ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 94 ผู้ติดตาม (ต้น)
เมื่อได้ฟังที่ไท่ฮูหยินบอกว่าจะให้ตนเองเป็นคนจัดการเรื่องผู้ติดตามของหยวนเหนียง นางกลับไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามคนของหยวนเหนียงก็เป็นผู้ติดตามที่พามาจากสกุลหลัว เมื่อหยวนเหนียงจากไปแล้วก็ควรให้จุนเกอรับผิดชอบต่อ ตอนนี้จุนเกออายุยังน้อยหากให้คนอื่นไปเลี้ยงก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนนินทา ตัวเองเป็นทั้งแม่เลี้ยง เป็นทั้งน้าของจุนเกอ มอบให้ใครก็ไม่สู่มอบให้ตัวเองเป็นคนเลี้ยงคงรู้สึกสบายใจกว่า
นางยิ้มแล้วพยักหน้า พูดว่า “อีกสักครู่ข้าจะไปพบผู้ติดตามของพี่หญิง ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้นข้าจะมาปรึกษาท่านอีกทีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินสามมาเจ้าค่ะ”
“ให้นางเข้ามา” ไท่ฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนสืออีเหนียงก็เดินไปเปิดม่านด้วยตัวเอง
ฮูหยินสามพาสาวใช้ที่สวมชุดไหมสีเขียวเดินเข้ามา สาวใช้คนนั้นถือสมุดบัญชีสองสามเล่มในมือ
สืออีเหนียงอดที่จะสังเกตสาวใช้คนนั้นไม่ได้ หน้าตาสะสวย สาวใช้คนนั้นก็คือชิวหลิงที่ถามนางว่าเหนื่อยหรือไม่ในวันที่ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังจวน
“พี่สะใภ้สาม”สืออีเหนียงทักทายฮูหยินสาม จากนั้นก็มองไปด้านหลังแล้วพยักหน้าทักทายชิวหลิง
ชิวหลิงกลับมีท่าทางอึดอัด พยายามหลบสายตาด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสถานะของนางทำให้ชิวหลิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้หรือ แต่ชิวหลิงคงไม่ใช่คนแบบนั้น มิเช่นนั้นวันนั้นนางก็คงไม่ตามมาถามตัวเอง
สืออีเหนียงท่าทางประหลาดใจ ฮูหยินสามประคองมือนาง “ข้าจะกล้าใช้น้องสะใภ้สี่ให้ช่วยเปิดม่านได้อย่างไร”
ตัวเองเป็นคนที่เข้ามาใหม่ เรื่องชงชารินน้ำ เปิดม่านต้อนรับแขกควรจะทำให้มากจึงจะดี
“พี่สะใภ้สามไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ” นางยิ้มพร้อมตอบฮูหยินสาม จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน เขยิบที่นั่งของตัวเองให้แก่ฮูหยินสาม
ฮูหยินสามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่นั่ง ยืนอยู่ข้างหน้าไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามฮูหยินสาม “มีเรื่องอะไรลำบากใจหรือ” ฮูหยินสามมองไปที่สืออีเหนียง อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยกับไท่ฮูหยินว่า “หากท่านแม่ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ยิ้มแล้วตอบว่า “หากเจ้าว่างไม่มีอะไรทำ ตอนบ่ายก็มาเล่นไพ่นกกระจอกกับข้าที่นี่”
การเล่นไพ่นกระจอกย่อมหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกันไม่ได้ ความขัดแย้งย่อมนำมาซึ่งผลประโยชน์ของใครบางคน… ความสัมพันธ์ในบ้านยังไม่ทันกระจ่างก็ต้องตกลงไปในอีกวงจรหนึ่ง ช่างโง่เขลาเสียจริง อีกอย่างเมื่อเริ่มไปแล้วเกรงว่าในอนาคตจะต้องมาเล่นไพ่นกกระจอกกับไท่ฮูหยินบ่อยๆ จะทำให้งานของตัวเองล่าช้า แต่ตัวเองไม่สามารถคัดค้านคำพูดของไท่ฮูหยินได้ ทำได้เพียงแค่ทำเป็นเล่นไม่เป็นให้ไท่ฮูหยินเป็นคนยอมแพ้ปล่อยนางไปเองจะดีกว่า
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงจึงยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้เจ้าค่ะ ที่จริงข้ายังเล่นไม่ค่อยเป็น จะได้ให้ไท่ฮูหยินช่วยสั่งสอน”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปเถิด คาดว่าในเรือนจะมีเรื่องมากมายรอเจ้าไปจัดการอยู่”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ กำลังจะถอยออกไป
