ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 81 สือเหนียง (ปลาย)
นอกประตูฉุยฮวาเงียบสนิทอยู่ครู่ใหญ่
หลัวเจิ้นอวี้พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ตอบไม่ได้ล่ะสิท่า หากว่าท่านยอมแพ้ ก็มอบซองแดงซองใหญ่มาสามซอง จากนั้นก็ตอบคำถามเกี่ยวกับ ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ ของพี่เขยสี่ข้าให้ได้ พวกข้าก็จะปล่อยท่านเข้ามา”
“เจ้าตั้งใจจะทำให้พวกข้าลำบาก” เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกประตู “ไม่มีอักษรตัวนี้เสียด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นปริศนาตัวอักษรเท่านั้นเสียหน่อย” สายตาของทุกคนก็หันมาจับจ้องที่เขา หลัวเจิ้นอวี้ยังคงแสดงสีหน้าภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก “พวกท่านก็โง่เขลาเกินไปแล้ว ข้าจะบอกอะไรพวกท่าน ตอนที่พี่เขยห้าของข้ามารับตัวเจ้าสาวนั้น เขาทายปริศนาได้ถูกทุกข้อ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสามารถร่ายหนังสือกราบบังคมขึ้นมาหนึ่งฉบับในเวลานั้นอีกด้วย อย่าว่าแต่เปิดประตูเลย แม้แต่ซองแดงที่ใช้เปิดประตูก็ไม่ต้องเสียด้วยซ้ำ”
เพราะบรรยากาศในตอนนั้นมันดีเกินไป ไม่เหมาะกับการขอซองแดงก็เท่านั้น แต่ทว่า ตอนที่เจ้าสาวกลับบ้านแม่ในวันที่สามนั้น เฉียนหมิงเองก็ได้หาโอกาสมอบซองแดงให้กับหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ หากจะบอกว่าพวกเขาชอบใครมากกว่า เกรงว่าคงจะเป็นเฉียนหมิงเสียแล้ว
ทางด้านนอกเมื่อได้ยินแล้วก็พากันปรึกษาหารือซุบซิบกันอย่างเงียบๆ
หว่างคิ้วเฉียนหมิงดูตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
ยิ่งเวลาแบบนี้ยิ่งต้องใจกว้างโอบอ้อมอารี
เขารีบตรงไปหาหลัวเจิ้นซิ่ง แต่กลับได้ยินหลัวเจิ้นซิ่งกำลังยืนคุยกระซิบเคียงไหล่เคียงบ่ากับอวี๋อี๋ชิงเสียงเบาว่า “นี่มันปริศนาอันใดกัน ไม่ใช่ปริศนาตัวอักษรอย่างแน่นอน คงจะเป็นสิ่งของหรือวัตถุอะไรสักอย่าง ขอบเขตออกจะกว้างขนาดนี้…”
หลัวเจิ้นซิ่งจึงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สองแสบนั่นคงจะจงใจเอามาแกล้งให้น้องเขยสิบลำบากใจอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะไม่ให้ทายถูกง่ายๆ ขนาดนั้น”
เมื่อเห็นเฉียนหมิงเดินมา ทั้งสองก็หยุดบทสนทนาลง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับตะโกนขึ้นว่า “เฉียนหมิง”
เฉียนหมิงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว เดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียยามเอา ข้าว่าเราอนุโลมพวกเขาสักหน่อยดีหรือไม่”
อวี๋อี๋ชิงจึงพูดขึ้นว่า “แต่ปริศนาข้อนี้ข้าเองก็ทายไม่ถูก มิเช่นนั้น ข้าก็คงเฉลยปริศนานี้ตั้งนานแล้ว”
เฉียนหมิงได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับตะโกนออกไปทางนอกประตูว่า “ในเมื่อทายไม่ถูก ก็ให้ค่าผ่านทางเถิด ซองแดงห้าซอง แล้วจะให้ท่านผ่านด่าน…”
เฉียนหมิงยังไม่ทันจะพูดจบ ข้างนอกก็โวยวายเสียงดังว่า “***! นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน พวกท่านไม่อยากจะแต่ง ข้าเองก็ไม่อยากจะสู่ขอหรอก พี่น้องข้า เรากลับไปกัน งานแต่งนี้ของบ้านสกุลหลัว ให้พวกเขาส่งบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนไปให้ข้าเองก็แล้วกัน ไป กลับ เรากลับเรือนไปดื่มสุรากัน…” น้ำเสียงและคำพูดคำจาค่อนข้างหยาบคายเป็นอย่างมาก
