ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 8 ป่าไม้
“ความยาวกำลังดี” สืออีเหนียงมองดูอย่างละเอียดอยู่นาน “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน วันนี้ท่านแม่ได้ให้หู่พั่วเป็นรางวัลแก่ข้า ข้ายังไม่เคยเห็นนางเลย แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเรือนของข้าจะเป็นอย่างไร ต้องกลับไปดูเสียหน่อย รอให้ข้าถักเสร็จแล้ว ข้าจะให้ตงชิงนำมาส่งให้ท่านนะเจ้าคะ”
อี๋เหนียงใหญ่ไม่ได้รั้งนางไว้ ยิ้มแล้วพยักหน้าส่งนางกลับไป
อี๋เหนียงสองกลับพูดขึ้นเมื่อขาของนางหนึ่งข้างก้าวข้ามผ่านประตูไป
“จะว่าไปแล้วก็น่าแปลก จุนเกอที่เกิดจากคุณหนูใหญ่ถือเป็นลูกชายคนโต ตอนนี้ก็อายุสี่ขวบแล้วแต่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด หรือว่าคุณชายใหญ่ของเราจะเลียนแบบสรวงสวรรค์ ที่เอาใจใส่ผู้อาวุโสมากกว่าเด็ก และเอาใจใส่บุตรของอนุภรรยามากกว่าบุตรของภรรยาหลวง…”
สืออีเหนียงชะงักฝีเท้า
******
ในเวลานี้อู่เหนียงได้กลับมาที่เรือนเจียวหยวนและกำลังพูดคุยอยู่กับเหลียนเฉียว
“…นายหญิงใหญ่บอกว่าเห็ดป่าเหล่านี้นำมาตุ๋นกับนกพิราบได้ดี ได้ยินมาว่าสองสามวันมานี้คุณชายสี่ไม่ค่อยอยากอาหาร จึงไห้บ่าวนำไปส่งให้คุณชายสี่เจ้าค่ะ”
อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นน้องสี่ของข้ากินอย่างเอร็ดอร่อยหรือไม่”
เหลียนเฉียวยิ้มแล้วพูดว่า “ของที่นายหญิงใหญ่ส่งไปแน่นอนว่าต้องอร่อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงถอนหายใจ “รอบตัวน้องสี่ของข้าไม่มีใครใส่ใจเลยสักคน…หากมีคนที่รู้จักเอาใจใส่อย่างพี่เหลียนเฉียวสักคนก็คงไม่สามวันดีสี่วันไข้เช่นนี้หรอก” ขณะที่พูดก็หยิบลูกบ๊วยที่เคลือบด้วยน้ำผึ้งค่อยๆ ป้อนเข้าปากตัวเอง
เมื่อเหลียนเฉียวได้ฟังก็ใจเต้นแรง
จากสาวใช้ระดับสามได้มาเป็นสาวใช้ส่วนตัวของนายหญิงใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่อยากแต่งงานกับคนรับใช้ด้วยกันแล้วหลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายสืบทอดเป็นคนรับใช้ต่อ หรือให้กำเนิดบุตรสาวเพื่อไปเป็นสาวใช้…แต่ว่าคุณชายสองสามคนในจวน คุณชายใหญ่มีคนคอยปรนนิบัติมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่คุณนายใหญ่เข้ามาก็ได้พาสาวใช้มาเพิ่มอีกสี่คน คุณชายสองเสียชีวิตเมื่อยังเยาว์วัย ส่วนคุณชายสามที่เป็นบุตรชายของภรรยาเอกของนายท่านสอง พวกนางจึงไม่มีโอกาสได้รับใช้ ส่วนบุตรชายของนายท่านสามอย่างคุณชายห้ากับคุณชายหก คนหนึ่งอายุเพียงแปดขวบ อีกคนก็ห้าขวบ มีแต่คุณชายสี่เท่านั้นที่ถึงแม้จะเป็นบุตรของอนุภรรยา แต่นายหญิงใหญ่ก็ยังให้ความสำคัญอยู่บ้าง