ฮูหยินสามกลับเรียกสืออีเหนียงไว้ พูดอย่างกระอึกกระอักว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับน้องสะใภ้สี่อยู่เล็กน้อย…เจ้าพึ่งจะเข้ามา ข้ากลัวว่าหากข้าพูดไปจะทำให้เจ้าไม่สบายใจ แต่ถ้าหากไม่พูดข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร…”
สืออีเหนียงเห็นความประหลาดใจในแววตาของไท่ฮูหยิน
เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินไม่รู้เรื่องนี้
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จริงอย่างที่พี่สะใภ้สามว่า ข้าพึ่งจะเข้ามา มีกฏมากมายที่ข้ายังไม่รู้ หากข้ากระทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอให้พี่สะใภ้สามช่วยให้คำแนะนำด้วย”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อฮูหยินสามเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็มีความเศร้าปรากฏขึ้น “เรื่องเป็นเช่นนี้ น้องสะใภ้สี่เองก็รู้ว่าน้องสะใภ้ห้าตั้งครรภ์แล้ว สำนักดาราศาสตร์เคยทำนายไว้ว่าจะไม่ถูกกับคนเกิดปีฉลู ข้าให้ชิวหลิงทำบันทึกคนที่เกิดปีฉลูในจวนทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงทางฝั่งของน้องสะใภ้สี่…” พูดพลางเหลือบมองไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนแต่งงานทั้งสองสกุลจะหารือเรื่องสินสอด ฝ่ายชายจะนำทรัพย์สินที่ทางตระกูลแบ่งให้ฝ่ายชายทำเป็นรายการบัญชีมอบให้ฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงก็จะนำสินสอดทองหมั้นและผู้ติดตามบันทึกลงในรายการบัญชีมอบให้ฝ่ายชาย ดูแล้วฮูหยินสามคงจะเคยตรวจสอบคนของนางโดยเฉพาะ…ตงชิงเกิดปีฉลู!
หากคนในตระกูลต้องหลีกเลี่ยงทั้งหมด แน่นอนว่านางจะปฏิเสธอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ถ้าหากมีเพียงแค่ฮูหยินสามเพียงคนเดียวที่ทำเช่นนี้ เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด
นางเหลือบมองไท่ฮูหยิน
พบว่าไท่ฮูหยินมีสีหน้าลังเล
นางเข้าใจความคิดของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทางฝั่งของข้ามีคนเกิดปีฉลูอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วพยักหน้า หยิบสมุดบัญชีมาจากมือชิวหลิง “ดูเหมือนว่าจะมีสี่คน คนหนึ่งเป็นตงชิงที่คอยรับใช้ข้างกายน้องสะใภ้สี่ คนหนึ่งคือสาวใช้ติดตามชื่อว่าฉางจิ่วเหอ คนหนึ่งคือว่านต้าเสี่ยนลูกชายคนโตของว่านอี้จง อีกคนหนึ่งคือหลิวหยวนรุ่ยลูกชายคนที่สองของหลิวเซิ่งชุน”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในบรรดาพวกนางห้าคนมีสี่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของลูกหลานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ควรจะหลีกเลี่ยงไปตามกฎ พี่สะใภ้สามนำสมุดบัญชีมาให้ข้า ข้าจะได้ส่งคนให้ท่านตามรายชื่อในบัญชี” แล้วพูดต่อว่า “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาคนเหล่านี้ไปไว้ที่ใด จะว่าไปแล้วข้าเองก็มีเรือนอยู่สองหลังที่เป็นสินเดิมของข้า หากคิดว่าสามารถใช้การได้ พี่สะใภ้สามก็บอกข้ามาได้เลย”
เมื่อฮูหยินสามได้ฟังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ถึงขั้นต้องไปรบกวนเรือนของบรรดาสะใภ้หรอก…”
“คำพูดนี้ของสืออีเหนียงได้เตือนสติข้า” ไท่ฮูหยินได้พูดขัดจังหวะฮูหยินสาม “อี๋เจิ้นเองก็มีสาวใช้ที่เกิดปีฉลู แม้จะบอกว่าจะต้องหลีกเลี่ยงคนพวกนี้เพื่อฮูหยินห้า แต่หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป คนอื่นจะคิดว่าตระกูลเรากำลังขับไล่คนออกไป”
“ท่านแม่” เมื่อฮูหยินสามได้ฟังก็มีท่าทีกังวลเล็กน้อย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
