ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 99 พายุ (ปลาย)
สืออีเหนียงจำไม่ได้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน ดูเหมือนว่าตัวเองจะพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋อยู่เป็นเวลานานจากนั้นก็เผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็มีคนสะกิดอยู่ข้างๆ เบาๆ “ฮูหยิน ฮูหยินตอนนี้ยามโฉ่วแล้วเจ้าค่ะ”
นางรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะของสวีลิ่งอี๋ “นอนต่ออีกสักหน่อยเถิด ใช่ว่าจะไม่มีคนรับใช้เสียหน่อย”
สืออีเหนียงตื่นอย่างเต็มตา
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ข้าปรนนิบัติท่านโหวลุกขึ้นจากเตียงเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
แต่ว่าสืออีเหนียงจะหลับต่อได้อย่างไร จึงลุกขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทานอาหารเช้า แล้วส่งสวีลิ่งอี๋ไปทำงาน เมื่อกลับมาที่เรือนก็ได้เลยยามโฉ่วไปแล้ว
นางหาว “โชคดีที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากวังหลวง มิเช่นนั้นเกรงว่ายามจื่อก็ต้องตื่นนอนแล้ว”
หู่พั่วพยุงนางขึ้นเตียง “ฮูหยินพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ไปนานๆ เข้า ร่างกายจะไม่ไหวเอาได้”
สืออีเหนียงพยักหน้า ขึ้นไปนอนบนเตียง หลับไปจนถึงยามเหม่า จากนั้นก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วให้หู่พั่วไปตามป้าเถามา
สะใภ้หนานหย่งหวีผมให้นาง นางได้พูดคุยกับสะใภ้หนานหย่ง ถามนางว่าแต่งงานเมื่อใด สามีทำงานอะไร มีบุตรแล้วหรือยัง บุตรอายุเท่าไร สะใภ้หนานหย่งตอบอย่างเขินอาย นางและสามีเป็นคนของจวนสกุลสวี ได้หมายหมั้นกันตั้งแต่เด็กๆ อายุสิบสองปีก็ได้เข้ามาในจวนแล้ว เดิมทีอยู่ที่ห้องเย็บผ้าทำงานเย็บปักถักร้อย เป็นเพราะว่าทำผมได้ดีจึงถูกใจท่านป้าที่เป็นคนทำผมของไท่ฮูหยิน จากนั้นก็เรียนรู้จากนางสองสามปี แต่งงานเมื่ออายุสิบแปดปี ตอนนี้อายุยี่สิบสองปี สามีเป็นคนเลี้ยงม้า มีบุตรสาวหนึ่งคนอายุสามขวบ
“เจ้าออกมาแต่เช้าเช่นนี้…แล้วบุตรสาวของเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ”
รอยยิ้มหวานได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขินอายของสะใภ้หนานหย่ง “บ่าวได้ขอให้ท่านป้าสกุลจ้าวที่อาศัยอยู่ข้างๆ ช่วยดูแลให้เจ้าค่ะ”
“ท่านป้าสกุลจ้าว? นางทำงานอะไรหรือ”
“นางเป็นภรรยาของผู้ดูแลจ้าวส่วนรายงาน ไม่ได้ทำงานอยู่ในจวน ปกติจะเย็บผ้าไปขาย นางเป็นคนดีมากๆ เจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูดคุยกัน สะใภ้หนานหย่งก็ค่อยๆ รู้สึกเป็นกันเองขึ้นเรื่อยๆ “บ่าวทำผมได้สิบกว่าทรง พรุ่งนี้ท่านจะลองทำทรงอื่นหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงมองพร้อมพยักหน้าเบาๆ
นางไม่ต้องการให้คนรอบข้างตัวเองยืนเกร็งเหมือนกับขอนไม้ ดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา
“แต่ข้ากลัวว่าจะยุ่งยาก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แค่มวยผมง่ายๆ เช่นนี้ก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงพึ่งจะพูดจบ สะใภ้หนานหย่งก็ได้นำผมช่อสุดท้ายม้วนขึ้นไป หยิบต่างหูทับทิมสีแดงทองคู่หนึ่งจากกล่องไม้แกะสลักเคลือบสีแดง “ท่านจะลองใส่คู่นี้ดูหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อนางใส่ต่างหูคู่นี้ทำให้ดูอ่อนหวานกว่าเดิมเล็กน้อย
“สมแล้วที่เป็นผู้ชำนาญด้านการทำผม”
สืออีเหนียงชื่นชมนาง สะใภ้หนานหย่งจึงอดยิ้มไม่ได้
