ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 92 คารวะ (กลาง)
ต่อมาสวีลิ่งอี๋ก็ถามคำถามสวีซื่ออวี้อีกสองสามข้อ สวีซื่ออวี้ตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว
สายตาของสวีลิ่งอี๋ก็เต็มไปด้วยความชื่นอกชื่นใจ และบอกให้สวีซื่ออวี้ตั้งใจเล่าเรียน
สวีซื่ออวี้ก็ตอบรับ
สืออีเหนียงถือโอกาสสังเกตสีหน้าของฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง
ฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วมองดูพวกเขาสองพ่อลูก แต่เฉียวเหลียนฝังกลับนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเคร่งขรึม ท่าทางดูแข็งทื่อ
นางนึกถึงเหวินอี๋เหนียงที่ชอบประจบประแจง…และตัวเองที่กำลังนั่งมองดูอยู่ข้างๆ ขึ้นมา
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าบรรยากาศเช่นนี้ช่างน่าขำ
ดูเหมือนจะคึกคัก แต่แต่ละคนกลับกำลังครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
ภายใต้แสงไฟที่สว่างไสว บนใบหน้าด้านข้างที่จริงจังของเขา มีความสุขุมและลึกลับที่ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงจะมี
พูดตามความจริง สวีลิ่งอี๋คือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่หาได้ยาก หน้าตาหล่อเหลา นิสัยสุขุม ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะทำทุกอย่าง ตอนแรกที่นางไม่ปฏิเสธเขา มันคงจะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ใช่หรือไม่ คนที่โดดเด่นเช่นนี้ แล้วยังมีสถานะและตำแหน่งที่น่าอิจฉา หากตัวเองอายุเท่าเฉียวเหลียนฝัง นางเองก็คงจะจิตใจสั่นไหวเช่นกันกระมัง
นางกำลังคิดฟุ้งซ่าน หางตาของนางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเฉียวเหลียนฝัง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงสายตาที่เฉียบแหลมและเยือกเย็นพุ่งตรงมาที่ตัวเอง
สืออีเหนียงจึงตระหนักได้ทันทีว่า เฉียวเหลียนฝังกำลังมองนางอยู่ตลอดเวลา!
แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมอง เฉียวเหลียนฝังกลับก้มหน้าก้มตาแล้วทำท่าทีเคร่งขรึม มองไม่ออกเลยว่านางเคยมองมาที่สืออีเหนียงด้วยสายตาเช่นนั้น
สืออีเหนียงจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เฉียวเหลียนฝังต้องการ…
นางแอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดกับสวีซื่ออวี้ “…ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียน”
สวีซื่ออวี้ ฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังก็ลุกขึ้นยืน
สืออีเหนียงเหลือบตามองหู่พั่ว
หู่พั่วก็รีบเปิดม่านให้พวกเขาทันที
“…ไม่รบกวนท่านพ่อกับท่านแม่แล้วขอรับ ลูกขอตัวก่อน” สวีซื่ออวี้คำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงด้วยความเคารพ
ฉินอี๋เหนียงก็พูดสั้นๆ ว่า “ข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วบอกพวกเขาเบาๆ “ระวังตัวด้วย”
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับไม่พูดไม่จา เดินออกไปพร้อมกับฉินอี๋เหนียงและสวีซื่ออวี้
หู่พั่วเดินออกไปส่งพวกเขาทั้งสามคน
เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋อารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย บอกให้สืออีเหนียงเรียกชุนมั่วและซย่าอีมารับใช้เขาอาบน้ำ “…พรุ่งนี้มีประชุมเช้า”
สืออีเหนียงตกใจ
บอกว่าเป็นโรคข้อเท้าอักเสบไม่ใช่หรือ?
นางนึกว่าสวีลิ่งอี๋จะพักผ่อนอยู่ที่จวนสักพัก!
แต่นางไม่ได้พูดอะไร
เมื่อนางยังไม่ไว้วางใจคนคนหนึ่ง นางก็จะเลือกที่จะไม่พูดอะไร สวีลิ่งอี๋ทำกับนางเช่นนี้ ตัวเองก็ทำกับหู่พั่วและตงชิงเช่นนี้เหมือนกัน
นางยิ้มและตอบกลับไปว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกชุนมั่วและซย่าอีเข้ามา ตัวเองออกไปอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันออก ให้ปินจวี๋ช่วยนางแกะเครื่องประดับบนหัวออก “…ล้วนแต่เป็นเครื่องประดับที่ไท่ฮูหยินมอบให้ อย่าทำมันพังนะ!”