ไท่ฮูหยินโบกมือ “เจ้าไม่ต้องกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นความต้องการของข้า เจ้าก็เพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่ได้พิจารณาอย่างละเอียดตั้งแต่แรก คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับคนมากมายเช่นนี้ ข้าคิดว่า คนของใครก็ให้คนนั้นเป็นคนจัดการ จะได้หลีกเลี่ยงการขาดแคลนคนรับใช้”
เมื่อพูดถึงขั้นนี้ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ฮูหยินสามรีบยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” กำชับชิวหลิง “เจ้านำรายชื่อคนที่เกิดปีฉลูในเรือนของฮูหยินสี่มอบให้ฮูหยินสี่”
ชิวหลิงตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” สายตาที่ใช้มองดูสืออีเหนียงกลับแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร ยิ้มแล้วรับกระดาษที่แนบอยู่ในสมุดบัญชีมา จากนั้นก็กล่าวลาไท่ฮูหยิน “…นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าขอตัวไปจัดการคนเหล่านี้ก่อนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางไม่พูดอะไร ไม่เพียงเชื่อฟังแต่ยังมีความกระตือรือร้น จึงยิ้มด้วยความพอใจแล้วพูดว่า “ไปเถิด”
สืออีเหนียงพาหู่พั่วออกมาจากเรือนไท่ฮูหยิน
หูพั่วเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยิน หรือว่าท่านจะส่งคนออกไปจริงๆ เจ้าคะ ผู้ติดตามสี่คนเดิมทีก็มาจากอวี๋หัง พวกเราไม่เข้าใจจริงๆ หากทำเช่นนี้ เกรงว่าหลังจากนี้คนอื่นจะคิดว่าพวกเราเกรงกลัวฮูหยินสาม…”
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียเรื่องต่างๆ ก็มีทั้งดีและไม่ดี ไม่แน่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้” พูดพลางมองไปยังที่ที่ฮูหยินห้าอาศัยอยู่แล้วยิ้ม
******
พวกนางกลับมาที่เรือน ป้าเถายังคงรออยู่ที่นั่น
สืออีเหนียงทำให้นางใจเย็นลง ให้หู่พั่วเรียกบรรดาผู้ติดตามของตนเองมา
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไปเรียกสาวผู้ติดตามทั้งสี่คนมา
ในเมื่อเป็นคนเรือนสี่ เช่นนั้นทุกคนก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อทุกคนเดินเข้ามา ในห้องก็เต็มในทันที
นอกจากเจียงปิ่งเจิ้งที่สวมเสื้อกั๊กไหมยาวสีเขียวนกแก้วที่แอบมองไปรอบๆ แล้ว คนอื่นๆ ก็เอาแต่ก้มหัวไม่กล้าขยับ
สืออีเหนียงให้หู่พั่วเรียกตามรายชื่อ
เมื่อรู้ว่าหญิงที่สวมเสื้อกั๊กไหมยาวสีเขียวนกแก้วเช่นกันเป็นภรรยาของหลิวหยวนรุ่ยจึงได้จดจำนางไว้
นางยังสังเกตลูกชายคนโตของว่านอี้จงที่มีนามว่าว่านต้าเสี่ยน เจ้าเด็กคนนี้ดูกระตือรือร้น หน้าตาดูซื่อสัตย์ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตงชิง
สืออีเหนียงให้คนอื่นๆ ออกไปก่อนแล้วพูดคุยกับเจียงปิ่งเจิ้งและคนที่เหลืออยู่
“…ดังนั้นคนที่เกิดปีฉลูจะต้องหลบไปอยู่ที่หมู่บ้านชั่วคราว”
เจียงปิ่งเจิ้งรีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ไม่ได้นะขอรับ หากปล่อยให้พวกเขากระทำอยู่เช่นนี้ แล้วต่อไปเราจะจัดการงานได้อย่างไร”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ามีแผนอะไรหรือไม่”
เจียงปิ่งเจิ้งยิ้มแล้วรีบพูดทันทีว่า “บ่าวเป็นคนโง่เขลา จะมีความคิดได้อย่างไร บ่าวจะเชื่อฟังฮูหยินทุกอย่าง หากฮูหยินให้บ่าวไปทางซ้ายข้าก็จะไม่ไปทางขวา หากฮูหยินให้บ่าวไปทางขวาบ่าวก็จะไม่ไปทางซ้ายอย่างแน่นอน” จากนั้นก็ถามสามคนที่อยู่ข้างหลัง “พวกเจ้าคิดว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
หลิวหยวนรุ่ยและฉางจิ่วเหอพากันพยักหน้า แต่ว่านอี้จงกลับเอาแต่ก้มหน้า
สืออีเหนียงให้เจียงปิ่งเจิ้ง หลิวหยวนรุ่ย และฉางจิ่วเหอออกไปก่อน ให้ว่านอี้จงอยู่ต่อเพื่อพูดคุย
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ว่านอี้จงตกใจเป็นอย่างมาก เงียบอยู่นาน จากนั้นก็เผยการตัดสินใจที่แน่วแน่ พูดเสียงเบาว่า “พวกเราเป็นคนกลุ่มน้อย ควรจะไปตามกระแสน้ำจะดีกว่า”