คนบ้านสกุลหลัวหน้าถอดสีไปตามๆ กัน
สุภาษิตสมัยก่อนพูดไว้ได้ดี แต่งบุตรสาวออกเรือนต้องแหงนหน้ามองสูงเข้าไว้ เมื่อสู่ขอลูกสะใภ้ต้องก้มหน้ามองลงให้ต่ำถึงจะดี บ้านไหนแต่งสะใภ้ไม่ถูกคนบ้านพ่อตาแม่ยายทดสอบบ้างเล่า แต่นึกไม่ถึงเลยว่า บ้านสกุลหวังจะเป็นเช่นนี้…
คนที่รู้สึกแย่ที่สุดก็คือเฉียนหมิง
เพราะเป็นคนริเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมา
จะว่าไปแล้ว โตจนป่านนี้ เขาที่มักจะถูกผู้คนกล่าวชมเสมอ ว่าตนนั้นมีปฏิภาณไหวพริบที่ดี…แต่วันนี้น้องหญิงสิบแต่งงานออกเรือน แล้วตนมาหกคะเมนล้มคว่ำต่อหน้าคนบ้านพ่อตาแม่ยายมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวพ่อตาแม่ยายจะมองตนเป็นคนอย่างไร…
หลัวเจิ้นซิ่งและอวี๋อี๋ชิงต่างก็พากันอึ้งไปหมด
พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าจะเป็นเช่นนี้…ตอนเขาแต่งงานไหนเลยจะทำอย่างนี้กัน ถูกคนแกล้งรุนแรงกว่านี้มาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าทิ้งขบวนกลับไปทั้งแบบนี้เลยนี่นา!
เวลานั้นเอง บรรยากาศภายในเรือนก็เงียบงันไปชั่วขณะ
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินประโยคเช่นนี้ ก็พากันเออออตามๆ กัน “ไปเถิด กลับไปกัน…”
“ท่านทายาท ท่านทายาท…” คนบ้านสกุลหวังก็รีบพากันโน้มน้าวและวิงวอน “ท่านกลับไปไม่ได้นะขอรับ…นายท่านกั๋วกงถามขึ้นมา แล้วบ่าวจะไปเรียนท่านว่าอย่างไร…” น่าเสียดายที่เสียงนี้ไม่เป็นผลแม้แต่นิด เพียงครู่เดียวเสียงนั้นก็ถูกกลืนกินไปกับเสียงโหวกเหวกโวยวาย
“ทำอย่างไรดี” อวี๋อี๋ชิงเริ่มทำตัวไม่ถูก
หลัวเจิ้นซิ่งเองก็ไม่กล้าตัดสินใจ “หรือว่า เราควรเปิดประตู?”
“เปิดประตู?” อวี๋อี๋ชิงพูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “เรื่องนี้จะไม่กลายเป็นคำครหาหรอกหรือ ว่าพวกเราใจเสาะกลัวเขยคนใหม่ รีบวิ่งแจ้นไปส่งคนของเราถึงหน้าบ้าน ครั้งนี้คงจะขายหน้าไม่ใช่น้อย! วันข้างหน้า เจ้าจะให้สือเหนียงใช้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนอยู่ในบ้านสกุลหวังได้อย่างไรเล่า”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็หันไปถามเฉียนหมิงพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ว่าทำไมเฉียนหมิงถึงไม่พูดอะไรเลย ต่างก็พากันจ้องมองไปยังเฉียนหมิง ก็เห็นว่าใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“เฉียนหมิง ที่ผ่านมาความคิดของเจ้าดีที่สุด รีบออกความคิดเห็นมาหน่อยเร็ว”
หลัวเจิ้นซิ่งเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงทุบข้าวทุบของดังขึ้น “ไปเถิด ไปเถิด…”
ในตอนแรกหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ก็กำลังอึ้งด้วยความตกใจ เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงโพล้งเพล้งดังขึ้น ทั้งสองจึงตกใจอกสั่นขวัญผวาเข้าไปใหญ่ ทั้งคู่หันมาสบตากัน จากนั้นก็พากันวิ่งตรงไปยังเรือนหลัง ทั้งคู่ตั้งใจจะไปหาสืออีเหนียง อย่างน้อยๆ ก็ให้นางหาที่หลบซ่อนให้สักที่ เดี๋ยวพอเหล่าบรรดาพวกผู้ใหญ่ได้สติขึ้นมา จะต้องจัดการพวกเขาทั้งคู่เป็นแน่
แต่ในขณะที่ทั้งคู่เพิ่งจะเข้าไปในลานสวน ทั้งคู่ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก
จู่ๆ ประตูเรือนปีกทางทิศตะวันตกที่เจ้าสาวพักอยู่ก็ถูกเปิดออก เหล่าบรรดาหญิงรับใช้แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม ยกอ่างทองแดงเดินเข้าเดินออกโดยที่ไม่พูดไม่จา
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลัวเจิ้นอวี้มองตาค้าง
“ไป พวกเราไปดูกัน” หลัวเจิ้นไคเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ทั้งคู่จึงลืมจุดประสงค์ที่มายังเรือนหลังไปโดยปริยาย
หลัวเจิ้นอวี้ที่มักจะทำตัวเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำมาโดยตลอด เขารีบเดินตามหลังหลัวเจิ้นไคไปยังเรือนปีกทางทิศตะวันตกทันที
จึงเห็นว่าเหล่าบรรดาสาวใช้ตกใจจนใบหน้าซีดเผือดไปหมด จากนั้นจู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นเสียงสูงว่า “มีคนมาเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงที่ค่อนข้างแหลมทำเอาหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ตกใจจนถอยหลังกรูด
“เกิดอันใดขึ้น!” ตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างสุขุม สองพี่น้องเจอเข้ากับหู่พั่วที่หน้าประตู
“ทำไม ท่าน/เจ้า ถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ทั้งสามพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
เวลานั้นเอง ทั้งสามก็พากันอึ้งยืนอยู่ที่เดิม
“หู่พั่ว ใครอยู่ข้างนอกนั่น” น้ำเสียงที่ค่อนข้างสุขุมของสืออีเหนียงดังขึ้นมาจากด้านใน
หลัวเจิ้นไคไม่เคยได้ยินสืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน
เขามีความรู้สึกว่าคงจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
“พี่หญิงสิบเอ็ด” หลัวเจิ้นไครีบวิ่งเข้าไปด้านใน “ข้าเอง!”
หู่พั่วทำได้เพียงยิ้มเจื่อน จากนั้นก็เดินตามหลัวเจิ้นอวี้เข้ามาในห้อง
*****
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างใบหน้าค่อนข้างขาวซีด บนตักของนางมีหญิงคนหนึ่งนอนอยู่
เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงบนชุดจิ่นเผาสีแดงสด สวยสดงดงาม พลอยทำให้ผู้พบเห็นยิ่งรู้สึกตกใจเข้าไปใหญ่
“ทำไมถึงเป็นพวกเจ้า” สืออีเหนียงกล่าวทักทายหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ จากนั้นก็หันไปสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “กรอกอีก”
เวลานี้เอง หลัวเจิ้นไคก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าคนที่สวมชุดเป้ยจื่อสีม่วงอ่อนยืนอยู่ที่หัวเตียงของเตียงเตานั้นก็คือป้าสวี่ บ่าวรับใช้คนสนิทของนายหญิงใหญ่
เมื่อได้ยินคำสั่งของสืออีเหนียง นางก็รีบจับคางของหญิงสาวที่นอนอยู่บนตักสืออีเหนียงเพื่อเปิดปากออก สาวใช้อีกคนก็กรอกน้ำที่อยู่ในชามใบใหญ่เข้าไปในปากของหญิงสาวผู้นั้น หญิงสาวผู้นั้นสำลักและไออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นน้ำก็ถูกสำรอกออกมา
หลัวเจิ้นอวี้อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นว่า “ไอ๊หยา”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะหลับตาอยู่ และถึงแม้ใบหน้าจะถูกพวกนางบีบจับจนผิดรูปเหยเกไปหมด แต่เขามองเพียงแค่ปราดเดียวก็จำขึ้นมาได้ทันที หญิงสาวที่นอนอยู่บนตักของสืออีเหนียงก็คือเจ้าสาวของวันนี้…สือเหนียง
หู่พั่วก็ได้เดินเข้ามา “คุณชายห้า คุณชายหก บ่าวพาพวกท่านไปทานขนมที่ห้องข้างๆ เจ้าค่ะ”
ทั้งสองนึกไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้า พวกเขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและตกใจในคราวเดียวกัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมา
หู่พั่วนั้นร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่นางก็ไม่กล้าที่จะบังคับให้คุณชายทั้งสองออกไป
เวลานี้เอง ก็มีป้ารับใช้ยกอ่างที่มีของเหลวร้อนจัดอยู่ข้างในเข้ามา “น้ำถั่วเขียวมาแล้วเจ้าค่ะ” สีหน้าท่าทางค่อนข้างจริงจังเป็นอย่างมาก
หู่พั่วจึงเข้าไปจูงมือของทั้งสองคนละข้าง ดึงทั้งคู่ออกมาจากหน้าเตียงเตา
“รีบทำให้เย็น” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับนิ่งสุขุมเป็นอย่างมาก พลอยทำให้ผู้รับฟังรู้สึกสงบไปด้วย
เมื่อหญิงรับใช้ที่ยกอ่างน้ำถั่วเขียวเข้ามาได้ยินแล้ว ก็รีบตรงไปยังห้องชำระนำอ่างสะอาดมาหนึ่งใบ จากนั้นก็นำน้ำถั่วเขียวเทจากอ่างใบหนึ่งไปยังอ่างอีกหนึ่งใบ เทกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่นานน้ำถั่วเขียวก็เย็นลง
“กรอกอีก” สืออีเหนียงหันไปสั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ อีกรอบ
สาวใช้น้ำตาเอ่อล้นลงมาจากดวงตา “คุณหนูสิบเอ็ด กรอก…กรอกไม่ลงแล้วเจ้าค่ะ!”
“แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรดี” หลัวเจิ้นไคสังเกตเห็นว่าป้าสวี่หันไปหาสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ร้อนใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ป้าสวี่ไปเรียนเรื่องนี้กับท่านแม่เถิด! เรื่องนี้เราปิดไม่มิดแล้ว ยิ่งปิดบังเรื่องก็จะยิ่งบานปลาย”
ป้าสวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขบฟันแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นตรงนี้ก็รบกวนคุณหนูสิบเอ็ดแล้ว บ่าวจะรีบไปเรียนนายหญิงใหญ่ตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นป้าสวี่ก็ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
พี่หญิงสิบ กำลังจะตายหรือ…
ในขณะที่หลัวเจิ้นไคกำลังครุ่นคิด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้กระจ่างกว่าเดิม
แต่แล้วจู่ๆ สืออีเหนียงก็ก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของสือเหนียงว่า “ท่านเชื่อฟังเป็นเด็กดีเสียจริง! นางอยากให้ท่านตาย ท่านก็ไปตายอย่างเชื่อฟังน่ะหรือ”
หลัวเจิ้นไคสังเกตเห็นขนตาที่นิ่งไม่ขยับเลยของคุณหนูสิบ จู่ๆ ก็ขยับสั่นไหวขึ้นมา
เมื่อหันไปมองสืออีเหนียงอีกที นางก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้ว สืออีเหนียงนั่งตัวตรง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “กรอกอีก”
น้ำเสียงของนางไม่ได้ดังและสูงเท่าไรนัก แต่พอฟังแล้วกลับรู้สึกถึงความเคร่งขรึมบางอย่างที่พลอยทำให้ผู้ฟังไม่กล้าขัดขืนแต่อย่างใด
สาวใช้นางนั้นก็รีบกรอกน้ำเข้าปากของสือเหนียงตามคำสั่งทันที
“คุณหนูสิบเอ็ด น้ำถั่วเขียว น้ำถั่วเขียวมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ยืนยกชามน้ำถั่วเขียวอยู่ข้างๆ พร้อมกับจ้องมองไปยังสืออีเหนียง
“เปลี่ยนเป็นน้ำถั่วเขียว” สืออีเหนียงหันไปสั่งกับสาวใช้
สาวใช้และหญิงรับใช้ไม่กล้าเลยที่จะชักช้า คนหนึ่งยกน้ำถั่วเขียวเข้าไป ส่วนอีกคนก็ยกชามขนาดใหญ่กรอกน้ำเข้าไปในปากของสือเหนียง
จากนั้นหลัวเจิ้นไคก็ได้ยินสืออีเหนียงกระซิบข้างหูสือเหนียงอีกครั้งว่า “ข้าไม่รู้มาก่อน ว่าที่แท้แล้ว ท่านเป็นเด็กดีมาโดยตลอด”
เมื่อสืออีเหนียงพูดจบ เขาก็เห็นว่านิ้วมือของสือเหนียงนั้นกำลังพยายามฝืนที่จะขยับ