ก่อนมาถึงจวนสกุลสวี นางแบ่งหน้าที่ของสาวใช้สองสามคนใหม่
หู่พั่วเป็นหัวหน้าสาวใช้ ตงชิงมีหน้าที่ดูแลการเฝ้ายามของบรรดาสาวใช้และท่านป้าในเรือน ปินจวี๋ดูแลเครื่องประดับ เสื้อผ้า เงินเดือนและสินเดิมต่างๆ จู๋เซียงดูแลเรื่องการกินและซักล้าง สองเรื่องนี้ต้องไปมาหาสู่กับคนของจวนสกุลหลัว จู๋เซียงเป็นคนพูดน้อย แต่เข้าใจอะไรง่าย นางจึงเหมาะสมที่สุด
ปินจวี๋มองดูปิ่นปักผมแล้วยิ้ม ไท่ฮูหยินดีกับฮูหยินจริงๆ
นางแกะเครื่องประดับบนหัวของสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง
วันที่สองหลังจากแต่งาน ตอนที่พวกเขาไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเคยมอบกล่องแกะสลักลายดอกไม้และนกสีแดงให้นาง มันหนักมาก ตอนนั้นนางรู้สึกว่าของที่อยู่ข้างในต้องมีค่ามากแน่ๆ แต่เพราะว่าฮูหยินสามอยู่ที่นั่นด้วย นางจึงรีบยื่นกล่องนั้นให้ปินจวี๋เป็นคนเก็บ วันที่กลับจวนวันนั้นนางค่อยเปิดดู พบว่ามันคือเครื่องประดับอัญมณีที่หายากทั้งสิ้น อยู่ที่จวนของสามีต้องเป็นหน้าเป็นตาให้จวนสกุลตัวเอง อยู่ที่จวนของตัวเองต้องเป็นหน้าเป็นตาให้จวนสกุลสามี เหมือนกับที่ต้องดูแลลูกน้องเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย ต้องเคารพเจ้านายเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้อง นางจึงเปลี่ยนมาสวมเครื่องประดับที่ไท่ฮูหยินมอบให้
สายตาของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความพอใจ
สืออีเหนียงกระซิบบอกปินจวี๋เบาๆ “เก็บไว้ให้ดี อย่าให้หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว”
บอกว่ามอบให้นาง แต่นางก็เอาไปขายไม่ได้ แล้วยังเอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่สู้บอกว่าให้นางยืมเสียยังจะดีกว่า ทำของที่ยืมมาหายไปไม่ใช่เรื่องดี…
ปินจวี๋ยิ้มและพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง บ่าวระวังอยู่แล้วเจ้าค่ะ! ของที่ไท่ฮูหยินมอบให้ท่าน หากทำหาย คงจะทำให้ไท่ฮูหยินเสียใจ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน หู่พั่วก็เดินเข้ามา
ปินจวี๋หยุดพูดแล้วรีบช่วยนางเก็บเครื่องประดับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขอตัวออกไป
หู่พั่วบอกให้สาวใช้ตักน้ำร้อนเข้ามา รีบให้สืออีเหนียงอาบน้ำ
แช่ตัวในถังไม้สนที่โรยไปด้วยดอกกุหลาบ สูดดมกลิ่นหอมของไม้สนและกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ ทำให้นางรู้สึกสดชื่นราวกับเดินเข้าไปในธรรมชาติ นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าหายไปหมดแล้ว
นี่ก็คือข้อดีที่แต่งงานกับสวีลิ่งอี๋ ตอนที่ให้สินเดิม จวนสกุลสวีนำชาดแดงมาให้ใช้ในวันแต่งงาน หนึ่งในนั้นมีน้ำหอมอีกสองขวด ขวดหนึ่งคือกลิ่นดอกกุหลาบ อีกขวดหนึ่งคือกลิ่นดอกมะลิ
สักวันหนึ่งจะลองถามว่ามีกลิ่นอื่นอีกหรือไม่ หรือว่า ตัวเองจะลองกลั่นเอง สวนดอกไม้หลังจวนสกุลสวีมีดอกไม้มายมากมิใช่หรือ โดยเฉพาะห้องลี่จิ่งเซวียน ว่ากันว่ามีดอกไม้บานสะพรั่งตลอดทั้งปี นางนึกถึงดอกไม้ที่ตัวเองเคยเห็นตอนไปที่เรือนของไท่ฮูหยินครั้งแรก สกุลสวีจะต้องมีห้องสำหรับปลูกดอกไม้แน่นอน แล้วยังคงมีคนรับใช้ที่เชี่ยวชาญในการปลูกดอกไม้ต้นไม้…
คิดเช่นนี้ นางก็อยากจะลองดูสักหน่อย
เช่นเดียวกับผู้หญิงทุกคน สืออีเหนียงชอบดอกไม้ต้นไม้ เมื่อก่อนนางทำงานหนักขนาดนั้น ยังปลูกพุดซ้อนไว้บนระเบียงต้นหนึ่ง
