ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 136 ลางสังหรณ์
เสียงปืนดังสนั่นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการซุ่มยิงที่ยิงออกมาจากมุมปิด แม้ผู้ชายสี่คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาจะคล่องแคล่วว่องไว ครั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ผู้อื่นลอบโจมตีเช่นนี้ก็เหนื่อยมากเช่นเดียวกัน แม้จะไม่มีแผลถูกยิงอันถึงแก่ความตาย ครั้นก็ทำให้กำลังการต่อสู้เสียหายอย่างมาก
หางตาของเฉินเป่ยชวนหรี่ลงอย่างอันตราย คนเหล่านี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะเสียจริง สายตาอันเย็นชามองไปยังรอบด้าน จากนั้นก็เล็งไปยังห้องเย็นที่อยู่ห่างออกไปไกล ไอสีขาวแห่งความหนาวเหน็บปรากฏขึ้นมา ทำให้โรงงานร้างที่เงียบสงัดนี้มีความน่าสงสัยเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม
“ผมจะเข้าไปดูหน่อย พวกคุณเก็บแรงเอาไว้”
เขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่า เจ้าตัวเปี๊ยกน่าจะอยู่ข้างใน
เมื่อนึกถึงว่าอุณหภูมิที่อยู่ข้างในสามารถปลิดชีวิตเด็กเล็กไปได้ภายในครึ่งชั่วโมง สันคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เฉียวจิ่งเหยียน เธอจะต้องอดทนไว้นะ
เฉินเป่ยชวนสาวเท้าเข้าไปอย่างหนักแน่น เห็นถึงความรีบร้อนอย่างชัดเจน ทั้งที่ทราบว่าประตูเปิดอย่างน่าสงสัย ครั้นกลับสาวเท้าพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเลสักนิด
กำแพงสี่ทิศของห้องเย็นมีเกล็ดน้ำแข็งหนา ๆ ปกคลุมอยู่ ลมหายใจที่ออกมากลายเป็นควันสีขาวชั่วพริบตา จนทำให้รูจมูกราวกับถูกทำให้แข็งอย่างไรอย่างนั้น อุณหภูมิที่หนาวเย็นเข้ากระดูกทำให้ชายหนุ่มอย่างเขายังรู้สึกทนไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเด็กน้อย
สายตาอันร้อนรนใจหล่นไปอยู่บนร่างกายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทันใดนั้นหางตาก็หรี่ลงพร้อมสาวเท้าเดินเข้าไปเร็วขึ้น
เขาเข้าไปโอบเจ้าตัวน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมาทันที และเฉินเป่ยชวนก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา “เจ้าตัวน้อย”
ปัง !
ทันใดนั้นเองประตูที่เปิดอยู่แต่เดิมก็ปิดลง เกิดเป็นเสียงอันหนักแน่นขึ้นมา เวลาเดียวกันนี้เสียงปืนที่อยู่ข้างนอกก็ดังสนั่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ซึ่งไม่เหมือนกับการซุ่มยิงเมื่อสักครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระหน่ำยิงเป็นจุดเดียวอย่างเลือดเย็น สันคิ้วอันเย็นชาดุดันของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ติดกับดักตัวเองหรือนี่ !
เขาไม่มีเวลาสนใจว่าสี่คนข้างนอกจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เข้าก้มหน้ามองเจ้าตัวน้อยที่ใกล้จะตัวเย็นจนเป็นน้ำแข็งที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วตะโกนขึ้น “จิ่งเหยียน ตื่น ตื่นขึ้นมาสิ !”
ฝ่ามือใหญ่ ๆ ตบไปยังใบหน้าน้อย ๆ อันเนียนนุ่มอย่างแรง ความหนาวเย็นที่กระทบทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แรงตบก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน เมื่อผิวหนังภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำถูกตบเข้าอย่างแรง ใบหน้าน้อย ๆ จึงมีรอยนิ้วมือปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดทันที
“ฟื้นสิ เจ้าตัวเปี๊ยก !”