เมื่อถึงเวลาแบ่งสมบัติ ก็จะแบ่งให้คุณชายสี่บ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายสี่เป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน ใส่ใจต่อบรรดาคนที่อยู่รอบตัวเป็นอย่างมาก แล้วยังเคยลงมือทำแป้งผัดหน้าให้สาวใช้ของเขาอย่างตี้จิ่นด้วยตัวเองอีกด้วย…หากพูดถึงรูปลักษณ์ของสาวใช้ในจวน สาวใช้ของคุณหนูสิบเอ็ดอย่างตงชิงนางยอมรับว่าตัวเองเทียบไม่ติด หรือว่าจะต้องเอาตัวเองไปเทียบกับตี้จิ่นที่หน้าตาอัปลักษณ์
นางหน้าแดงเพราะความตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว
คุณชายสี่กับคุณหนูห้าเป็นพี่น้องที่ดีที่สุด ในช่วงสองปีนี้นางได้ทำงานให้กับคุณหนูห้าอยู่บ่อยๆ เพื่อที่เมื่อถึงเวลาคุณหนูห้าจะได้ช่วยวางแผนได้…คิดไม่ถึงว่าวันนี้คุณหนูห้าจะพูดออกมา
“บ่าวจะไปเทียบกับพี่ตี้จิ่นได้อย่างไรเจ้าคะ” ดวงตาเปล่งประกายของเหลียนเฉียวมองอู่เหนียงตาไม่กระพริบ เหมือนกับว่ากำลังมองดูบางอย่างจากแววตาของนาง “คุณชายสี่มีนางคอยรับใช้ ยังมีอะไรที่คุณหนูห้าต้องกังวลอีกล่ะเจ้าคะ”
ยิ้มมุมปาก ราวกับว่ามีเรื่องที่ต้องการจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร
จื่อย่วนที่อยู่ข้างๆ กระแอมเบาๆ ชี้ไปที่ถ้วยชาข้างมือเหลียนเฉียว “พี่เหลียนเฉียวลองดื่มดูสิ นี่คือชาต้าหงเผาที่คุณนายใหญ่ให้เป็นรางวัล”
เมื่ออู่เหนียงได้ยินเสียงกระแอมของจื่อย่วนก็เปลี่ยนสีหน้าไม่พูดถึงเรื่องคุณชายสี่ แต่กลับพูดคล้อยตามจื่อย่วนว่า “พี่เหลียนเฉียวลองชิมชานี้ดูสิว่าเป็นอย่างไร”
เหลียนเฉียวรู้สึกหงุดหงิดในใจ แอบโทษจื่อย่วนที่เข้ามายุ่ง เดิมทีคุณหนูห้าก็มีท่าทางลำบากใจอยู่เล็กน้อย หากนางขัดจังหวะอีกคุณหนูห้าก็จะไม่พูดถึงเรื่องคุณชายสี่อีกแน่นอน…โอกาสดีๆ เช่นนี้กลับถูกจื่อย่วนทำพัง หากไม่ใช่เพราะนางเป็นสาวใช้ของคุณหนูห้า และอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูห้า ในภายภาคหน้ายังจะต้องตามคุณหนูห้าไปที่เรือนของสามี นางก็คงจะสงสัยจริงๆ แล้วว่าจื่อย่วนมีความคิดเช่นเดียวกับตัวเองหรือไม่ แต่ว่าก็ไม่แน่ นายหญิงใหญ่บอกว่ารักและเอ็นดูคุณหนูห้ามากที่สุด แต่ถ้าหากว่าเอ็นดูนางจริงๆ ตอนที่นายท่านใหญ่คนก่อนป่วยก็ควรจะรีบหาสามีให้กับคุณหนูห้าที่สามารถออกเรือนได้แล้ว จะได้ไม่ต้องไว้อาลัยถึงสามปี คุณหนูห้าที่อายุสิบแปดปีได้กลายเป็นสาวใหญ่แล้ว…ดูแล้วนายหญิงใหญ่อาจจะไม่ได้ปฏิบัติต่อคุณหนูห้าเหมือนลูกแท้ๆ ตัวเองคิดได้จื่อย่วนก็คงจะคิดได้เช่นกัน ติดตามคุณหนูห้าไปก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปแต่งงานกับคนง่อยที่ไหน ไม่สู้หาวิธีไปอยู่กับคุณชายสี่จะดีกว่า!
