ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 89 แต่งงานใหม่ (ปลาย)
สืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับหู่พั่ว ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินสี่ ป้าเถามาเจ้าค่ะ”
ตอนนี้? นางมาทำอะไร
สืออีเหนียงตกใจแล้วรีบพูดว่า “รีบเชิญเข้ามาเร็วเข้า”
ป้าเถาตอบรับและเดินเข้ามา เห็นสืออีเหนียงกำลังปล่อยผมนางจึงรีบพูดว่า “ไอ๊หยา ฮูหยินของบ่าว ทำไมท่านถึงแกะผมตอนนี้ล่ะเจ้าคะ อี๋เหนียงสองสามท่านยังรอเข้ามาก้มหัวดื่มชาคารวะท่านอยู่นะเจ้าคะ” จากนั้นนางก็สั่งหู่พั่ว “รีบม้วนผมให้ฮูหยินเร็วเข้า”
สืออีเหนียงและหู่พั่วต่างก็ตกใจ
“พวกนางยังไม่ได้ทานข้าว รอเจอท่านอยู่เจ้าค่ะ!” ป้าเถาพูดอย่างภาคภูมิใจ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่หู่พั่วกลับตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็รีบม้วนผมที่พึ่งแกะให้เป็นมวยเหมือนเดิม
“แต่ก็เป็นแค่อี๋เหนียงสองสามท่านเองเจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้ม “ไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติที่ไหน ม้วนๆ ไปก่อนก็ได้เจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็ม้วนผมเป็นมวยที่สวยงามและเรียบร้อยให้สืออีเหนียงแทนหู่พั่วอย่างรวดเร็ว แล้วยังหยิบต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับใส่ให้สืออีเหนียง พูดเบาๆ ว่า “สายตาของเหวินอี๋เหนียงนั้นเฉียบแหลม ไข่มุกที่ขนาดเท่าเมล็ดบัวคู่นี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ” จากนั้นนางก็เลือกเสื้อกั๊กยาวสีแดงออกมาจากตู้เสื้อผ้าของสืออีเหนียง “ในเรือนนี้ก็มีแค่ท่านเท่านั้นที่สวมชุดสีแดงได้เจ้าค่ะ”
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความงดงามที่ถ่อมตนใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงเปิดโลกกว้างอีกครั้ง
ป้าเถาคนนี้ช่างเป็นคนมีความสามารถจริงๆ
แต่เกรงว่านางคงจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากหยวนเหนียง!
อารมณ์ของนางสับสนไปหมด บอกให้หู่พั่วนำของขวัญที่เตรียมไว้ให้บรรดาอี๋เหนียงออกมา จากนั้นก็เดินตามป้าเถาไปที่ห้องโถง
ป้าเถาพูดกับนางเบาๆ “ท่านไม่ต้องสนใจพวกนาง หากพวกนางทำให้ท่านพอใจท่านก็แค่ยิ้มให้ ไม่พอใจท่านก็เดินออกมาเลยเจ้าค่ะ”
นี่คือการบอกให้นางรักษาความเป็นนายหญิงที่อารมณ์ไม่แน่นอนต่อหน้าอี๋เหนียงสองสามคน หรือคิดว่านางยังเด็กไม่รู้ความกันแน่?
สืออีเหนียงยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
ป้าเถายิ้มและเดินไปเปิดม่านขึ้นด้วยตัวเอง “อี๋เหนียงเชิญเข้ามาเจ้าค่ะ ดึกกว่านี้ฮูหยินจะพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ!”
