ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 96 ผู้ติดตาม (ปลาย)
เมื่อกลับมาที่เรือนก็เรียกหู่พั่ว ตงชิง ปินจวี๋ และจู๋เซียงมาพบเพื่อบอกกับทุกคนเรื่องที่ตงชิงต้องออกจากจวนชั่วคราว
เมื่อตงชิงได้ฟังก็มีแววตาเศร้าหมองเล็กน้อย“เป็นเพราะข้าทำให้ฮูหยินต้องเหนื่อย”
“เจ้าพูดอะไรกัน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ทุกเรือนก็ต้องเจอเรื่องนี้กันทั้งนั้น โชคดีที่พวกเรายังมีที่ไร่และเรือนของตัวเอง เจ้าเองก็เป็นคนใช้ข้างกายข้าที่ช่วยเบาแรงข้าได้มากที่สุด ต่อหน้าคนอื่นข้าก็แค่บอกว่าข้าต้องการที่จะจัดการเรื่องทางด้านฝั่งนั้น ก็ถือว่าพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง”
จู๋เซียงเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นงานของพวกเราจะต้องจัดสรรกันใหม่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เพียงแค่สี่ห้าเดือน ช่วงเวลานี้ก็ให้หู่พั่วทำหน้าที่แทนตงชิงไปก่อนชั่วคราวก็พอแล้ว”
ทุกคนตอบรับอย่างเห็นด้วย จากนั้นตงชิงและหู่พั่วก็คอยดูแลสืออีเหนียงพักผ่อนนอนกลางวัน เมื่อเลยต้นยามเว่ยมาสักพักก็ปลุกนาง สะใภ้หนานหย่งเดินเข้ามาจัดผมให้นาง จากนั้นนางก็ไปหาไท่ฮูหยินตามเวลานัด
ตอนเดินเข้าประตูมาอีกนิดเดียวก็ยามเว่ยพอดี
สืออีเหนียงแอบจำเส้นทางเดินเท้าจากเรือนตัวเองมาที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ครั้งนี้นางมาเร็วที่สุด ไท่ฮูหยินพึ่งจะตื่น กำลังหวีผมอยู่ จึงได้เรียกให้ป้าตู้ยกน้ำลูกแพรมาให้นางดื่ม
“ให้นางรอสักครู่ ข้าใกล้จะเสร็จแล้ว”
ควรจะเป็นน้ำชาไม่ใช่หรือ ทำไมจึงให้นางดื่มน้ำลูกแพรกันเล่า…นี่ควรเป็นน้ำที่จะให้เด็กๆ ดื่มไม่ใช่หรอกหรือ
สืออีเหนียงมองดูน้ำหวานสีน้ำตาลโปร่งแสง ก้มหัวแล้วจิบทีละน้อย รู้สึกว่ารสหวานอมเปรี้ยวมันช่างยาวนานเหลือกเกิน รสชาติดิ่งลึกลงไปถึงหัวใจ
ป้าตู้พยุงไท่ฮูหยินออกมา
“อร่อยหรือไม่” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วมองสืออีเหนียงที่ทำตาหยีดื่มน้ำลูกแพร
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้ม “ข้าชอบดื่มตอนเป็นสาวๆ ตอนนี้อายุเยอะแล้ว ของหวานทำให้ข้ารู้สึกเสียวฟัน…”
กำลังพูดคุยกัน ฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ข้างหลังนางยังมีสาวใช้อีกมากมาย
ไท่ฮูหยินรีบพูดว่า “เจ้าเดินช้าๆ หน่อย”
ป้าตู้ได้เดินเข้าไปพยุงนาง
“ข้าไม่เป็นไร” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กล้ามาหาท่านที่นี่หรอกเจ้าค่ะ หากคุณชายห้ารู้ว่าข้าไม่สบายแล้วยังเดินไปทั่ว ข้าจะโดนดุเอาได้” ปากบ่นแต่หางตากลับเต็มไปด้วยความปิติยินดี
เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นดีมาก
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินก็มีความสุข ให้ป้าตู้มาร่วมด้วยให้ครบคนแล้วไปที่ห้องปีกทิศตะวันออกด้วยกัน
เว่ยจื่อและเหยาหวงสั่งให้หญิงท่าทางบึกบึนย้ายโต๊ะสี่เหลี่ยมเคลือบสีดำที่อยู่ข้างกองหญ้าเข้ามา คนหนึ่งไปนำผ้าสักหลาดสีแดงมาปูบนโต๊ะ อีกคนหนึ่งไปนำไพ่นกกระจอกที่แกะสลักจากไม้ไผ่มา
สืออีเหนียงเอ่ยอย่างทำตัวไม่ถูกว่า “ใครจะเป็นคนสอนข้า ข้าเล่นไม่เป็น”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ ชี้ไปที่เหยาหวง “เจ้าไปนั่งข้างฮูหยินสี่”
เหยาหวงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยกเก้าอี้เล็กไปนั่งอยู่ข้างหลังสืออีเหนียง
ส่วนเว่ยจื่อไปนั่งอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน
เสียงเขย่าไพ่ดังขึ้น เหยาหวงบอกสืออีเหนียงว่าอะไรคือการตั้งไพ่ ควรจะเล่นอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะได้กินไพ่ แบบไหนถึงจะชนะได้ แบบไหนที่เรียกว่าเสมอกัน
สืออีเหนียงท่าทางเงอะงะ ไม่ทำไพ่คว่ำก็ทำไพ่หงายไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ทำเอาเหยาหวงเหงื่อออกเต็มหัว แม้กระทั่งไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าและป้าตู้ก็ต้องหยุดรอนางตลอด
“ที่แท้พี่สะใภ้สี่ก็เล่นไม่เป็นจริงด้วยๆ” ฮูหยินห้าหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าเจ้าถ่อมตัวเสียอีก”
“นี่เป็นครั้งแรกของข้า” สืออีเหนียงขยับไพ่ของตัวเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ ออกไพ่ทีละใบ
“แพ้แล้ว!” ป้าตู้ยิ้มหน้าบาน “มังกรยักษ์สามตัว!”
“เจ้าจะรีบวางทำไม” ฮูหยินห้าคร่ำครวญจากนั้นก็นับเหรียญทองแดงสามสิบเหรียญ
“ขอโทษที ขอโทษที” สืออีเหนียงรีบพูดว่า “ข้าดูแล้วนึกว่าต้องทิ้ง”
หรือว่าเป็นเพราะอายุมากแล้วเลยกลัวว่าจะเหงา ไท่ฮูหยินไม่ได้ต้องการจะเล่นไพ่ เพียงแค่ต้องการบรรยากาศที่ครึกครื้น นางเอาแต่หัวเราะ
มีสาวใช้น้อยมารายงานบอกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอตื่นแล้วจึงมาคำนับไท่ฮูหยิน
ทุกคนหยุดชั่วคราว รอให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอคารวะเสร็จแล้วค่อยกลับมานั่งเล่นใหม่
เจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอนั่งเล่นโยนถุงทรายอยู่บนตั่งข้างๆ
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสืออีเหนียงกำลังทำท่าทางเงอะงะ
เมื่อผ่านไปสักครู่จุนเกออยากจะไปเข้าห้องชำระ เหลือเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่คนเดียว นางจึงมาดูไพ่ของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงใจเต้นเล็กน้อย
โดยจิตใต้สำนึกแล้วคนเรามักจะสังเกตความเคลื่อนไหวของคนที่ตนเองสนใจ
นางตั้งใจหยิบไพ่ขึ้นมาสองใบ ทำท่าทางลังเล จะทิ้งหรือไม่ทิ้งดี
เหยาหวงพูดว่า “ลงใบนี้เจ้าค่ะ”
“ข้าคิดว่าลงใบนี้ดีกว่า” สืออีเหนียงทำตรงกันข้ามกับเหยาหวง เหยาหวงไม่กล้าสั่งนาง จึงเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้จึงชี้ไปที่ไพ่ที่เหยาหวงเลือกเมื่อครู่ “ท่านแม่เลือกใบนี้เถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น รีบลงไพ่ใบนั้นที่เจินเจี่ยเอ๋อร์เลือก
ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ไท่ฮูหยินถูกกินไปหนึ่งใบ
สืออีเหนียงมีความสุขเป็นอย่างมาก ดึงมือของเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วพูดว่า “เจ้าเก่งมาก”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย
ทางด้านฮูหยินห้าได้ทิ้งไพ่ให้ป้าตู้
“เจินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของข้าเสียจริง ครั้งนี้ถือว่าข้าทิ้งไพ่ถูกสักที” สืออีเหนียงหันไปยิ้มให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
ทุกคนมองอย่างมีความสุข ต่างพากันยิ้มหน้าบาน
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสี่ ฮูหยินห้า ท่านโหวกับคุณชายห้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจัง” ทุกคนดันไพ่มากองรวมกัน พากันลุกขึ้นเพื่อไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋กับสวีลิ่งควนที่ใต้ชายคาเรือน
สองพี่น้องสวมชุดทางการเดินเข้ามาที่ลาน
สวีลิ่งอี๋เดินอยู่ข้างหน้าท่าทางผ่อนคลาย สวีลิ่งควนกลับเดินไหล่ตกอยู่ด้านหลัง มองแล้วดูตลกเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินพูดเสียงเบา “เจ้าห้าคงไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วถูกเจ้าสี่จับได้หรอกนะ” ท่าทางกังวลใจเป็นอย่างมาก