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว เหลียนเฉียวก็อดไม่ได้ที่จะโกรธจื่อย่วน
หากจื่อย่วนมีความคิดนี้จริงๆ วันนี้คงไม่ใช่เวลาที่ต้องมาพูด
คิดได้ว่าตัวเองมีธุระที่ต้องทำ หากนายหญิงใหญ่ถามหาขึ้นมาแล้วตัวเองยังไม่ได้กลับไป คิดว่านางยังอยู่กับคุณชายสี่จะดูไม่งาม
นางพูดคุยกับอู่เหนียงอีกสองสามประโยค ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา “หากยังไม่ไปตอนนี้ เกรงว่านายหญิงใหญ่จะเรียกหาเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงไปส่งนางถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง “พี่เหลียนเฉียวมีธุระ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว หากมีเวลาก็มานั่งเล่นกับพวกเราอีก”
เหลียนเฉียวกล่าวด้วยความเกรงใจสองสามประโยค ได้ยินเสียงร้องโวยวายดังออกมาไม่ไกล
เมื่อได้ยินนางก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
จื่อย่วนยิ้มแล้วพูดว่า “พี่จื่อเวยกำลังสั่งสอนสาวใช้คนใหม่ ก็ไม่รู้ว่าทำไมคนรุ่นนี้ไม่เหมือนกับพวกเรา เวลาที่รุ่นพี่ตักเตือนอะไรก็จะรีบจำไว้ทันทีและไม่กล้าลืม แต่ตอนนี้ ตีก็ตีไม่ได้ พอทำโทษก็คิดจะฆ่าตัวตาย ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะสั่งสอนอย่างไร” ท่าทางดูเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นนั้น” เหลียนเฉียวท่าทางสบายใจยิ้มให้จื่อย่วนแล้วเดินออกไป “เจ้าไม่รู้หรอกว่าซวงเหอที่มาใหม่ได้ทะเลาะกับป้าเหยา…พวกเรานั้นแค่คิดก็ยังไม่กล้าคิด จะว่าไปสองปีมานี้ป้าสวี่ก็จัดการได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน คนที่เข้ามาใหม่แต่ละคนก็ป่าเถื่อนขึ้นกว่าเดิม มีครั้งหนึ่งนายหญิงใหญ่พูดขึ้นมาว่าป้าสวี่อายุมากแล้วสั่งสอนคนได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน”
“ท่านพี่ที่เป็นคนที่ทำงานให้นายหญิงใหญ่นั้นต่างกัน ประสบการณ์ไม่ธรรมดา” จื่อย่วนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม่เหมือนพวกเราที่เมื่อเห็นป้าสวี่ก็ตัวอ่อนระทวย คงไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจเรื่องเหล่านี้…”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกันจื่อย่วนพาเหลียนเฉียวมาส่งข้างนอกเรือนเจียวหยวน
ฝั่งอู่เหนียงได้เรียกตัวจื่อเวยไป