หญิงสามคนเดินตามกันเข้ามา
คนแรกคือเหวินอี๋เหนียง
นางยังคงมัวนผมมวยม้าเหมือนเดิม หน้าตาสวยงาม แต่ต่างหูที่อยู่บนหูเปลี่ยนเป็นเพรชตาแมว ขยับไปมาเป็นประกายระยิบระยับ
ข้างหลังนางคือเฉียวเหลียนฝัง
นางสวมเสื้อกั๊กยาวลายสีเขียวถั่ว มวยผมดอกโบตั๋น ใส่ที่คาดผมล้ำค่าขนาดเท่าเมล็ดบัว ปักเครื่องประดับปะการังสีเขียวขนาดเท่าจอกเหล้า แต่งตัวหรูหราเป็นอย่างมาก
คนสุดท้ายที่เข้ามาคือผู้หญิงอายุราวสามสิบปี
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้า ม้วนผมเป็นมวยกลมอย่างเป็นระเบียบ ปักปิ่นปักผมหินขี้ผึ้งสีทอง สวมเสื้อผ้าไหมสีแดง บนใบหน้าที่สวยงามดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร แต่ดูเป็นคนเรียบง่าย
คนนี้น่าจะเป็นฉินอี๋เหนียง…
สายตาของสืออีเหนียงมองไปที่นาง
ดูแล้วนางน่าจะปรนนิบัติรับใช้สวีลิ่งอี๋มาตั้งแต่ยังเด็ก
นางครุ่นคิด เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ “ยินดีกับพี่หญิงด้วยเจ้าค่ะ ได้รับตำแหน่งฮูหยินระดับหนึ่ง” นางพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองป้าเถา
ดูเหมือนนางอยากจะยั่วป้าเถา…
สืออีเหนียงคิดเช่นนี้ แต่กลับเห็นป้าเถายิ้มอย่างเย็นชาและมองหน้าเหวินอี๋เหนียงด้วยสายตาที่ดูถูก จากนั้นก็ชี้ไปยังฉินอี๋เหนียงแล้วพูดว่า “ท่านนี้คือฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ มีนามว่าหลิวเป่า”
เหวินอี๋เหนียงแต่งเข้ามาโดยตรง แต่ฉินอี๋เหนียงคลอดลูกก่อนที่เหวินอี๋เหนียงจะเข้ามา หยวนเหนียงเป็นคนจัดการเรื่องนี้มาตลอด ไม่ได้ให้ลำดับที่ชัดเจนกับพวกนางสักที ดังนั้นทุกคนจึงแค่เรียกว่าเหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงเท่านั้น ป้าเถาแนะนำฉินอี๋เหนียงให้นางรู้จักเป็นคนแรก แล้วยังถือโอกาสตอบโต้ท่าทีที่ไร้มารยาทของเหวินอี๋เหนียงเมื่อครู่
สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็เห็นฉินอี๋เหนียงเดินเข้ามาคุกเข่าคำนับด้านหน้า หากไม่ใช่เพราะว่าหู่พั่วยื่นเบาะรองออกไปเร็ว นางคงจะคุกเข่าบนพื้นกระเบื้องสีฟ้าแล้ว
นางก้มหัวให้สืออีเหนียงด้วยความเคารพ จากนั้นก็รับชาที่อยู่บนถาดน้ำชาของสาวใช้มา ใช้สองมือถือถ้วยชายกขึ้นเหนือหัว “ฮูหยิน ดื่มชาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มและรับถ้วยชามาจิบพอเป็นพิธี จากนั้นจึงมอบกำไลหยกสีเขียวให้นางเป็นของขวัญ
ฉินอี๋เหนียงรับกำไลหยกมาแล้วเดินไปอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
เหวินอี๋เหนียงก็เดินเข้ามา ยิ้มและคุกเข่าลงบนเบาะรอง ก้มหัวให้สืออีเหนียงแล้วเรียกนางอย่างสนิทสนมว่า “พี่หญิง”
ฉินอี๋เหนียงเป็นสาวใช้ในพระราชวัง จะเรียกนางว่าพี่หญิงไม่ได้ เหวินอี๋เหนียงเรียกสืออีเหนียงว่าพี่หญิงเช่นนี้ ดูเหมือนว่านางจงใจที่จะตอบโต้ป้าเถา
สืออีเหนียงดื่มชาของนางและมอบต่างหูทับทิมสีแดงคู่หนึ่งให้นางเป็นของขวัญ
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับคุกเข่าลงด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยแล้วก้มหัวให้สืออีเหนียง ยกชาให้นางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิง”
สืออีเหนียงมอบกำไลลูกปัดพลอยให้นางเส้นหนึ่ง
ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ดึกมากแล้ว ฮูหยินจะพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้นางก็หันหน้าเดินออกไปทันที
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับยิ้มและจับมือฉินอี๋เหนียงไปคำนับสืออีเหนียงแล้วเดินออกไป
เฉียวเหลียนฝังยังคงรักษาความซื่อสัตย์ไว้บ้าง…
สืออีเหนียงยิ้ม
“ฮูหยิน ควรทำเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ” ป้าเถาชื่นชมสืออีเหนียง “ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยจนเกินไป…”
ขณะที่นางกำลังพูดก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว
ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้!
