้ เธอได้ผ่านความหงุดหงิดใจในตอนแรก จากนั้นก็เป็นความเจ็บปวดใจ และความซมซาน ครั้นทั้งหมดนี้กลับไม่แตกต่างจากความทรมานเมื่อรออยู่หน้าห้องผ่าตัดเลย ความเจ็บปวดที่ว่าจะสูญเสียทำให้เธอเกือบจะเป็นบ้า
มีช่วงเวลาพริบตาหนึ่งที่เธอคิดจริง ๆ ว่าตนเองจะสูญเสียคนในครอบครัวคนสุดท้ายบนโลกนี้ไปเสียแล้ว
“ลูกรักของหม่ามี๊ รีบฟื้นขึ้นมาได้ไหมคะ ?”
น้ำตาพลั่งพรูออกมาอีกครั้ง ไหล่ก็สั่นเทาเบา ๆ อย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงนะ เมื่อกี้คุณหมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจิ่งเหยียนไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสองสามวันก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ดวงตาของเหยียนสือเซี่ยก็แดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย ยังเด็กยังเล็กอยู่เลย ทำไมคนพวกนั้นถึงได้ใจร้ายทิ้งเขาไว้ในห้องเย็นแบบนี้ ยังดีที่ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“สือเซี่ยฉันกลัวจัง ฉันกลัวว่าเขาจะเรียกฉันว่าหม่ามี๊ไม่ได้อีกแล้ว” ในที่สุดสติที่ควบคุมมาตลอดก็ทนไม่ได้ที่จะเศร้าหมองลง เฉียวชูเฉี่ยนซบอยู่ในอกของเธอ น้ำเสียงอันแหบแห้งปล่อยเสียงโฮออกมา
สองชั่วโมงนี้ที่ถูกเคลื่อนย้ายจากห้องฉุกเฉินมายังห้องผู้ป่วย เธอกุมมือน้อย ๆ ที่เริ่มอุ่นขึ้นมาไว้ตลอด ครั้นความหวาดหลัวที่ว่าใกล้จะสูญเสียไปยังคงทำให้เธอทุกข์ทรมานใจอย่างบ้าคลั่งอยู่เช่นเคย ราวกับว่าทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าจะสามารถถล่มลงได้ตลอดเวลา อยู่ ๆ ลูกชายของเธอก็หายตัวไปอีกครั้ง
ในฐานะเพื่อนรักกันมาหลายปีเหยียนสือเซียทราบถึงนิสัยของเธอดี เธอโอบเพื่อนรักเอาไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวดหัวใจ ต้องการที่จะปลอบประโยนร่างกายอันสั่นเทารุนแรงนี้ของเธอ
ช่วงเวลาสิบปีนี้ที่พวกเธอรู้จักกันมา นอกจากตอนนี้ก็มีเพียงตอนที่เธอหย่ากับเฉินเป่ยชวนเท่านั้นที่ร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้ “เฉี่ยนเฉียนไม่ต้องกลัวนะ มันผ่านไปแล้ว จิ่งเหยียนจะไม่มีอันตรายอะไรอีกแล้ว”
ไม่รู้ว่าเนื่องจากคำพูดปลอบประโยนได้ผลหรือไม่ น้ำตาที่พลั่งพรูออกมาของเฉียวชูเฉี่ยนค่อย ๆ สงบลง ใบหน้าอันซีดเซียวเงยขึ้นมา “ถ้าวันนี้ไม่มีพวกเธอฉันคงไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้ยังไง”
หากพึ่งพาตำรวจที่ไม่มีประโยชน์เท่าไรเหล่านั้น เกรงว่าจิ่งเหยียนคงจะ……
“นั่นคือลูกชายบุญธรรมของเราเชียวนะ”
คำพูดที่จงใจเย้าหยอกทำให้ความรู้สึกหดหู่ใจของเธอค่อย ๆ สงบนิ่งขึ้นมา เธอเช็ดน้ำตาที่อยู่หางตา จะให้จิ่งเหยียนลืมตาตื่นขึ้นแล้วเห็นหม่ามี๊ที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากร้องไห้ไม่ได้
“เธอช่วยฉันขอบใจถังอี้ทีนะ รอให้จิ่งเหยียนออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันจะไปขอบคุณเขาให้ดี ๆ” ถ้าหากไม่มีถังอี้ เธอไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาโดยสิ้นเชิง
“เธอจะไปขอบคุณเขาทำไม เรื่องที่ช่วยเหลือเพื่อความยุติธรรมแบบนี้เป็นเรื่องที่ผู้ชายสมควรทำอยู่แล้ว วันนี้เธอก็แค่ให้โอกาสในการกลับตัวกลับใจใหม่กับคนชั่วอย่างเขาเท่านั้น เขาต้องขอบคุณเธอถึงจะถูก”
เหยียนสือเซี่ยเป็นเหมือนเมื่อก่อน คารมคมคายดั่งมีด ครั้นภายในใจของเธอนั้นไม่ยอมรับไม่ได้ว่าเรื่องของวันนี้ทำให้เธอมองถังอี้ใหม่
อย่างน้อยก็ดีกว่าเฉินเป่ยชวนที่มองดูเหมือนคนปกติแต่กลับใจร้ายเยอะเลย
เมื่อคิดถึงว่าเฉี่ยนเฉียนและจิ่งเหยียนได้รับความทุกข์ทรมาน ครั้นผู้ชายสารเลวคนนั้นกลับยังคงดื่มด่ำกับงานแต่งงานใหม่ของตนเองอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเอามีดไปฟันให้เขาตายไปเสีย ทว่าเธอกลับไม่ทราบเลยว่าภายในห้องฉุกเฉินที่จัดเตรียมเป็นพิเศษชั้นล่างนั้น เฉินเป่ยชวนที่สมควรถูกฟันตายกำลังเข้ารับการช่วยเหลือฉุกเฉินอยู่
“หัวหน้า ปอดของผู้ป่วยมีสัญญาณความอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำเกินไป ความสามารถการแข็งตัวของเลือดก็เสียหายอย่างรุนแรงเหมือนกันค่ะ”
ผู้ช่วยที่ทำการผ่าตัดกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่น อันตรายจากการที่ผิวหนังถูกทำลายจากความเย็นจัดนั้นไม่ได้เบากว่ารอยแผลจากการถูกยิงเลยแม้แต่นิด ผู้ป่วยที่ผิวหนังถูกทำลายจากความเย็นจัดหลายคนเนื่องจากอุณหภูมิของอวัยวะภายในร่างกายต่ำเกินไปทำให้การไหลเวียนของเลือดสูญเสียความคล่องตัว สุดท้ายก็ทำให้อวัยวะพังและส่งผลให้ลงมาจากแท่นผ่าตัดไม่ได้อีกเลย
“ทำการปั้มหัวใจเดี๋ยวนี้ ฉีดโดพามีน ไฮโดรคลอไรด์กับไฮดรอกซิลามีนเข้าไปในกระแสเลือด”