“…เจ้าเป็นหัวหน้าสาวใช้ในเรือนข้า พวกบ่าวที่ไม่ฟังคำสั่งเหล่านั้น สั่งสอนเสียบ้างก็ดี เพียงแต่ว่าตรงนี้อยู่ใกล้กับเรือนใหญ่ ซิวหลิงถูกส่งออกไปเพราะว่าป่วย หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นอีก แล้วนายหญิงใหญ่ถามขึ้นมาพวกเราจะตอบลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายของนางก็ทำงานอยู่ที่ห้องบัญชี”
“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ” จื่อเวยท่าทางเชื่อฟัง “เป็นเพราะบ่าวคิดไม่รอบคอบ แต่ว่าตีไปแค่ไม่กี่ที สองสามวันนี้ให้คนจับตาดูไว้ นางไม่กล้าวิ่งออกไปบอกใครแน่นอน”
อู่เหนียงพยักหน้ากำชับสองสามคำแล้วให้จื่อเวยออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่งจื่อย่วนก็กลับมา
นำคำพูดทั้งหมดที่เหลียนเฉียวพูดกับนางบอกกับอู่เหนียง “…ดูแล้วคุณนายใหญ่คงจะไม่ค่อยพอใจป้าสวี่” คิดถึงดวงตาที่กระสับกระส่ายของเหลียนเฉียวคู่นั้น “คุณหนูห้า ท่านจะให้เหลียนเฉียวไปรับใช้คุณชายสี่จริงๆ หรือเจ้าคะ” นางชงชาให้อู่เหนียงใหม่แล้วยกไปให้นาง “นางเป็นคนไม่ยอมคน แล้วก็เคยอยู่รับใช้ข้างกายนายหญิงใหญ่ หากไปรับใช้คุณชายสี่ เกรงว่า…”
“ข้าบอกเมื่อไรว่าจะให้นางไปรับใช้คุณชายสี่” อู่เหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ค่อยๆ ลิ้มรส ท่าทางเหมือนนายหญิงใหญ่เป็นอย่างมากแต่ตัวเองกลับไม่รู้ตัว “แล้วอีกอย่างนางเป็นคนรับใช้ของนายหญิงใหญ่ ต่อให้เป็นนายท่านก็ไม่มีสิทธิ์โยกย้ายนาง นับประสาอะไรกับข้า”
เมื่อรู้ว่าอู่เหนียงไม่ได้มีความคิดที่จะเอาเหลียนเฉียวมา จื่อย่วนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คนที่คุณหนูห้าสามารถพึ่งพาได้จริงๆ นั้นมีเพียงคุณชายสี่ แต่ว่าคุณชายสี่นั้นเป็นคนหูเบา หากส่งคนอย่างเหลียนเฉียวไป เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อพวกเรา…
แต่อู่เหนียงกลับคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่น พูดอย่างลังเลว่า “เจ้าว่าสิ่งที่เหลียนเฉียวพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร”
จื่อย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “หรือเป็นเพราะว่าร่างกายของคุณหนูใหญ่…ดังนั้นนายหญิงใหญ่จึงได้ส่งป้าสวี่ไปวัดฉืออาน…แล้วก็ทำการพิมพ์พระสูตรเจ้าคะ?”