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ป้าเถามาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าสะใภ้หนานหย่งมีท่าทีไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นความเกร็งเมื่อครู่ก็กลับมา นางรีบเก็บกระจกอย่างรวดเร็ว
“เชิญท่านป้าเข้ามาเถิด”
สาวใช้น้อยรีบเปิดผ้าม่านให้ป้าเถาเข้ามา
สะใภ้หนานหย่งย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงถามป้าเถาเบาๆ ว่า “เจ้าเคยได้ยินนักบวชลัทธิเต๋านามว่าฉังชุนหรือไม่”
“บ่าวเคยได้ยินอยู่เจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้มแล้วพูดต่อว่า “นักบวชฉังชุนเป็นหัวหน้าสำนักฉังชุนสามารถเรียกหิมะและฝนได้ เขาได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้เป็นผู้บรรลุในลัทธิเต๋าที่มีความสงบนิ่ง มีสมาธิ และความมุมานะ ผู้มีอำนาจมากมายในเยี่ยนจิงต่างพากันศรัทธาเขา จะว่าไปแล้วที่คุณหนูใหญ่ของพวกเรามีจุนเกอได้ก็เป็นเพราะนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนผู้นี้” พูดไปพูดมาก็ได้เล่าเรื่องที่นักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนดูฮวงจุ้ยให้หยวนเหนียงในปีนั้น ทั้งวิธีพิฆาตเคราะห์ร้าย ทั้งพิธีที่ช่วยนางขอลูก ทั้งทำนายไว้ว่าจะได้ลูกชาย หรือแม้กระทั่งก่อนที่จุนเกอจะอายุครบสิบปีจะต้องประสบเคราะห์ร้ายสามประการ นางค่อยๆ เล่าให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงเห็นว่าเวลาที่ป้าเถาพูดถึงนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุน ท่าทางของนางดูตื่นเต้นเหมือนเวลาที่พูดถึงคนที่ตัวเองนับถือ พูดได้ไม่รู้จักสิ้นสุด รู้ได้ว่านางศรัทธานักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนผู้นี้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนี้แสดงว่าพี่หญิงใหญ่เป็นลูกศิษย์ของนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้มแล้วพูดต่อว่า “หากวันใดท่านมีเวลาว่างก็ควรจะไปกราบไหว้นักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “แต่ว่าข้าคงไม่ควรไปคนเดียวใช่หรือไม่ ในจวนยังมีใครที่เป็นลูกศิษย์นักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนอีก เมื่อถึงเวลาก็ไปด้วยกันเสียเลย”
ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “คนในเรือนต่างพากันศรัทธา แต่ว่าไท่ฮูหยิน ท่านโหว และฮูหยินสองนับถือพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงไม่ค่อยไปสำนักของนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “อี๋เหนียงทั้งสามมาคำนับฮูหยินเจ้าค่ะ”
ป้าเถาพยุงสืออีเหนียงไปยังห้องโถง
ทั้งสามคนคำนับนาง เหวินอี๋เหนียงทักทายสืออีเหนียงอย่างกระตือรือร้น “หลับสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงตอบกลับนางสองสามประโยค หู่พั่วได้ยกอาหารเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงรีบไปช่วยหู่พั่วจัดวางจานชามและตะเกียบ เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วกำชับให้สาวใช้ปรนนิบัติสืออีเหนียงล้างมือ เฉียวเหลียนฝังที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
สืออีเหนียงไม่อยากทำให้ใครลำบากใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด อีกสักครู่ข้ายังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน”
เฉียวเหลียนฝังหันหลังแล้วเดินจากไป ฉินอี๋เหนียงกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยิน ให้ข้าปรนนิบัติท่านเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน วันเวลายังอีกยาวไกล ไม่ต้องรีบร้อนในตอนนี้”
