เฉียวชูเฉี่ยนเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน ร่างกายอันสั่นเทาลุกยืนขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับถูกล้อรถยนต์กดทับอย่างแรง “เปิดได้หรือเปล่าคะ ?”
ตำรวจนายหนึ่งหาแท่งเหล็กแถวนั้นมา หลังจากที่งัดหลายครั้งฝาที่ปิดลังอยู่ก็ถูกเปิดออกทันที
เฉียวชูเฉี่ยนไม่กล้าหายใจเข้า และไม่กล้ามอง เป็นครั้งแรกที่ตนกลัวจนสูญเสียความกล้าไป
“เฉี่ยนเฉียนจิ่งเหยียนไม่ได้อยู่ข้างใน จิ่งเหยียนไม่ได้อยู่ข้างใน”
น้ำเสียงอันตื่นเต้นของเหยียนสือเซี่ยดังขึ้นมาฉับพลัน ทำให้ลมหายใจและหัวใจที่หยุดทำงานของเธอฟื้นกลับคืนมาอีกครา เธอหันหน้าไปดูจึงพบว่าข้างในลังไม้นั้นมีเพียงก้อนหินก้อนใหญ่ยักษ์เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอยู่เลย
“จิ่งเหยียนยังมีชีวิตอยู่”
เธอเอ่ยพึมพำขึ้นมาโดยฟังไม่ออกว่าเป็นความตื่นเต้นหรือว่ากลัดกลุ้มใจ ถึงอย่างไรข้างในนั้นก็ไม่มีอะไรอยู่เลยซึ่งดีกว่ามีแน่นอน
“ถูกต้อง จิ่งเหยียนจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่นอน”
เหยียนสือเซี่ยโอบไหล่ของเธอแน่น เป็นการให้พละกำลังแก่เธอเพื่อให้พวกเขามีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น
“ใส่หินลงไปในลังนี้ทำไมกัน ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เนื้อตัวเปียกปอนเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ การกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งความหมายโดยสิ้นเชิง
“แย่แล้ว พวกมันจงใจตบตาเพื่อถ่วงเวลาเรา”
นัยน์ตาของถังอี้มีความโมโหเพิ่มขึ้นมา เมื่อก่อนมีแต่เขาที่หลอกล่อผู้อื่น ครั้นวันนี้กลับถูกผู้อื่นหลอกล่อเสียได้
เฉียวชูเฉี่ยนเพิ่งหายจากการหายใจไม่ออกแท้ ๆ ครั้นบัดนี้จิตใจของเธอต้องจมดิ่งลงอีกครา จิ่งเหยียน ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน หม่ามี๊ต้องทำอย่างไรกันแน่จึงจะหาลูกเจอ ช่วยเหลือลูกได้
เฉียวจิ่งเหยียนจับจ้องป้ายจราจรข้างทางมาตลอด เพื่อต้องการมั่นใจในตำแหน่งของตนเอง มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นเขาจึงจะสามารถขอความช่วยเหลือได้
ครั้นเส้นทางที่รถยนต์ขับไปนั้นลำบากขึ้นมาทุกครา ศีรษะของเขากระทบเข้ากับขอบรถหลายครั้ง
“พวกแกจะพาฉันไปไหนกันแน่ ?”
“ถึงแล้วแกก็รู้เองนั่นแหละ”
ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าเย็นชาที่นั่งข้างคนขับ เอ่ยขึ้นมาด้วยความไร้อารมณ์
เวลาต่อมาการกระแทกของรถได้หยุดลง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ที่นี่คือโรงงานร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความรกร้างอย่างรุนแรง
คนพวกนี้คงไม่ใช่ว่าจะทิ้งเขาไว้ข้างในเพื่อให้หิวตายหรอกใช่ไหม ?
