ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 750 เฝ้ามอง (ต้น)
ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะรับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถึงอย่างไรก็เกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยินไม่สำเร็จ สุดท้ายทุกคนไม่มีทางเลือก สวีลิ่งอี๋จึงต้องไปยื่นป้ายชื่อด้วยตัวเอง และเข้าไปพบฮองเฮาในวัง
ไม่ว่าจะเป็นกรมราชกิจภายในหรือว่าพระตำหนักฉือหนิง ล้วนแต่ไม่กล้าล่าช้า ยื่นป้ายชื่อไปยามเที่ยง ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม เหลยกงกงก็พาขันทีรับใช้ระดับหกมารับไท่ฮูหยินด้วยตัวเอง สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเข้าไปในวังกับไท่ฮูหยิน
จู่ๆ ซุนโหวผู้เฒ่าก็มาที่จวนสกุลสวี
“เข้าไปวังอย่างนั้นหรือ…” เขาพูดด้วยท่าทีผิดหวัง
เมื่อคืนครอบครัวคุณชายห้าเอะอะโวยวายทั้งคืน จุดประสงค์ที่ซุนโหวผู้เฒ่ามา ทุกคนล้วนแต่เดาออก
พ่อบ้านไป๋เชิญซุนโหวผู้เฒ่าไปนั่งในห้องหนังสือลานนอกด้วยความเคารพ “…ไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ประเดี๋ยวก็คงกลับมาขอรับ!”
ในวังมีกฎเกณฑ์ ทานอาหารเที่ยงไม่เกินเที่ยง ยามบ่ายโรงครัวแต่ละตำหนักจะทำขนมรองท้อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาคงไม่อยู่ทานอาหารเที่ยง บวกกับในวังต้องปิดประตู ยามโหย่วก็คงจะออกมาจากวังแล้ว
ซุนโหวผู้เฒ่ามองดูท้องฟ้า จากนั้นก็ไปยังห้องหนังสือกับพ่อบ้านไป๋
สวีซื่อเซินรีบตามมา
“ท่านตา ท่านมาแล้วหรือขอรับ” เขาโค้งคำนับซุนโหวผู้เฒ่า จากนั้นก็รีบพูด “ข้าจะไปกุ้ยโจวกับพี่หก… เขาอายุมากกว่าข้าแค่หนึ่งปี ตอนนี้ได้เป็นถึงอู่จิ้นปั๋ว ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวแล้ว ข้าจะเอาแต่อยู่ที่จวนเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฝึกยิงธนู เขายังสู้ข้าไม่ได้เลยขอรับ!”
พ่อบ้านไป๋ได้ยินดังนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ แล้วยังช่วยปิดประตูให้สองตาหลาน
“เจ้าเป็นบุตรชายคนโต ต่อไปสามารถสืบทอดตำแหน่งของบิดา บิดาของเจ้าสู้ท่านลุงสี่ของเจ้าไม่ได้ สมัยฮ่องเต้องค์ก่อนเขาสร้างความดีความชอบ ตอนนี้ก็มีความดีความชอบที่แนะนำกงตงหนิง…ต่อไปน้องชายของเจ้าจะทำเช่นไรเล่า” ซุนโหวผู้เฒ่าถามสวีซื่อเซินอย่างอ่อนโยน
ท่านตาที่สนับสนุนเขามาตลอด แต่ครั้งนี้กลับอยู่ข้างท่านแม่ ใบหน้าของสวีซื่อเซินเต็มไปด้วยความตกใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลงแล้วครุ่นคิด
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด
สีหน้าของสวีซื่อเซินค่อยๆ หดหู่ลง
ซุนโหวผู้เฒ่าเห็นเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ
ครั้งนี้ เขาคิดผิด
เขารู้เจตนาที่สวีลิ่งอี๋ส่งสวีซื่อจิ่นไปกุ้ยโจว เดิมทีเขาเองก็วางแผนว่าจะส่งสวีซื่อเซินไป แต่เมื่อเห็นท่าทีไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยของสวีซื่อเซิน คิดว่าตัวเองมีบุตรสาวเพียงคนเดียว และบุตรสาวก็มีบุตรชายเพียงสองคน เขาจึงใจอ่อน คิดว่าไม่สู้รออีกสักสองสามปี สวีซื่อจิ่นมีหน้ามีตาในค่ายทหารแล้ว สวีซื่อเซินโตกว่านี้อีกสักหน่อย ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ดีกว่านี้แล้วค่อยส่งเขาไปก็ไม่สาย
แต่ใครจะรู้ว่า ความลังเลนี้คือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