ป้าเถาสังเกตเห็นว่านางไม่ต้องการรั้งอี๋เหนียงทั้งสามไว้จึงช่วยเกลี่ยกล่อมอยู่ข้างๆ จนเกลี่ยกล่อมให้ฉินอี๋เหนียงกับเหวินอี๋เหนียงยอมกลับไป จากนั้นก็พูดว่า “ฮูหยินสี่ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ เหวินอี๋เหนียงผู้นั้นเป็นคนปิดปากตัวเองไม่อยู่ หากวันนี้ให้นางปรนนิบัติท่านทานข้าวแล้วเรื่องกระจายออกไป คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่านางมาปรนนิบัติท่านเช่นนี้ทุกวัน หากเป็นเช่นนั้นนางก็จะได้เปรียบเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้ม
ก็เป็นไปได้ที่นางจะทำเรื่องแบบนี้
ยิ้มพลางส่งป้าเถาออกไป นางถามหู่พั่วว่า “ยาที่จะนำไปให้ไท่ฮูหยินกับฮูหยินห้าได้เตรียมไว้หรือยัง”
หู่พั่วพยักหน้า “ตามที่ท่านได้สั่งไว้ โสมสองหัวให้คนละหนึ่งหัว รังนกนางแอ่นหกรังให้ไท่ฮูหยิน อีกสี่รังให้ฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า กำชับตงชิง “สองสามวันนี้เจ้าอยู่แต่ในห้องบ่าวรับใช้ไม่ต้องออกมา จะได้ไม่ต้องพบกับฮูหยินห้า”
ตงชิงพยักหน้า สืออีเหนียงพาหู่พั่วกับปินจวี๋ไปหาไท่ฮูหยิน
เมื่อรู้ว่าสืออีเหนียงได้นำยามาให้ตัวเองและฮูหยินห้าก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ข้าไม่เคยขาดสิ่งเหล่านี้เลย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวเป็นคนกำชับให้ข้านำมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินก็ดีใจยิ่งกว่าเดิม รีบให้ป้าตู้รับไว้ แล้วให้เหยาหวงพาหู่พั่วไปหาฮูหยินห้า
แม่นมพาเจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอมาคำนับสืออีเหนียง
ทุกคนพึ่งจะพูดคุยกันได้สองสามประโยค สวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้ก็ได้เดินเข้ามา ต่อมาคุณชายสามกับฮูหยินสามก็ได้พาสวีซื่อเจี่ยนมาด้วย จากนั้นฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาโดยมีสาวใช้กลุ่มใหญ่คอยห้อมล้อม
เพียงชั่วครู่เรือนของไท่ฮูหยินก็ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เมื่อส่งสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนไปเรียนแล้ว ก็ส่งคุณชายสามไปร้านกิจการของตระกูล หลังจากนั้นฮูหยินห้าก็พูดเรื่องย้ายเรือน “…ข้าทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ทั้งสองสกุลต้องวุ่นวาย พวกเรารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก พอดีข้ามีเรือนที่เป็นสินเดิมอยู่ใกล้วัดฉือหยวนที่ตรอกฟ่างเซิง ท่านก็รู้ว่าไต้ซือวัดฉือหยวนอย่างจี้หนิงมีทักษะด้านการรักษาที่ยอดเยี่ยม คุณชายห้าได้ปรึกษากับข้าแล้ว พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่นั่นชั่วคราวเจ้าค่ะ”
เมื่อฮูหยินสามได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมาทันที “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร น้องสะใภ้ห้ากำลังตั้งครรภ์สายเลือดสกุลสวีของพวกเรา จะไปให้กำเนิดนอกจวนได้อย่างไร เช่นนี้ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย”
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไร ในสายตาเผยให้เห็นความลังเล
“ก็ไม่ถือว่าเป็นเรือนนอก” ฮูหยินห้าเหลือบมองสืออีเหนียงที่ไม่พูดอะไร ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นสินเดิมของข้าย่อมถือว่าเป็นทรัพย์สินของสกุลสวีเช่นกัน…”
“น้องสะใภ้ห้ากำลังกลัวว่าจะมีคนมากมายเอาไปนินทาใช่หรือไม่” ไม่รอให้ฮูหยินห้าได้พูดจบ ฮูหยินสามก็ยิ้มแล้วเหลือบมองไท่ฮูหยิน “จะว่าไปแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของน้องสะใภ้ห้าแค่คนเดียว คิดถึงตอนนั้นที่พี่สะใภ้สองต้องพักรักษาตัวหลังจากแท้ง พี่สะใภ้สองได้บอกว่าจะยกสาวใช้ข้างกายพี่ชายสองทั้งสองคนมาเป็นอนุ พี่ชายสองไม่เห็นด้วย ท่านแม่เองก็สงสารพี่สะใภ้สองจึงไม่ตกลง สุดท้ายทุกวันนี้จึงไม่มีใครจุดธูปให้พี่ชายสอง พี่สะใภ้สองก็อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว…”