พรุ่งนี้สวีลิ่งอี๋ไม่อยู่ที่จวนไม่ใช่หรือ พอดีเลย สามารถถือโอกาสสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ จากนั้นก็ตกแต่งเรือน ตกแต่งเต็มไปด้วยบอนไซหยกเช่นนี้ มันดูสวยงามก็จริงแต่มองดูแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย
แต่ว่า ในเมื่ออยู่ด้วยกันสองคน บอกสวีลิ่งอี๋ล่วงหน้าคงจะดีกว่า
ถึงแม้ว่านางจะคิดเช่นนี้ แต่สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋คงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนางในเรื่องพวกนี้
นี่ถือว่าเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของการแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋กระมัง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
บอกว่าการแต่งงานต้องให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนบริหารจัดการร่วมกันไม่ใช่หรือ แต่ตัวเองทำเช่นนี้ มันถือว่านางลำบากเกินไปหรือไม่ ทำไมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมือนกำลังบริหารจัดการชีวิตแต่งงานของตัวเอง แต่กลับกำลังบริหารจัดการอิสระของตัวเอง…
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หู่พั่ว เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามหู่พั่ว
หู่พั่วเห็นสืออีเหนียงมีความสุข นางก็อดไม่ได้ที่จะลังเลไปครู่หนึ่ง
“ทำไมหรือ” สืออีเหนียงถามนาง
“หลังจากออกไปจากเรือนของเรา เฉียวอี๋เหนียงก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง ส่วนฉินอี๋เหนียงส่งคุณชายสองออกไปแล้วถึงกลับไปยังเรือนของตัวเอง” หู่พั่วพึมพำ “แต่ว่า ฉินอี๋เหนียงกลับไปได้ไม่นาน สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงก็ถืออะไรสักอย่างไปที่เรือนของฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงคนนี้ อยู่นิ่งไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวจริงๆ!
รู้สึกว่าน้ำเริ่มเย็น สืออีเหนียงก็ลุกขึ้นมาเช็ดตัว หู่พั่วรับใช้นางสวมแต่งตัว
“ลานที่เราอยู่แบ่งออกเป็นลานตงคว่าและลานซีคว่า”
สืออีเหนียงยังไม่เข้าใจ
หู่พั่วพูดเบาๆ “พวกเราอยู่ที่ลานซีคว่า แล้วยังมีลานตงคว่า อี๋เหนียงทั้งสามคนอยู่ที่ลานตงคว่า เรือนทั้งสามเรียงลำดับกัน เหวินอี๋เหนียงอาศัยอยู่ทางใต้สุด ฉินอี๋เหนียงอาศัยอยู่ทางเหนือสุด เฉียวอี๋เหนียงอาศัยอยู่ตรงกลาง”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ
สองสามวันนี้นางยุ่งมาก ไม่มีเวลาและโอกาสไปสังเกตว่าอี๋เหนียงทั้งสามคนนี้อยู่ที่ใดแน่นอน
“พึ่งย้ายเข้ามาหรืออยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว” นางครุ่นคิด
“อยู่ที่นั่นตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “ว่ากันว่าเรือนของฉินอี๋เหนียงยังมีเรือนอีกเรือนหนึ่ง ตอนที่คุณชายสองยังเด็ก ไท่ฮูหยินเป็นคนบอกให้นำเรือนตรงนั้นเชื่อมต่อกับเรือนของฉินอี๋เหนียง จึงกลายเป็นสามเรือน ดังนั้นสองเรือนแรกมีทางเข้าแค่ทางเดียว มีแค่ลานของฉินอี๋เหนียงที่มีทางเข้าสองทาง ปีที่แล้วคุณชายสองย้ายออกไปอยู่คนเดียว ฉินอี๋เหนียงจึงอาศัยอยู่ที่นั้นคนเดียวเจ้าค่ะ”
ในสายตาของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นฉินอี๋เหนียงหรือเฉียวเหลียนฝัง พวกนางล้วนแต่เป็นหญิงของสวีลิ่งอี๋ ล้วนแต่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ต้องอยู่ในลานเดียวกัน แต่หยวนเหนียงกลับย้ายไปอยู่ลานข้างๆ สวีลิ่งควน… เพราะว่านางป่วย หรือเพราะว่าสาเหตุอื่นกันแน่
หู่พั่วเช็ดผมให้นางจนแห้ง สืออีเหนียงกลับเข้าไปในห้อง