ทุกคนตกใจ
ป้าเถากำลังจะเดินไปเปิดม่าน แต่สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาแล้ว
เมื่อเห็นป้าเถาสายตาของเขาก็ตกใจ
ป้าเถารีบยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงสองสามท่านมาคารวะฮูหยิน บ่าวจึงมาช่วยแนะนำเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าและเดินไปที่ห้องน้ำ
สืออีเหนียงเรียกชุนมั่วและซย่าอีเข้ามารับใช้สวีลิ่งอี๋อาบน้ำ
ป้าเถากระซิบบอกสืออีเหนียง “ชุนมั่วและซย่าอีเป็นสาวใช้ของเรือนปั้นเย่ว์พั่น หากท่านไม่ชอบก็ไล่พวกนางกลับไปได้เจ้าค่ะ”
ในเมื่อเขาพามารับใช้เช่นนี้ อาจจะกลัวว่าคนของนางจะรับใช้ได้ไม่ดี หรือสวีลิ่งอี๋อาจจะคุ้นเคยกับพวกนาง ก่อนที่ตัวเองยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง สืออีเหนียงไม่อยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้
นางแค่พยักหน้าให้ป้าเถาเบาๆ “ข้ารู้แล้ว!”
ป้าเถาย่อเข่าคำนับและขอตัวออกไป
หู่พั่วรีบพูดออกมาอย่างเงียบ ๆ “คุณหนู จะไล่ชุนมั่วและซย่าอีกลับไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นไม่ได้นะเจ้าคะ ในเมื่อท่านโหวพามาด้วย แสดงว่าปกติพวกนางปรนนิบัติรับใช้ได้อย่างรอบคอบ จะไล่พวกนางกลับไปไม่ได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว!” สืออีเหนียงพอใจกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของหู่พั่วเป็นอย่างมาก
นางจัดให้คนมาเฝ้ายาม สวีลิ่งอี๋อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
หู่พั่วรีบพาพวกนางออกไปข้างนอก
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดออกมาว่า “น้องห้าไปดูการละเล่นกับพวกเขา ข้าจึงกลับมาพร้อมกับพี่สามก่อน”
เขากำลังอธิบายให้นางฟังหรือ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นี่เป็นนิสัยที่ดี สมควรชื่นชม
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยืนตกอยู่ในภวังค์อยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง…มันช่างอ่อนโยน…แต่แตกต่างจากเมื่อวาน ที่นางเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ไม่พูดไม่จา…แล้วก็ไม่ร้องไห้ นางแค่ถามเขาเบาๆ…ให้เขาเรียกสาวใช้มาให้นาง แล้วยังพูดขอบคุณเขา…ขอบคุณ…
สายตาของเขามีความเยาะเย้ย
หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เกรงว่าต่อไปนางคงจะอยู่ในจวนลำบาก!
ทันใดนั้นภาพของหยวนเนียงก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของสวีลิ่งอี๋
นางคงมั่นใจว่าเขาคงจะไม่นั่งมองเฉยๆ ไม่ว่าเพื่อจุนเกอหรือเพื่อหน้าตาของตัวเอง…
คิดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังสืออีเหนียง
นางกำลังปูเตียงด้วยท่าทางที่ชำนาญและคล่องแคล่วว่องไว
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็นึกถึงความอ่อนโยนของนางที่ห่มผ้าให้ตัวเอง
ดูเหมือนว่านางจะเชี่ยวชาญในการดูแลผู้อื่น…
ความคิดนี้วาบขึ้นมา เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆ
หรือว่า นางมักจะทำเรื่องพวกนี้ ดังนั้นนางจึงเชี่ยวชาญมากขนาดนี้กระมัง
เขาครุ่นคิด สืออีเหนียงก็หันมายิ้มให้เขา “ท่านโหว ท่านจะนอนเลยหรือประเดี๋ยวค่อยนอนเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าน้ำเสียงของนางไม่เร็วหรือช้าเกินไป น้ำเสียงที่อ่อนโยนและชัดเจน ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ ฟังแล้วก็รู้สึกสบายใจ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นอนเลยดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปคารวะศาลบรรพชน จากนั้นก็ไปตรอกกงเสียน”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” รับใช้เขาขึ้นเตียงแล้วเดินไปเป่าตะเกียง จากนั้นก็นอนลงข้างเขา
นางนอนอยู่ข้างตัวเองเช่นนี้…
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกๆ
ราวกับว่าเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เข้าพลิกตัวแล้วหันหลังให้นาง
นางไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปไม่นาน เขาก็พลิกตัวกลับมาแล้วหันหน้าให้นาง
นางก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ท่ามกลางความมืด สวี่ลิ่งอี๋นอนตะแคงมองดูภรรยาของตัวเอง มือข้างหนึ่งวางบนหมอน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งวางบนผ้าห่ม สีหน้าท่าทีสงบ
หลับไปแล้ว…
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะตกใจ
*****
ราวกับได้เกิดใหม่ ไม่มีประสบการณ์ไหนที่เลวร้ายไปกว่าเมื่อคืนนี้แล้ว
เลวร้ายที่สุด…
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป นางไม่มีสิทธิ์โศกเศร้าเสียใจอะไรทั้งนั้น!