“ก็คงจะเป็นเช่นนี้” อู่เหนียงพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ท่านพ่อพึ่งไปเพียงแค่เดือนกว่า ไม่นานก็มีจดหมายส่งมา นอกจากเรื่องของพี่หญิงใหญ่แล้วข้าก็คิดไม่ออกว่าจะมีเรื่องอะไรได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ให้กำเนิดจุนเกอนางก็ป่วยมาตลอด หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วนายหญิงใหญ่คิดจะทำอะไรกันแน่”
******
อู๋เซี่ยวเฉวียนใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบส้มที่ปอกเสร็จแล้ววางในจานเคลือบ ใช้ที่คีบเงินขนาดเล็กคีบเอาเส้นสีขาวบนส้มออกตามปกติ นายหญิงใหญ่กลับโบกมือ “เอาแบบนี้แหละ ข้าอายุมากแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน กินเส้นใยส้มสักหน่อยดีต่อสุขภาพ” พูดไปก็ถอนหายใจไป
“นายหญิงใหญ่พูดอะไรกันเจ้าคะ” อู๋เซี่ยวเฉวียนทำตามที่นางบอก ยกจานเล็กๆ มาให้นาง “ท่านยังไม่แก่เลย คุณนายใหญ่ยังต้องให้ท่านช่วยพยุง…จะพูดว่าแก่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะ สั่งลั่วเชี่ยวที่อยู่ด้านหลัง “พวกเจ้าออกไปเถิด”
ลั่วเชี่ยวและคนอื่นๆ เดินออกไปตามคำสั่ง
เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีคน อู๋เซี่ยวเฉวียนจึงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูทั้งสองได้มีการปรึกษาหารือกัน เมื่อได้เห็นลักษณะของม่านกันลม คุณหนูสิบเอ็ดก็ไม่ได้พูดอะไร แต่คุณหนูห้าคิดว่าไม่ควรนำไม้จีชื่อกับไม้หวงหยางมาคู่กัน ข้าคิดว่าที่คุณหนูห้าพูดก็มีเหตุผล คุณหนูสิบเอ็ดยังบอกอีกว่าให้เขียนตัวอักษรตามขนาดในตอนนี้ไปก่อน นางจะปักตัวอักษรไปก่อน สุดท้ายค่อยทำฐานและกรอบม่านกันลม รอให้ได้วัสดุไม้ที่คุณหนูห้าพูดมาแล้วค่อยเปลี่ยนก็ยังไม่สาย…”
ไม่รอให้นางพูดเสร็จนายหญิงใหญ่ก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไรต่อ “เจ้าแค่บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องงานปักม่านกันลมว่าคุณหนูทั้งสองนั้นใครชำนาญกว่ากัน”
“แน่นอนว่าเป็นคุณหนูห้า” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่บ่าวไปที่โต๊ะของคุณหนูห้า มีรูปแบบมากมายให้คุณหนูสิบเอ็ดเลือก”
“อ้อ!” นายหญิงใหญ่เลิกคิ้ว “แล้วคุณหนูสิบเอ็ดเลือกรูปไหน”
อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณหนูสิบเอ็ดจะตัดสินใจไม่ได้จึงให้คุณหนูห้ามาปรึกษากับนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
“แล้วคุณหนูห้าล่ะ นางชอบรูปไหนมากที่สุด”
“อันที่มีอักษรตัวใหญ่ตรงกลางเจ้าค่ะ” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “นางบอกว่ามีทั้งอักษรคัดใหญ่และอักษรคัดเล็ก เหมาะสมเป็นที่สุด”
มีทั้งอักษรคัดใหญ่และอักษรคัดเล็ก เป็นเรื่องที่เหมาะสมจริงๆ เหมาะที่จะได้อวดลายมือของนางว่าดีแค่ไหน
นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างเยือกเย็น “แต่น่าเสียดายที่อี๋เหนียงสองบอกว่าตัวอักษรคัดใหญ่ของนางไม่ค่อยสง่างาม”
“นายหญิงใหญ่และอี๋เหนียงสองแววตาเฉียบคมเป็นอย่างมาก” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวเองก็ดูไม่ออกเหมือนกับคุณหนูห้า เห็นว่าตัวอักษรใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนั้นดี แต่ว่าอย่างน้อยบ่าวก็มีคนที่เห็นด้วยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วมองไปที่อู๋เซี่ยวเฉวียน
อู๋เซี่ยวเฉวียนใจเต้นรัว
เมื่อพูดเช่นนี้ก็เหมือนกับหาเรื่องใส่ตัวเอง
“แล้วยังมีคุณหนูสิบเอ็ด” นางยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างน้อยบ่าวก็ยังเลือกอันที่ดีออกมาได้ แต่คุณหนูสิบเอ็ดกลับมองอะไรก็ดีไปหมด”