อาจเป็นเพราะรับรู้ถึงความเจ็บปวดบนแก้ม เฉียวจิ่งเหยียนจึงขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของตนเองอย่างยากลำบาก ปากที่ม่วงคล้ำของเขาเอ่ยขึ้นมาเสียงสั่นเครือ “ผมหนาวมาก”
“เด็กดี ฟังให้ดีนะ ถ้าหลับจะหนาวกว่าเดิม เพราะงั้นห้ามนอนหลับเด็ดขาด ฉันจะพาเธอออกไปแน่นอน”
เมื่อได้รับการตอบสนอง เฉินเป่ยชวนจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็รีบคลายเชือกที่รัดตัวเขาไว้ออกอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือใหญ่ ๆ ลูบไปยังลำตัวที่ใกล้จะแข็งของเจ้าตัวน้อยไม่หยุด หลังจากที่มั่นใจแล้วว่ามีอุณหภูมิร้อนขึ้นมาบ้างจึงได้ถอดเสื้อคลุมสูทของตนเองคลุมไปยังตัวของเขาทันที
ครั้นเฉียวจิ่งเหยียนได้ตกอยู่ในสถานะที่กึ่งสลบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าน้อย ๆ ซีดเซียวพร้อมทั้งมีสีม่วงคล้ำแทรกขึ้นมา แม้จะห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อคลุมแล้วหนึ่งชั้น ครั้นร่างกายของเขายังคงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เช่นเคย
“หนาวจัง ช่วยผมด้วย”
“เชื่อใจฉัน ฉันต้องช่วยเธอออกไปอย่างปลอดภัยได้แน่นอน”
เขาพูดไปพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตราคาแพงของตนเองออกไปด้วย จากนั้นก็นำเสื้อผ้าตัวสุดท้ายของตนเองคลุมให้เจ้าตัวน้อย
“ฟังนะ หม่ามี๊เธอกำลังรอเธออยู่ข้างนอก หลังจากที่เธอออกไปแล้วเขาจะพาเธอไปกินของอร่อย ๆ ไปเล่นสวนสนุก ไปเที่ยวสถานที่ที่เธอไม่เคยไปมาก่อน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะหนาวแค่ไหนห้ามนอนหลับเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น เธอจะไม่ได้เจอหน้าหม่ามี๊ของเธออีกต่อไป”
เพื่อไม่ให้เขานอนหลับไป เฉินเป่ยชวนจึงทำได้เพียงพูดกระตุ้นสติสัมปชัญญะที่กำลังมึนงงอยู่ขณะนี้ของเขา ครั้นทุกครั้งที่พูดขึ้นก็รู้สึกว่าพลังงานบนร่างกายของตนเองกำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็วด้วย แม้แต่ฟันก็แข็งจนเจ็บปวดขึ้นมา ทว่าเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ความวิตกกังวลภายในแววตาของเฉินเป่ยชวนเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เฉียวจิ่งเหยียนคงหลับใหลไปจริง ๆ ภายใต้การสลบไสลนี้ และต่อไปอีกก็อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดไปเป็นแน่
คิดได้ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นด้วยสองขาอันแข็งทื่อของตนเอง จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือใหญ่ ๆ ผลักประตูห้องเย็นออกอย่างแรง ครั้นประตูที่หนาแน่นนี้กลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยเหมือนอย่างที่คิดไว้ แผนการของคนเหล่านั้นคือต้องการที่จะขังเขาและจิ่งเหยียนเอาไว้ให้แข็งตายอยู่ที่นี่
เขาก้มหน้ามองเวลาในนาฬิกาข้อมือ ริมฝีปากกระตุกขึ้น หลินผิงไม่มีเวลาแล้ว !
เสียงลั่นปืนหน้าประตูเงียบลง ครั้นอีกไม่นานก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้รุนแรงมากกว่าเมื่อสักครู่นี้อีก หางตาของเขาปรากฏเป็นความดีใจขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็ก้มหน้าเขย่าเฉียวจิ่งเหยียนที่อยู่ในอ้อมกอด
“เจ้าตัวเปี๊ยก อัศวินขี่ม้าขาวของเรามาแล้ว เธอจะต้องอดทนไว้ ได้ยินหรือยัง !”
