ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 97 พายุ (ต้น)
สืออีเหนียงรีบตามไป
“ท่านโหว ให้ข้าปรนนิบัติท่านเปลี่ยนชุดเถิด” น้ำเสียงของนางไม่อาจปกปิดความกังวลได้
สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถคาดเดาความคิดของสวีลิ่งอี๋ได้ เหมือนเมื่อครู่เขาไม่ควรจะถาม แต่เขาก็กลับเอ่ยถาม ส่วนตอนนี้เขาควรจะถามนางเงียบๆ แต่เขากลับพุ่งตัวออกไปข้างนอกเหมือนชายหนุ่มเลือดร้อน
เขาจะทำอะไร
จะไปหาผู้ใด
สืออีเหนียงกังวลใจเป็นอย่างมาก
นานแล้วที่ไม่ได้เป็นแบบนี้…เวลาที่พวกเขาได้รู้จักกันช่างสั้นเหลือเกิน ความเข้าใจมีอย่างจำกัดแต่กลับมีอุปสรรคเต็มไปหมด ไม่เคยรอให้นางได้ทำความเข้าใจ…
ขณะที่กำลังครุ่นคิด นางได้ยินสวีลิ่งอี๋เรียกหลินปัว “ไปเรียกคุณชายห้ามาให้ข้า”
เรียกสวีลิ่งควนมา…ต้องการจะซักถาม หรือว่าจะตำหนิกันแน่
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ความกลัวที่สวีลิ่งควนมีต่อสวีลิ่งอี๋อาจจะทำให้เขามีท่าทีแปลกไปเมื่อไปทานอาหารด้วยกัน และถ้าหากไท่ฮูหยินสังเกตเห็นจะต้องเอ่ยถามอย่างแน่นอน ไม่แน่สวีลิ่งควนอาจจะบอกไท่ฮูหยินจนหมดเปลือก…
บุรุษมักจะพูดตรงๆ ด้วยความที่ตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ส่วนแม่สามีกลับถือว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจากการแยกกันอยู่ของลูกสะใภ้ เมื่อช่องว่างเช่นนี้ปรากฏขึ้นก็เหมือนกับกระจกที่แตกร้าว แม้จะใช้ความพยายามมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า ก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
นางยิ้มเจื่อน
“ท่านโหว คุณชายห้าเองเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ต้องไปทานข้าวกับไท่ฮูหยินเช่นกัน” สืออีเหนียงพูดเบาๆ ในน้ำเสียงมีความปลอบประโลม “มีเรื่องอันใดก็รอให้ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยพูดดีหรือไม่เจ้าคะ น้องสะใภ้ห้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียง จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปที่เรือน
สมองของสืออีเหนียงหมุนอย่างรวดเร็ว กำลังคิดว่า อีกสักครู่เมื่อสวีลิ่งควนมาแล้วตัวเองจะอธิบายกับเขาอย่างไร…ตอนนี้ฮูหยินสามจ้องแต่จะเล่นงานตัวนาง จะให้เกิดการขัดแย้งระหว่างนางกับฮูหยินห้าไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นจากที่นางไม่มีพรรคพวกอยู่แล้วและต้องมาตกอยู่ในสภาวะโดดเดี่ยว เกรงว่าต่อไปคงจะใช้ชีวิตในจวนอย่างยากลำบาก…
นางครุ่นคิดพลางเดินตามหลังสวีลิ่งอี๋เข้าเรือนไป
สวีลิ่งอี๋เรียกให้ชุนมั่วกับซย่าอีมาช่วยเขาเปลี่ยนชุด
สาวใช้ทั้งสองคนมีไหวพริบ เมื่อรู้สึกถึงความตรึงเครียดของบรรยากาศในห้อง ก็มีท่าทางตื่นตระหนก จึงรีบพากันเดินไปที่ห้องชำระ
สืออีเหนียงถือโอกาสถามตงชิง “เหตุใดเจ้าจึงถือถุงสัมภาระ”
ตงชิงตอบหน้าเศร้า “เพราะบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินทางไปยังจวนที่อยู่ตรอกจินอวี๋ทางทิศเหนือของเมืองและอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาห้าเดือน บ่าวได้รีบทำเสื้อผ้าฝ้ายที่จะให้ท่านจนเสร็จ คิดว่าอีกสักครู่จะให้สาวใช้น้อยสองสามคนมาช่วยบ่าวเก็บเสื้อผ้า กลัวว่าพวกนางจะไม่ระมัดระวังทำให้เสื้อผ้าฝ้ายของท่านต้องเลอะ ดังนั้นบ่าวจึงตั้งใจห่อ…”
“แล้วเจ้าจะร้องไห้ทำไม”
ตงชิงไม่ตอบอะไร ปินจวี๋ยืนบ่นอยู่ข้างๆ “เมื่อครู่มีเศษฝุ่นเข้าตา บ่าวช่วยพี่ตงชิงเป่าอยู่ตั้งนานเจ้าค่ะ”
นี่มันช่างบังเอิญเสียจริง! แม้แต่ตัวเองก็ยังคิดว่าตงชิงเสียใจเรื่องที่ต้องออกไปจากจวน…
สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วรับถุงสัมภาระมา “เจ้าเอาไว้ที่ข้าก่อนเถิด”
ตงชิงมองไปที่ห้องชำระ “แล้วท่านโหวล่ะเจ้าค่ะ…”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง” สืออีเหนียงกล่าวต่อว่า “เจ้าไปเก็บของของเจ้าเถิด”
ตงชิงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้เลย จึงตอบรับด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินกลับไปที่ห้องของบ่าวรับใช้
สืออีเหนียงนำถุงสัมภาระใบนั้นไปวางไว้ยังที่นั่งข้างหน้าต่างที่สวีลิ่งอี๋มักจะไปนั่งอยู่บ่อยๆ คิดว่าหากตัวเองยืนอยู่เฉยๆ รอรับแรงกดดันคงจะดูอ่อนแอเกินไป จึงคำนวณเวลาเพื่อไปชงน้ำชา เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋อาบน้ำและได้เปลี่ยนเป็นชุดลายปักดอกไม้สีครามเรียบร้อยแล้ว
นางยิ้มแล้วยกถ้วยชาเดินไปหาสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวดื่มชาก่อนแล้วค่อยไปเถิด”
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงที่บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูสงบนิ่งและท่าทางใจกว้างของนาง คิดถึงเมื่อครู่ที่เสียงของนางมีท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อยอยู่ข้างหลังตัวเอง จึงอดใจอ่อนไม่ได้
ไม่ว่าปกตินางจะดูสงบนิ่งเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงสาวน้อยที่อายุมากกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่กี่ปี เมื่อเห็นว่าตัวเองโกรธก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก…
สายตาที่เขามองสืออีเหนียงดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย รับชามาจิบหนึ่งอึก
เมื่อรู้สึกว่าความเยือกเย็นที่อยู่รอบตัวสวีลิ่งอี๋เริ่มจางหายไป สืออีเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเขาดื่มชาที่ตัวเองยกไป สืออีเหนียงก็มั่นใจได้ว่าความโกรธของเขาได้หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
สักพักบรรยากาศในห้องก็เริ่มกลับเป็นปกติ
“นี่คือสิ่งใด” สวีลิ่งอี๋มองดูถุงสัมภาระที่อยู่บนโต๊ะ เขาจำได้ นี่คือถุงสัมภาระที่อยู่ในมือของตงชิงเมื่อครู่
“อ้อ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตงชิงทำเสื้อผ้าฝ้ายให้ข้า บอกว่าตัวเองจะต้องไปตรอกจินอวี๋แล้วจึงตั้งใจนำมาให้ข้า ใครจะไปรู้ว่าจะมีฝุ่นเข้าตาจึงเช็ดตาอยู่ตั้งนานแล้วพวกเราก็กลับมาเจอเข้าพอดี” พูดพลางเปิดถุงสัมภาระต่อหน้าเขา เผยให้เห็นเสื้อผ้าฝ้ายสีแดงที่อยู่ด้านใน
สวีลิ่งอี๋มองออก
ทั้งยกน้ำชามาให้ ทั้งนำถุงสัมภาระมาวางไว้ต่อหน้าเขา ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงอยากที่จะอธิบายกับเขา
คงกลัวว่าตัวเขาจะเข้าใจผิดกระมัง…
ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
สืออีเหนียงเห็นท่าทางของเขาอย่างชัดเจนจึงอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ถึงแม้ว่าเขาจะโล่งใจ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องยิ้ม
จะต้องคิดหาวิธีมาเดาอารมณ์ของชายผู้นี้ออกให้ได้ มิเช่นนั้นหากถูกเขาจูงจมูกอยู่เสมอ ทุกอย่างก็จะถูกควบคุมโดยเขา
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ในใจก็มีสาวใช้น้อยมารายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านโหว คุณชายห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าแววตาของสวีลิ่งอี๋เริ่มเย็นชาขึ้นอีกครั้ง
เรื่องของสองพี่น้อง ส่วนนางเป็นเพียงแค่สะใภ้ ไม่เข้าไปแทรกแซงคงจะดีกว่า
นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปชงชาให้คุณชายห้าเจ้าค่ะ” ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋ตอบอะไร นางก็เปิดผ้าม่านแล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าน้องชายกลัวตัวเองเสมอมา เมื่อเจอตัวเองก็มักจะขดตัว จึงไม่อยากให้สืออีเหนียงมาเห็น ไม่ว่าอย่างไรสวีลิ่งควนก็ถือว่าเป็นผู้ชายอกสามศอก หากผู้หญิงมาเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขาก็คงจะไม่ดี กำลังคิดว่าควรจะพูดกับนางอย่างไรดี คิดไม่ถึงว่านางจะหาข้ออ้างออกไปเอง