เขารู้จักรักษาเล็บมือของตัวเองอย่างสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เข้มงวดต่อตัวเอง การที่เขาสามารถพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาแสดงว่าเขานั้นจริงจัง
สืออีเหนียงพอใจเขาเป็นอย่างมาก “เหตุใดเจ้าถึงมาเป็นคนติดตามของข้า”
นางมองว่านอี้จงที่แต่งกายสะอาดสะอ้าน ท่าทางใจกว้างและดูมีราศี นางเชื่อว่าเขาใช้ชีวิตได้ดีในสถานที่เดิมที่จากมา
ว่านอี้จงพูดด้วยความเคารพว่า “โอกาสที่เยี่ยนจิงมีมากกว่าขอรับ”
“หืม? โอกาสที่เจ้าว่าคือโอกาสอันใด”
ว่านอี้จงตอบ “เจียงหนานมีพื้นที่น้อย คนที่จะมาช่วยจัดการพืชผลก็ยิ่งน้อย บ่าวมีลูกชายสามคน การเรียนรู้งานฝีมือจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในครอบครัว แต่ทางเหนือนั้นไม่เหมือนกัน มีไร่นาขนาดใหญ่มากมายทุกพื้นที่…ดังนั้นบ่าวจึงได้ติดตามมาด้วย”
น้ำเสียงของเขามั่นคงเป็นอย่างมาก แต่หน้าผากกลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ เต็มไปหมดเผยให้เห็นความประหม่าของเขา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามเขาว่า “ข้ารู้เพียงแต่ว่าสินเดิมของข้ามีไร่นาสองแห่ง ที่หนึ่งมีขนาดห้าร้อยกว่าหมู่[1] อีกที่หนึ่งมีขนาดสามร้อยกว่าหมู่ ทั้งหมดอยู่ที่หว่านผิง แต่ไม่รู้ว่าพื้นไร่นาสองแห่งนี้ใช้ปลูกอะไร แต่ละฤดูได้ผลผลิตเท่าไร อยู่ใกล้กับพื้นที่ไร่ของผู้ใด ข้าให้เวลาห้าวันในการกลับมารายงานข้า ถือว่าลำบากเจ้าเกินไปหรือไม่”
ว่านอี้จงเงยหน้ามองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ ยืนนิ่งอยู่นานจากนั้นจึงได้ตอบว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา เขาโค้งคำนับแล้วถอยออกไป
“ข้าไม่ได้มีจวนอยู่ที่ทางเหนือของเมืองหรอกหรือ” นางกำชับหู่พั่ว “ให้ตงชิงนำเงินติดตัวไปสักหน่อย ให้ทุกคนไปพักอยู่ที่นั่นชั่วคราว รอให้เวลาผ่านไปสักพักค่อยหาที่อยู่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน”
หู่พั่วพูดอย่างลังเลว่า “ท่านจะให้บ่าวเรียกเจียงปิ่งเจิ้งและคนอื่นๆ มาถามหรือไม่ มิเช่นนั้นเกรงว่าว่านอี้จงจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน…”
ก็เพราะว่าต้องการให้เขาเป็นเป้าหมายของทุกคน เขาจะได้รู้ว่ามีเพียงการติดตามตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังไม่ต้องหรอก รอดูว่าว่านอี้จงจัดการอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน”
แน่นอนว่าหู่พั่วไม่กล้าพูดอะไรอีก เรียกให้ป้าเถาเข้ามา จากนั้นตัวเองก็นำคำของสืออีเหนียงไปบอกกับตงชิง
เท่าที่ฟังจากไท่ฮูหยิน คนที่หยวนเหนียงเหลือไว้ได้มอบหมายให้ป้าเถาเป็นคนจัดการชั่วคราว เป็นเพราะว่าประการแรกนางไม่ใช่เจ้านายอย่างเป็นทางการ มีบางเรื่องที่ไม่สามารถทำการตัดสินใจได้ ประการที่สองตอนนี้ฮูหยินสามเป็นคนจัดการเรื่องในบ้าน สถานการณ์จึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่มีหยวนเหนียงคอยดูอยู่ข้างๆ ตอนนี้นางเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเปลี่ยนเจ้านายทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ดูเหมือนว่างานดีๆ เช่นนี้คงจะเปลี่ยนเอาคนของตัวเองมาแทนที่ตั้งนานแล้ว ดูอย่างป้าเถาที่ทุกเดือนก็ได้ไม่เกินสองตำลึง หากเป็นคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากไม่มีรายได้จากทางอื่น อาศัยเพียงรายได้ในแต่ละเดือน ไม่อยากคิดเลยว่าจะลำบากขนาดไหน
รู้ได้ชัดเจนเลยว่าเหตุผลที่นางรีบร้อนมาหาตัวเองเพราะเหตุใด
——————————————————
[1]หมู่ คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่ เท่ากับ 0.417 ไร่