สืออีเหนียงนอนนับแกะแล้วหลับไป
เช้าวันต่อมา นางถูกคนเขย่าปลุก
“สายแล้ว”
สืออีเหนียงตกใจแล้วลุกขึ้นมานั่ง
“กี่โมงกี่ยามแล้ว”
คนที่อยู่ข้างๆ เปิดดูนาฬิกา “ตีห้ากว่าแล้ว”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ยังโชคดี!”
คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วถามว่า “โชคดีอะไรหรือ”
สืออีเหนียงตื่นแล้ว นางหันหน้าไปยิ้มให้สวีลิ่งอี๋แล้วพูดว่า “โชคดีที่ท่านโหวปลุกข้าเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
สืออีเหนียงลุกจากเตียง แล้วเรียกสาวใช้ตักน้ำเข้ามา
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นพร้อมนาง ล้างหน้าล้างตาพร้อมกับสืออีเหนียงแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฟ้ายังไม่สางแต่เรือนของไท่ฮูหยินกลับมีแสงไฟสว่างไสว
เห็นสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินเข้ามา สายตาของไท่ฮูหยินที่เก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้วก็มืดมนลง “ไปกันเถิด ข้าเตรียมของทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋รีบเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน เดินออกไปนั่งรถม้าไปยังศาลบรรพชนที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของจวนสกุลสวี
ข้างในศาลนอกจากป้ายจารึกของบรรพบุรุษสกุลสวีแล้ว ก็ยังมีป้ายจารึกของท่านพ่อของสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอานคุณชายสองที่ป่วยตายและป้ายจารึกของหยวนเหนียง
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าสวีลิ่งอี๋มองป้ายจารึกของหยวนเหนียงอยู่นาน ส่วนไท่ฮูหยินก็กลั้นน้ำตามองดูพวกเขาคารวะบรรพบุรุษ แต่เมื่อเดินออกมาจากศาลบรรพชนนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างแผ่วเบา
“ท่านแม่ อย่าเสียใจไปเลยขอรับ!” สวีลิ่งอี๋รีบเดินเข้าไปปลอบท่านแม่ “ทุกคนยังอยู่สุขสบายมิใช่หรือ”
ไท่ฮูหยินจับมือสืออีเหนียง “ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร ข้าดีใจต่างหาก”
สืออีเหนียงเห็นไท่ฮูหยินเสียใจนางก็น้ำตาคลอ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเช็ดน้ำตา จากนั้นนางก็ยิ้มออกมา “เรากลับกันเถิด! ประเดี๋ยวคุณชายสกุลหลัวมารับจะหาพวกเราไม่เจอ”
ตามประเพณีแต่งงาน สามวันต้องกลับบ้านของฝ่ายหญิง หลัวเจิ้นซิ่งน่าจะมารับสืออีเหนียง
พวกเขานั่งรถม้ากลับไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน พึ่งจะนั่งลง เหยาหวงก็ยิ้มและเดินเข้ามารายงาน “คุณชายสกุลหลัวมารับฮูหยินสี่แล้วเจ้าค่ะ”