“พามันไปห้องเย็น และบอกคนอื่นให้เตรียมพร้อม” ชายหนุ่มผู้เย็นชาออกคำสั่งทันควัน ครั้นเฉียวจิ่งเหยียนกลับมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า ทิ้งเขาไว้ที่ห้องเย็น ไม่ใช่หิวตาย แต่เป็นแข็งตาย
ไม่นานเขาก็ถูกพาตัวไปยังบริเวณด้านในของโรงงานร้าง ที่นี่น่าจะเป็นห้องทำไอศกรีม สายการผลิตได้มีสนิมขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทว่าห้องเย็นที่อยู่ข้าง ๆ มองดูแล้วถือว่ายังคงมีสภาพที่ดี
“ปล่อยฉัน ฉันไม่อยากเข้าไป”
เขาใช้แรงทั้งหมดที่ตนมีในการดิ้นรนขัดขืน ทว่ากลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มผู้เย็นชามองหน้าเขา “ถ้าฉันเป็นแก ฉันจะสวดมนต์ขอให้เฉินเป่ยชวนมาช่วยให้ได้”
“แกรังแกเด็กแบบนี้ถือเป็นความสามารถอะไร อย่าให้ฉันโตนะไม่อย่างนั้นฉันจะแล่หนังของแกในสักวันซะ”
ภายในแววตาที่กำลังหวาดกลัวครั้นกลับไม่ได้รับการช่วยเหลือมีความโมโหและความเครียดผุดขึ้นมา เขาไม่อยากตาย เขายังต้องการให้หม่ามี๊ดูเขาเติบโตอยู่
“ฉันจะรอนะ”
ริมฝีปากอันเย็นชาของชายหนุ่มยิ้มถากถางขึ้นมาทันควัน จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปกดปุ่มสีแดงข้างหน้าประตูห้องเย็น ประตูที่มีความหนา 20 เซ็นติเมตรจึงได้เปิดออกอย่างช้า ๆ
ความหนาวเหน็บที่แทรกซึมเข้าถึงกระดูกทำให้เฉียวจิ่งเหยียนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก บนตัวมีเชือกรัดแน่น ไม่ต้องมีอะไรมายึดทั้งนั้น เขาก็หนีไปไม่ได้แล้ว
เพิ่งผ่านมาหนึ่งถึงสองนาที ทั้งเนื้อทั้งตัวก็เริ่มแข็งแล้ว เขาทำได้เพียงลืมตามองประตูที่เปิดอยู่ของห้องเย็น ครั้นไม่สามารถแม้แต่ขยับเขยื้อนได้
“หม่ามี๊ รีบมาช่วยผมที และก็คนสารเลวเฉินเป่ยชวน คุณรู้ไหมว่าที่นี่หนาวแค่ไหน”
เฉินเป่ยชวนขับรถอย่างรวดเร็วมาตลอดทาง สีหน้าของเขาหนักอึ้ง “สืบเจอหรือยังว่าพวกมันเป็นใคร ?”
“ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ”
น้ำเสียงของหลินผิงมีความผะอืดผะอม เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกก่อนหน้า เหตุใดอยู่ ๆ จึงได้มีคนมากมายที่ต้องการลักพาตัวเด็กนั่นเยอะเพียงนี้
“ยืนยันแล้วว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่โรงงานร้างชานเมืองงั้นเหรอ ?”
ไม่ว่าจะเป็นใคร ต้องเข้าไปช่วยเหลือเจ้าตัวเปี๊ยกออกมาอย่างปลอดภัยก่อนถึงจะถูกต้อง
“ประเด็นนี้เป็นส่วนที่ผมคิดว่าน่าสงสัยที่สุด ผมตรวจสอบทางที่มาของพวกมันไม่ได้ แสดงว่าพวกมันมีความสามารถในการปกปิดเส้นทางการเดินทางของตัวเอง แต่ว่าพวกมันไม่ได้ปกปิดทิศทางและตำแหน่งที่ตัวเองเดินทางไป”
ไม่ใช่คิดมากเกินไป แต่เป็นเรื่องนี้มันไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง
“ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่พวกมันต้องการจริง ๆ คือฉัน”
ริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนกระตุกเล็กน้อย เขาจะเป็นเป้าหมายของใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรที่จะใช้เด็กคนนั้นมาเป็นเหยื่อล่อเช่นนี้
“ผมส่งลูกน้องสี่คนไปเสริมกำลังคุณเรียบร้อยแล้ว ระมัดระวังด้วยนะครับ”
หลินผิงที่อยู่ปลายสายมีความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขามีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง รวมถึงมิตรภาพเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายเช่นกัน ปกติไม่ว่าเขาจะทำอะไร ตนไม่เคยที่จะเป็นห่วงมาก่อน ถึงขั้นคิดว่าเขาเป็นเทพที่อยู่ยงคงกระพัน ครั้นวันนี้กลับมีความรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างพูดไม่ออก