แม้ว่าริมฝีปากจะหนาวเหน็บจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำไปแล้ว ครั้นน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงดุดันอย่างรุนแรง
สงครามยิงปืนด้านนอกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็มีผู้คนล้มจมกองเลือดตาม ๆ กัน ชายชุดดำที่เป็นผู้นำเดิมทีหัวคิ้วมีความผ่อนคลายสบายใจ ครั้นอยู่ ๆ ก็ต้องขมวดขึ้นด้วยความหงุดหงิด เดิมวันนี้เขาจะสามารถปลิดชีวิตของเฉินเป่ยชวนได้แล้วแท้ ๆ ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเขายังพาคนกลุ่มที่สองมาด้วย
“พี่หาน ฝ่ายนั้นมีกำลังคนเยอะเกินไป ขืนเรายังสู้แบบนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
ลูกน้องที่อยู่ข้างเขามีเลือดไหลออกจากแขนไม่หยุด ลูกน้องของพวกเขาถูกยิงจนถึงแก่ชีวิตหลายคนแล้ว ขืนดิ้นรนต่อสู้ต่อไป พวกเขาคงกลับไม่ได้เป็นแน่
ภายในแววตาของมู่หานเขียนคำว่าไม่ยินยอมเต็มไปหมด ขอเพียงผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาก็จะได้เห็นเฉินเป่ยชวนและลูกชายเขากลายเป็นรูปร่างคล้ายกับไอศกรีมแท่งที่อันหนึ่งใหญ่ อันหนึ่งเล็กแล้ว
ทว่าต่อให้คนกลุ่มนี้จะรีบเข้ามาช่วยเหลือ จุดจบก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ระบบการเปิดประตูอัตโนมัติของห้องเย็นถูกเขาทำลายทิ้งแล้ว ประตูใหญ่ที่มีความหนาแน่นเช่นนี้หากต้องการเปิดออกมาอย่างน้อยต้องใช้เวลาเกินกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะทำได้
เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เปิดประตูได้แล้ว เฉินเป่ยชวนและลูกชายของเขาก็คงแข็งตายกันไปแล้วเป็นแน่ บนใบหน้าอันเย็นชาราวกับยมราชผุดรอยยิ้มอันเยือกเย็นขึ้นมา จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปบอกลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “บอกพวกพ้องทั้งหมด ถอย !”
หลินผิงที่พาคนจำนวนมากมามีสีหน้าหนักแน่น ดวงตาอันแหลมคมมองไปยังทิศทางที่มู่หานพาลูกน้องหนีไป “ทีมหนึ่งไล่ตามไปโจมตี จะต้องจับเป็นเท่านั้น อีกทีมไปช่วยเหลือตัวประกันกับผม”
คำพูดสุดท้ายของเจ้านายจากสายสนทนาเมื่อก่อนหน้านี้มีความเป็นปริศนา ยังดีที่เขาเข้าใจ
“พี่ผิง ระบบล็อกประตูห้องเย็นถูกทำลายทิ้งแล้ว ประตูเปิดไม่ออกครับ”
ลูกน้องท่านหนึ่งลองเปิดประตูใหญ่ของห้องเย็นอยู่หลายครั้งครั้นก็ล้มเหลวทุกครา นี่มันไม่ใช่ประตูเหล็กธรรมดาเหมือนอย่างที่ใช้กันในบ้าน แผ่นเหล็กนี้มีความหนาถึง 20 เซนติเมตรเชียว ต่อให้ใช้เครื่องมือในการตัดออก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงขึ้นไปมิเช่นนั้นก็ไม่มีทางตัดขาดได้
“ต้องเปิดประตูให้ได้ภายในครึ่งชั่วโมง”
หลินผิงมองเวลาในนาฬิกาข้อมือพร้อมออกคำสั่งน้ำเสียงเย็นชา เจ้านายเข้าไปในนั้นประมาณ 20 นาทีแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงคือขีดจำกัดที่ชีวิตเขาจะทนไหว
……
ถังอี้กดรับโทรศัพท์ ใบหน้าอันหนักแน่นเมื่อได้ยินคำตอบของฝ่ายนั้นก็มีความตื่นเต้นขึ้นมา “นายมั่นใจเหรอ ? ได้ พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
“เจอจิ่งเหยียนแล้วใช่ไหมคะ ?” เฉียวชูเฉี่ยนไม่รอให้เขาวางสายโทรศัพท์ ความร้อนรนใจและความเป็นห่วงทำให้น้ำเสียงของเธอแหบแห้งจนใกล้จะพูดไม่ออกแล้ว ทำได้เพียงจับแขนของถังอี้เอาไว้ แรงอันไร้การควบคุมนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องกัดฟันแน่น
“คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป ตอนนี้ข่าวสารทั้งหมดต่างก็ระบุว่าจิ่งเหยียนน่าจะอยู่ที่โรงงานร้างชานเมือง พวกเราจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้”
เขาชักแขนของตนเองออกมา ถังอี้รีบสตาร์ทรถแล้วขับบึ่งออกไปทันที ดูเหมือนว่าโรงงานร้างชานเมืองจะเป็นโรงงานทำไอศกรีม
ไอ้พวกโลกจิตนั่นคงไม่ใช่ว่าจะทำให้ตัวประกันกลายเป็นไอศกรีมหรอกใช่ไหม !