สวีลิ่งอี๋นอนพักผ่อนบนเตียงแล้ว แล้วยังคงเหลือที่ครึ่งหนึ่งไว้ให้นางเหมือนเดิม
สืออีเหนียงเป่าตะเกียงแล้วขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็เริ่มนับแกะในใจ
แต่คนที่อยู่ข้างๆ กลับพลิกตัวราวกับพลิกขนมแป้งทอด
คนคนนี้ พรุ่งนี้เช้ายามอิ๋น นั่นก็คือตีสามเขาต้องไปถึงประตูพระราชวัง เขาต้องตื่นก่อนอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ในฐานะภรรยา นางต้องตื่นเช้ากว่าเขา แล้วเตรียมอาหารเช้าให้เขา รับใช้เขาแต่งตัว…เมื่อเขาออกไปแล้วยังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน
“ท่านโหว” นางเรียกสวีลิ่งอี๋เบาๆ
“อืม!” เขาตอบกลับมา
“ข้านอนไม่หลับ” สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง “ข้าอยากอ่านหนังสือสักสองสามหน้า…”
เพราะว่าตัวเองทำให้นางนอนไม่หลับหรือ!
แต่ว่าเขาไม่สบายใจจริงๆ
โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นสวีซื่อจุนขี้ขลาดตาขาวและอ่อนแอเช่นนั้น สวีซื่ออวี้ฉลาดหลักแหลมและสุขุมเช่นนั้น ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เขาก็นึกถึงองค์ชายห้าที่ฆ่าตัวตาย ครั้งหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมา ไปยืนอยู่ในศาลาว่านชุนถิงบนยอดเขา มองดูหอต่างๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วร้องไห้ ‘…ข้าแข็งแกร่งกว่าเขาทุกอย่าง แต่เขาเกิดมาในสถานะที่สูงส่งกว่าข้า มันก็ทำให้เขาชนะข้าร้อยเท่าพันเท่า ทำให้ข้าต้องตายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา!’
ต่อมาเกิดคดีอู่จง ทั้งๆ ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นรัชทายาท แต่ก็ไม่มีองค์ชายองค์ไหนออกมาพูดแทนรัชทายาท
พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ เขาก็นอนไม่หลับพลิกตัวไปมา ราวกับมีถุงน้ำอยู่ในปาก
“ข้าทำให้เจ้านอนไม่หลับหรือ!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างเฉยชา “เจ้าไปนอนที่เรือนหน่วนเก๋อเถิด!”
ทำไมต้องเป็นข้าที่ไปนอนที่เรือนหน่วนเก๋อ แล้วทำไมเขาไม่ไปนอนที่เรือนหน่วนเก๋อ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
ในที่สุดนางก็ได้รู้แล้วว่าอะไรคือผู้ชายเป็นใหญ่
“เปล่าเจ้าค่ะ” นางยิ้ม “ข้าง่วงมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมนอนไม่หลับ ข้าจึงอยากอ่านหนังสือสักหน่อย”
“อาจจะเหนื่อยเกินไป” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับนางอย่างใจลอย เขาไม่ได้คัดค้าน สืออีเหนียงจึงลุกออกมาจากเตียง จุดตะเกียง หยิบหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจวที่วางอยู่บนเตียงข้างหน้าต่างในห้องข้างในออกมา จากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม เอนตัวพิงหมอนอ่านหนังสือ
ร่างของนางบังหัวของสวีลิ่งอี๋พอดี สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าแสงไฟมันจ้าเกินไป
ผ่านไปไม่นาน สืออีเหนียงก็ถามเขา “ท่านโหว เเคว้นเหมียวเจียงอยู่ที่ใดเจ้าค่ะ”
“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม” อาจจะเพราะว่านอนอยู่บนเตียง น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับมีกลิ่นอายของความเกียจคร้าน บวกกับนำเสียงที่แผ่วเบา มันทำให้ผู้คนรู้สึกมึนเมาและอบอุ่น
สืออีเหนียงยกยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านเคยทำสงครามที่นั่น? แต่ในหนังสือไม่ได้บอกว่าเเคว้นเหมียวเจียงอยู่ที่ใด”