“คงไม่หรอกเจ้าค่ะ” ในน้ำเสียงของฮูหยินห้ามีความกังวลอยู่เล็กน้อย “เขาบอกว่าจะทำตัวเป็นพ่อที่ดี…” ยังไม่ทันพูดจบสองพี่น้องสกุลสวีก็เดินเข้ามาใกล้ นางจึงรีบหยุดพูด
สองพี่น้องคำนับไท่ฮูหยิน สายตาของไท่ฮูหยินจับจ้องไปที่สวีลิ่งควน “ทำไมพวกเจ้าสองพี่น้องจึงมาด้วยกัน”
สวีลิ่งควนเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ ไม่กล้าพูดอะไร
สวีลิ่งอี๋สีหน้าปกติ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีธุระอันใดแล้วจึงรีบกลับมาก่อนล่วงหน้า พอดีได้มาเจอเจ้าห้าที่ประตูซีหวาเลยได้มาด้วยกัน”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบเข้ามา รีบเข้ามา”
สองพี่น้องเดินตามไท่ฮูหยินเข้ามาในเรือน สวีลิ่งอี๋เห็นไพ่นกกระจอกที่ห้องปีกตะวันออกจึงเหลือบมองสืออีเหนียง ถามไท่ฮูหยินว่า “เล่นไพ่นกกระจอกกันอยู่หรือขอรับ”
ไท่ฮูหยินยิ้ม มองไปที่สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าแล้วพูดว่า “สองคนนี้มาเล่นเป็นเพื่อนข้านานมากแล้ว”
ทุกคนพูดพลางนั่งลง แม่นมได้อุ้มจุนเกอเข้ามา
เจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอเข้ามาคำนับสวีลิ่งอี๋ มีสาวใช้น้อยเดินเข้ามาบอกว่า “คุณชายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสามเลิกเรียนแล้วตั้งใจจะมาคำนับไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
“วันนี้มาพร้อมหน้าพร้อมตากันเชียว” ไท่ฮูหยินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “รีบเชิญเข้ามา รีบเชิญเข้ามา”
สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ เดินเข้ามาคำนับผู้อาวุโสด้วยความเคารพ ไท่ฮูหยินรีบให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้พวกเขานั่ง ถามอย่างห่วงใยว่า “วันนี้อาจารย์สอนอะไรมาบ้าง เรียนเข้าใจหรือไม่”
สวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้นั่งลงอย่างเรียบร้อย ค่อยๆ ตอบทีละคำถาม สวีซื่อเจี่ยนอยู่ไม่เป็นสุขราวกับนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็ม เอาแต่มองจุนเกอที่นั่งขยิบตาอยู่บนตั่ง
จุนเกออยากจะไปเล่นกับสวีซื่อเจี่ยน แต่ก็เหมือนกับไม่กล้า จึงแอบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋มองด้วยท่าทีสงบนิ่ง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คุณชายสามกับฮูหยินสามเข้ามาพอดีเขาจึงไม่พูดออกไป
ทุกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกรอบ
เมื่อนั่งลงฮูหยินสามก็ถามสืออีเหนียงว่า “วันนี้เจ้ามาเล่นไพ่นกกระจอกกับท่านแม่ ชนะหรือแพ้เล่า”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยก “ก็พอได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่เล่นไม่เป็นเลย เพียงแค่มาเล่นกับพวกเราให้ครบคนก็เท่านั้น”
สวีลิ่งควนเหลือบมองพี่ชาย เห็นว่าสายตาของเขานิ่งเฉย ยิ้มแล้วพูดต่อประโยคของภรรยา “เล่นบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเอง”
สืออีเหนียงกลับเอาแต่ส่ายหัว “ยากเกินไปแล้ว คราวหลังข้านั่งดูอยู่ข้างๆ จะดีกว่า”
พวกผู้ใหญ่ในห้องพากันหัวเราะ
สวีซื่อฉินเหลือบมองสวีซื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าเขาทำสีหน้าจริงจัง แล้วหันไปมองจุนเกอ
จุนเกอก้มหน้าเล่นชายเสื้อของตัวเอง เหมือนไม่รู้ว่าทุกคนกำลังหัวเราะ
จากนั้นเขาก็หันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มกลับมีร่องรอยของความโศกเศร้า
สวีซื่อฉินอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้