หลัวเจิ้นไครีบเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียง จึงเห็นว่าสืออีเหนียงกำลังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หว่างคิ้วดูผ่อนคลายลงไปมาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด บางทีอาจจะผ่านไปแค่หนึ่งถ้วยชาหรืออาจจะผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปก็เป็นได้ จู่ๆ สือเหนียงก็อ้วกออกมาจนหมด
หลัวเจิ้นไคสังเกตเห็นสีหน้าดีใจปรากฏขึ้นบนแววตาของสืออีเหนียง ครั้งนี้น้ำเสียงของนางดูกระชับและชัดเจนกว่าเมื่อครู่นี้มาก “กรอกอีก!”
ที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
หลัวเจิ้นไคอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
ก็เห็นป้าสวี่กำลังประคองนายหญิงใหญ่เดินเข้ามา ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับกระดาษก็ไม่ปาน “นางจะรอดหรือไม่”
ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันย่อตัวทำความเคารพนายหญิงใหญ่ แต่นายหญิงใหญ่กลับไม่ได้ชายตามองเลยแม้แต่นิดเดียว นางเดินผ่านบานหน้าต่างแล้วตรงไปยังทิศทางของเตียงเตาทันที
นางจ้องมองสือเหนียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น จนทำให้หลัวเจิ้นไคสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและหนักแน่น “จะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
นายหญิงใหญ่ก็รีบหันไปสั่งกับป้าสวี่ว่า “เจ้าไปเรียนคุณชายใหญ่ หากคนบ้านสกุลหวังยินดีที่จะสู่ขอสะใภ้ ก็ให้มาคำนับขอขมาสามคำนับต่อหน้าแม่สื่อพ่อสื่อของทั้งสองตระกูลด้วยความนอบน้อม แต่หากไม่ยินดีจะสู่ขอ พรุ่งนี้ก็ให้พ่อสื่อมาคุยกันให้เข้าใจ สิ่งใดควรคืนก็คืนเสียให้เรียบร้อย ตระกูลของเราไม่บังคับผู้ใดอยู่แล้ว”
ป้าสวี่รีบขานรับขึ้นว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไป
สีหน้าของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความลังเลใจ
นายหญิงใหญ่หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่ของเจ้าขวางประตู คุณชายบ้านสกุลหวังก็เลยโมโหตีโพยตีพาย ยังขู่ว่าจะถอนหมั้นอีกด้วย” พูดจบก็เหลือบไปมองสือเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง “พอดีเลย ทางเราจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรไปอธิบาย หากนางรอดกลับมาได้ เราก็จะให้บุตรสาวแต่งงานออกเรือน แต่หากนางไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก ก็บอกเหตุผลไปว่านางไม่สามารถทนแบกรับได้ จึงฆ่าตัวตายในที่สุด”
“แต่บ้านสกุลหวังจะขอถอนหมั้นแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” น้ำเสียงของสืออีเหนียงคลุมเครือไปด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจบางอย่างที่หลัวเจิ้นไคไม่อาจเข้าใจได้ “ข้าว่า คุณชายหวังผู้นี้ขาดซึ่งสติและการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความสุขุม สู้ฉวยโอกาสนี้…”
“เจ้าจะไปรู้อะไร” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าเดิม “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของทั้งสองตระกูล นางก็แค่เด็กเมื่อวานซืน ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจเรื่องใดทั้งสิ้น”
หลัวเจิ้นไคก็ได้สังเกตเห็นว่านิ้วมือของสือเหนียงค่อยๆ ขยับอีกครั้ง