เขามักคิดว่าศัตรูในครั้งนี้มีการเตรียมการมาอย่างดีแล้ว
นัยน์ตาเฉินเป่ยชวนอบอุ่นลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องงานแต่งงานวันนี้ฉันไม่อยากเห็นการรายงานข่าวกับข่าวลือที่ไม่สมควรอะไรทั้งสิ้น”
เดิมทีเขาต้องการที่จะแสดงละครของวันนี้จนจบ ครั้นเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นแท้ ๆ จึงทำให้อารมณ์การแสดงละครของเขาหายไปจนหมด
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมรู้ว่าควรทำยังไง”
“หลินผิง ไม่ว่าต่อไปนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็บอกคนอื่นไปว่าฉันไปทำงานที่ต่างประเทศนะ”
ไม่รอให้ปลายสายได้เอ่ยตักเตือนขึ้นมา เฉินเป่ยชวนชิงวางสายไปก่อนทันที ฝ่ายศัตรูแย่งชิงเจ้าตัวเปี๊ยกมาจากคนกลุ่มก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาได้วางแผนอย่างรอบคอบไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว หากต้องการช่วยเหลือตัวประกันออกมา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไร
รถยนต์ยี่ห่อมายบัคขับมาจอดข้างทางบริเวณใกล้ ๆ โรงงานร้าง จากนั้นก็มีรถ SUV ขับตามมา เมื่อรถจอดสนิท ผู้ชายสี่คนก็เดินลงมาจากข้างใน ร่างกายอันบึกบึนและท่าทางที่กระฉับกระเฉงมองดูแวบเดียวก็รู้เลยว่าเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษมา
“บอสครับ”
เฉินเป่ยชวนรับปืนพกและลูกกระสุนที่หนึ่งในชายหนุ่มสี่คนนั้นยื่นเข้ามา จากนั้นก็เดินนำไปยังโรงงานร้าง
โรงงานร้างแห่งนี้เงียบอย่างไม่น่าสงสัยเท่าไร ครั้นบริเวณรอบ ๆ กลับเงียบสงัดจนมีความน่ากลัวผุดขึ้นมา ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เงียบจนน่าสงสัย
ชายหนุ่มสี่คนที่เคยผ่านการฝึกฝนมาสลับตำแหน่งกันทันที เพื่อเป็นการรักษาจุดสำคัญทั้งหมดที่อาจถูกโจมตีให้อยู่ในระยะที่ควบคุมได้ พวกเขาเดินมุ่งไปยังประตูของโรงงานร้างด้วยฝีเท้าอันเงียบ
“ปัง ๆ !”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงปืนดังขึ้นสองนัด เฉินเป่ยชวนจึงรีบหันปืนไปยังทิศทางที่มีเสียงดังขึ้นมาทันที มุมกำแพงที่ไม่มีคนอยู่ตอนแรกก็มีหนึ่งคนเดินออกมา
“บอสครับ ที่นี่มีกับดักเยอะมาก” ลูกน้องที่ถูกยิงแขนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าผะอืดผะอม
“ทุกคนระวังหน่อยนะ นายเป็นไงบ้าง ?” เขาเหลือบไปเห็นบาดแผลของลูกน้อง แขนเสื้อมีเลือดสด ๆ ซึมออกมาเรียบร้อยแล้ว
“ผมไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มมีท่าทางที่สงบนิ่งราวกับบาดแผลไม่ได้เป็นของตนเองอย่างไรอย่างนั้น กระสุนนี้ถูกยิงเข้ากล้ามเนื้อ ยามเคลื่อนไหวแขนจะเจ็บมากเท่านั้น ครั้นไม่ได้บาดเจ็บอันตรายจนถึงกระดูกและเส้นเลือด ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา
“กำลังคนของพวกเราน่าจะน้อยกว่าพวกมันหนึ่งเท่า อย่าประมาทไป”
เฉินเป่ยชวนกล่าวจบก็สาวเท้าเดินหน้าต่อไป ปลายกระปอกปืนสีดำเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายทุกเมื่อ
“ปัง !”
ฝ่ายศัตรูมีกำลังคนเยอะทั้งยังใช้กลยุทธ์ลอบยิง เห็นได้ชัดว่าจงใจที่จะให้เขาเหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายในการเข้าต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย คิดได้ดังนั้นสันคิ้วก็กระตุกขึ้นลงอย่างอันตรายด้วยสันชาตญาณ หลังจากกลับไปแล้วเขาจะต้องสืบสาวให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนบงการเรื่องนี้
MANGA DISCUSSION