สืออีเหนียงมองออกอย่างชัดเจน จากนั้นก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่ได้พูดอะไร
คนอื่นๆ ไม่มีใครให้ความสนใจเด็กๆ เหล่านี้ ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วกำชับป้าตู้ “ไปเรียกอี๋เจิ้นมา นานๆ ทีจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาและครึกครื้นเช่นนี้” จากนั้นก็พูดกับสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนว่า “พวกเจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาทานข้าว”
เมื่อสืออีเหนียงและฮูหยินห้าได้ฟังก็รีบลุกขึ้น ต่างคนต่างไปปรนนิบัติสามีเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาก็เห็นตงชิงถือถุงสัมภาระยืนอยู่มุมประตูห้องพักบ่าวรับใช้ พูดคุยบางอย่างกับปินจวี๋ พูดไปก็เช็ดน้ำตาไป
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้ติดตามทั้งหลายของข้ามาจากทางตอนใต้ ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในหมู่บ้าน ข้าจึงให้ตงชิงไปช่วยดูชั่วคราว”
ไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มของสืออีเหนียงทำให้สวีลิ่งอี๋นึกถึงหยวนเหนียงตอนที่พูดถึงคนแซ่ถงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ แต่ในใจกลับมีท่าทีระมัดระวัง
เขาเหลือบมองสืออีเหนียง
สายตาของเขาแสดงท่าทางที่น่าเกรงขามออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทำให้สืออีเหนียงใจสั่นเล็กน้อย รอยยิ้มจึงพลันดูเกร็งขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อยแล้วชี้ไปยังตงชิง “เจ้ามานี่”
ตงชิงกับปินจวี๋พึ่งสังเกตเห็นว่าสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงกลับมาแล้ว
ทั้งสองคนรีบวิ่งเข้ามาคำนับด้วยท่าทางไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋มองสัมภาระในมือตงชิง “เจ้าจะไปไหน”
ตงชิงเหลือบมองเขา กังวลเป็นอย่างมาก อ้าปากพะงาบแต่พูดไม่ออกสักคำ จึงหันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงท่าทางมึนงงเล็กน้อย
ตามหลักแล้วสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ ทำไมวันนี้ถึงได้…
เพียงครู่เดียวเสียงของสวีลิ่งอี๋ก็ดังขึ้นกว่าเดิม “ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
เหมือนเสียงฟ้าร้องดังอยู่ข้างหู แม้แต่สืออีเหนียงก็ยังตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตงชิง จึงพูดออกมาโดยไม่ลังเล “บ่าวเกิดปีฉลูไม่ต้องชะตากับฮูหยินห้า จึงให้บ่าวย้ายออกไปอยู่ข้างนอกชั่วคราวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอดที่จะกังวลไม่ได้
ตงชิงพูดไม่ค่อยเป็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของฮูหยินห้า ไท่ฮูหยินเองก็เห็นด้วยแล้ว ถ้าหากเข้าไปในเรือนแล้วค่อยๆ อธิบายกับสวีลิ่งอี๋ก็เหมือนเป็นการบอกให้รู้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับเหมือนกำลังฟ้อง…ทำไมต้องยืนอยู่ตรงทางเดินห้องบ่าวรับใช้ตอนที่สวีลิ่งอี๋กลับมาด้วยเล่า
ปินจวี๋ก็กังวลเป็นอย่างมาก
เหตุใดตงชิงจึงไม่รู้จักพูดจาอ้อมค้อม ถ้าหากท่านโหวคิดว่าฮูหยินกำลังฟ้องเขา เขาจะต้องโทษว่าฮูหยินไม่รู้จักความ ไม่รู้จักเชื่อฟังคำสั่ง เขาจะไม่คิดว่าฮูหยินตั้งใจสร้างเรื่องหรอกหรือ
ดูท่าทางกังวลของสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้ว ทันใดนั้นก็ก้าวออกไปข้างนอก
สืออีเหนียงคิดถึงตอนที่อยู่ในลานเล็ก ตอนที่หยวนเหนียงกล่าวหาว่าเขามาลักลอบพบหญิงอื่น
เขาก็มีท่าทางเช่นนี้ ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรสักคำ…
นางรีบตามไปอย่างรวดเร็ว