เขาแอบพยักหน้า
ตอนแรกตัวเองไม่ได้ปฏิเสธการแต่งงานนี้ แม้ว่าจะเพื่อไม่เป็นขี้ปากของคนอื่น แต่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะความเฉลียวฉลาด ความรู้ประสา และความรอบรู้ของนางตอนที่เจออยู่ที่ลานเล็ก
ขณะที่กำลังคิดอยู่ในใจ สวีลิ่งควนก็ได้เดินย่องๆ เข้ามาแล้ว
สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ ก็พลันนึกถึงจุนเกอทันที ความโกรธที่สงบลงก็ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่มันเรื่องอะไร ท่านแม่บอกข้าว่าคนในจวนที่เกิดปีฉลูต้องหลบไปอยู่ที่เรือนนอกที่เขาซีซาน แต่คิดไม่ถึงว่าคนเกิดปีฉลูของทุกเรือนจะต้องหลบหลีกทั้งหมด เจ้ารู้หรือไม่ว่าในจวนมีคนเกิดปีฉลูเท่าไร แล้วก็ที่ตรอกหงเติงนั้นอีก พวกเจ้ามักจะอาศัยอยู่ในจวนครึ่งเดือน แล้วก็ไปอาศัยอยู่ที่เรือนท่านโหวอีกครึ่งเดือน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรือนของท่านโหวผู้เฒ่านั้นมีคนเกิดปีฉลูกี่คน” เขาพูดอย่างรวดเร็ว สวีลิ่งควนเหม่อลอยอยู่นาน
“เจ้าตอบข้าสิ!” สวีลิ่งอี๋มองดูน้องชายที่ท่าทางเหมือนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ในใจก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม “นี่เป็นคำพูดของใคร คนในสำนักดาราศาสตร์คนใดเป็นคนกล่าว เป็นพระภิกษุฝ่าซ่านหรือเป็นฉังชุนคนอวดรู้ผู้นั้น” เขาชี้ไปยังด้านนอกห้อง “เจ้าไปถามฉังชุน เขาทำนายได้ไม่ใช่หรือ ให้เขาทำนายว่าเขาจะตายเมื่อใด”
ถึงแม้ว่าเสียงของสวีลิ่งอี๋จะไม่ถึงกับดัง แต่ก็ไม่ได้เบาเลยทีเดียว สืออีเหนียงที่กำลังยกชามายืนอยู่ใต้ชายคานั้นได้ยินอย่างชัดเจน
นางตกใจเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะมีความรู้สึกต่อต้านนักบวชลัทธิเต๋าที่มีนามว่าฉังชุนขนาดนี้!
“…เขาพูดอะไรพวกเจ้าก็ว่าตามไปหมด ที่นี่ยังจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่หรือไม่”
เมื่อสวีลิ่งควนได้สติกลับมาก็รีบยอมรับผิดในทันที “พี่สี่ ข้าไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว ข้าจะรีบไปบอกกับตานหยางเดี๋ยวนี้” พูดพลางลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องไป
“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!” พอสวีลิ่งอี๋มองดูท่าทางรีบร้อนของเขาก็รู้สึกว่าโกรธไปก็ไร้ประโยชน์
เมื่อสวีลิ่งควนได้ยินพี่ชายเรียกตัวเองก็ไม่กล้าเดินออกไปจึงเดินกลับมาที่เดิมยืนตัวตรงอยู่ข้างหน้าสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋อดถอนหายใจไม่ได้ เนื่องจากต้องการระงับความโกรธไว้จึงพูดเสียงเบากว่าปกติสามส่วน “ข้าเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอพวกเจ้าให้กำเนิดเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดของสำนักดาราศาสตร์แต่ก็ต้องดูตามความเป็นไปได้ด้วย ปกติเวลาพวกเจ้ากลับมาก็จะตรงไปหาท่านแม่ ข้าก็คิดว่ามีเพียงเรือนของท่านแม่และเรือนของพวกเจ้าที่จะต้องหลีกเลี่ยง ตอนที่ท่านแม่ถามข้า ข้าจึงได้ตอบตกลง เจ้าจะไปพูดกับน้องสะใภ้ห้าเช่นนี้ก็ดูไม่ดี เดี๋ยวนางจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเรากลับคำ เจ้าลองไปปรึกษากับน้องสะใภ้ห้าอีกครั้ง หากต้องให้ผู้ที่เกิดปีฉลูทั้งหมดออกจากจวนไป เกรงว่าทางด้านท่านโหวผู้เฒ่าก็อาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นเช่นกัน ไม่สู้ให้พวกเจ้าย้ายไปอยู่เรือนนอกที่เขาซีซาน เช่นนี้ทั้งคนฝั่งเราและฝั่งท่านโหวผู้เฒ่าก็จะได้ไปเยี่ยมพวกเจ้าได้”
“ก่อนหน้านี้ตานหยางก็พูดเช่นนี้” สวีลิ่งควนพูดกระอึกกระอักว่า “แต่ว่าเขาซีซานอยู่ทางด้านทิศตะวันตก มีทองเป็นหลัก แต่ธาตุทั้งห้าของตานหยางขาดธาตุไม้ไป ธาตุทองกับธาตุไม้เป็นปฏิปักษ์กัน…” พูดพลางเหลือบมองใบหน้าเคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋
น้องชายผู้นี้ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย…
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า“เจ้าเพียงแค่ไปบอกกับน้องสะใภ้ก็พอ นางรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร”
สวีลิ่งควนเชื่อมั่นในตัวพี่ชายผู้นี้เสมอมา ตอบเพียงว่า “ขอรับ” และเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปเปลี่ยนชุดแล้ว”
สวีลิ่งอี๋โบกมือ “รีบไปเถิด เดี๋ยวพอถึงเวลาแล้วท่านแม่หาเจ้าไม่เจอ นางจะเป็นกังวลเอาได้”
สวีลิ่งควนตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงรีบไปหลบอยู่ข้างห้องก่อนที่สวีลิ่งควนจะเดินออกมา รอให้เขาไปแล้วค่อยยกชาเข้าไป
“คุณชายห้าไปแล้วหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับพูดว่า “เจ้าจะไปเปลี่ยนชุดหรือไม่ หากไม่เปลี่ยน เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเลยเสียตอนนี้” มีความอ่อนล้าอยู่ในน้ำเสียงของเขา
สืออีเหนียงเห็นว่าเขาสีหน้าไม่ค่อยดี และคิดว่าตอนนี้ไท่ฮูหยินคงจะรอคนมาให้ครบแล้วค่อยทานข้าว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าเสื้อผ้าของข้าก็พอดูได้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าจู่ๆ นางก็พูดติดตลก จึงรู้ได้ว่านางจะต้องได้ยินตอนตัวเองโมโห จึงอยากจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปทานข้าว ใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม ก้าวขาออกประตูไปแล้วพูดว่า “ไปกันเถิด”
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดพายุหิมะครั้งนี้ก็ผ่านไปเสียที
นางรีบส่งถาดน้ำชาในมือให้สาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ แล้วรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
******
เมื่อไปถึงเรือนของไท่ฮูหยิน คิดไม่ถึงว่าฮูหยินสองได้มาถึงแล้ว
นางสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมสีน้ำเงินที่ดูไม่เก่าไม่ใหม่ ม้วนผมสีดำคลับ ใส่ต่างหูไข่มุก เป็นความเรียบง่ายที่ดูสง่างาม กำลังนั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยินถามเรื่องการเรียนของสวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้ในหลายวันมานี้ ไม่เพียงแต่คนในห้องที่ต่างก็พากันนั่งอย่างเรียบร้อย แม้แต่สวีซื่อเจี่ยนก็ไม่ได้ซนหมือนเมื่อครู่ ยืนฟังอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเรียบร้อย
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง ฮูหยินสองก็ยิ้มแล้วยืนขึ้น “น้องสี่ น้องสะใภ้สี่ พวกเจ้ามากันแล้ว!”
สืออีเหนียงรีบเข้าไปคำนับฮูหยินสอง นางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ สังเกตเห็นว่าเขามีท่าทางเคารพนับถือ
“พี่สะใภ้สอง!”
ฮูหยินสองรีบคำนับกลับ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ คนกันเองทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ รีบนั่งลงเถิด”
สวีลิ่งอี๋นั่งเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ถัดจากไท่ฮูหยิน ส่วนสืออีเหนียงยืนอยู่ข้างหลังเขา
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วเอ่ยกับสวีลิ่งอี๋ “การเรียนของสวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้ตอนนี้ได้สำเร็จลุล่วงเพียงเล็กน้อย ข้าคิดว่าต้องเปลี่ยนอาจารย์เป็นผู้ที่มีความรู้มากกว่านี้”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า“ข้าก็เคยคิดเช่นนั้นขอรับ เพียงแต่ว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ จึงได้ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วกล่าวว่า“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ หาไปก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ จึงได้ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