“หยุดพูดได้แล้ว” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้ก็เอาตามนี้ ใครที่เกิดปีฉลูให้หลีกเลี่ยงออกไปให้หมด”
ไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็น
มีความพอใจสื่อออกมาผ่านใบหน้าฮูหยินสาม
ฮูหยินห้าเหลือบมองสืออีเหนียง
สังเกตเห็นว่าสืออีเหนียงยังคงสงบนิ่งดั่งน้ำเช่นเคย ไม่มีสีหน้าที่แปลกไปแต่อย่างใด
นางจึงอดแปลกใจไม่ได้ มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ไท่ฮูหยิน ไต้ซือจี้หนิงวัดฉือหยวนขอพบท่านเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
ไท่ฮูหยินพูดว่า “รีบเชิญเข้ามาเร็ว”
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไป
ไท่ฮูหยินถามฮูหยินห้า “เจ้ากับไต้ซือจี้หนิงนัดกันไว้เรียบร้อยแล้วหรือ”
“เปล่านะเจ้าคะ” ฮูหยินห้ารีบพูดต่อว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางมาทำอะไร” ในแววตามีความมึนงงเล็กน้อย
ไม่นานสาวใช้น้อยก็พานักบวชหญิงผิวขาวรูปร่างอวบสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ามา
นางพนมมือ “อามิตตาพุทธ” เพื่อคำนับทุกคน ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสาม ฮูหยินห้าพากันลุกขึ้นแล้วเรียกนักบวชหญิงผู้นั้น “ไต้ซือจี้หนิง” สืออีเหนียงก็ลุกขึ้นต้อนรับนักบวชหญิงผู้นั้นเช่นกัน
ไท่ฮูหยินให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้ใหญ่มาให้นักบวชหญิงนั่ง แล้วจากนั้นก็นำชามาวาง
ไต้ซือจี้หนิงยิ้มแล้วนั่งลง จิบชาหนึ่งอึก ถามสารทุกข์สุกดิบกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค “เคยเจอกันตอนวันสารทจีนแล้ว” จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง “ผู้นี้คงจะเป็นฮูหยินสี่ที่พึ่งแต่งเข้าจวนมาใหม่ใช่หรือไม่ สองสามวันก่อนหน้านี้ข้าทำการสวดมนต์จึงไม่ได้มาแสดงความยินดี ขอฮูหยินสี่อย่าได้ตำหนิ” พูดพลางลุกขึ้นพนมมือคำนับสืออีเหนียง
เห็นว่าไท่ฮูหยินเองก็เคารพไต้ซือจี้หนิง สืออีเหนียงย่อมไม่กล้าละเลยจึงยิ้มแล้วลุกขึ้นคำนับเช่นกัน “เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยมิอาจไปรบกวน ไต้ซือจี้หนิงเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อไต้ซือจี้หนิงได้ฟังก็ยิ้ม “ได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินสี่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคุณหนูแถวหน้าของสกุลหลัว คิดว่าผู้คนพากันพูดเกินจริง วันนี้ได้มาเห็นกับตาจึงได้รู้ว่าเป็นอย่างที่พูดจริงๆ”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
คนอื่นๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน
ไต้ซือจี้หนิงยิ้มแล้วพูดกับไท่ฮูหยินว่า “จะว่าไปแล้วข้าเองก็สนิทกับสกุลสวี เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มีคนขอร้องข้า อยากจะให้ไท่ฮูหยินช่วยอำนวยความสะดวก ให้ข้ากับฮูหยินสี่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัว”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินแววตาก็เป็นประกายเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมาท่านเป็นคนหนักแน่น ข้าย่อมฟังท่านอยู่แล้ว” จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ในเมื่อไต้ซือได้รับคำขอร้องจากผู้อื่นมา เจ้าก็ฟังคำของไต้ซือเสียหน่อย”
สืออีเหนียงตอบรับแล้วเดินตามไต้ซือจี้หนิงออกจากเรือนหลักของไท่ฮูหยินไปยังห้องปีกทิศตะวันออก