อย่างแรกชนเผ่าตาดมองโกลอพยพไปตอนใต้ ผ่านไปไม่นาน ฟั่นเหวยกังรบพ่ายแพ้ เมืองเซวียนถงถูกโจมตี โอวหยางหมิงตกอยู่ในอันตราย พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ฮ่องเต้เปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่กะทันหัน ย้ายกงตงหนิงมาดูแลตราแม่ทัพ ฮ่องเต้อยากช่วยชีวิตโอวหยางหมิง ให้เขานำกองทัพพหารสองหมื่นนายไปตามจับตั่วเหยียนเพื่อสร้างความดีความชอบ แต่กลับถูกตั่วเหยียนซุ่มโจมตี สวีซื่อจิ่นที่ออกไปถือธงกับโอวหยางหมิงลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ เรียกองครักษ์สามพันนายของอวี๋หลินเว่ยไปตามจับตัวตั่วเหยียน ผู้บัญชาการอวี๋หลินเว่ยใช้กลอุบาย มอบกองทัพทหารให้สวีซื่อจิ่น...สถานการณ์ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ เขาไม่มีเวลาเตรียมการด้วยซ้ำ และทันใดนั้นก็มีข่าวว่าสวีซื่อจิ่นจับตัวตั่วเหยียนได้
สุดท้ายสวีซื่อจิ่นถูกแต่งตั้งเป็นอู่จิ้นปั๋ว และโอวหยางหมิง คนที่ฮ่องเต้อยากจะแต่งตั้งกลับถูกเนรเทศทั้งตระกูล
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นควรส่งเซินเกอไปกุ้ยโจวให้รู้แล้วรู้รอด!
แต่สวีซื่อเซินไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น
คำพูดที่เหมือนกัน แต่เมื่อมันออกมาจากปากของท่านตาที่เคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ ย่อมทำให้เขาเชื่อมากกว่ามารดาที่เอาแต่รักและตามใจน้องชายของตัวเอง
หากต้องมีคนเสียสละ เช่นนั้นก็คงต้องเป็นเขาที่เป็นพี่ชาย
“ท่านตาขอรับ” เขาเงยหน้าขึ้นมองซุนโหวผู้เฒ่าด้วยสีหน้าที่แน่วแน่ “ข้าจะอยู่ที่จวน ให้น้องแปดไปกุ้ยโจวกับพี่หกเถิด!”
ในเวลาเช่นนี้ยังคิดถึงน้องชายตัวเอง…ซุนโหวผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความพอใจ
มีเสียงร้องไห้ของสตรีดังมาจากทางประตู
พวกเขาสองคนมองไปตามเสียงก็เห็นฮูหยินห้ายืนสะอื้นไห้อยู่ตรงนั้น
“ท่านแม่” สวีซื่อเซินรีบเดินเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ฮูหยินห้า “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ท่านอย่าร้องไห้เลยขอรับ!”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก เฉิงเกอยังเด็ก นางจึงให้ความสำคัญกับเขามากกว่า ไม่ได้หมายความว่านางไม่สนใจบุตรชายคนโต บุตรชายคนโตมักจะรู้ความและมีความสามารถมากกว่าบุตรชายคนเล็ก ตอนนี้ให้บุตรชายคนโตมอบอนาคตที่สดใสให้บุตรชายคนเล็ก นางจะไม่เสียใจได้อย่างไรกัน
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องร้องไห้!” ซุนโหวผู้เฒ่ายิ้มพร้อมกับพูดว่า “เรื่องนี้ ข้าจะไปปรึกษากับหย่งผิงโหว เจ้ารอฟังข่าวก็พอ”
มีท่านพ่อออกหน้าให้ แน่นอนว่าเขาต้องจัดการทุกอย่างอย่างเหมาะสม
ฮูหยินห้าพยักหน้าอย่างสะอึกสะอื้น
พ่อบ้านไป๋ตะโกนรายงานผ่านม่าน “ท่านโหวผู้เฒ่า ฮูหยินห้า คุณชายน้อยเจ็ดขอรับ ไท่ฮูหยิน ท่านโหวและฮูหยินสี่กลับมาแล้วขอรับ!”
ฮูหยินห้ารีบยัดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในแขนเสื้อ “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านนั่งอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะออกไปต้อนรับไท่ฮูหยินพร้อมกับเซินเกอเจ้าค่ะ”
ซุนโหวผู้เฒ่าตอบรับ ฮูหยินห้าไปที่ประตูฉุยฮวา สวีซื่อเซินไปที่ประตูใหญ่
ฮูหยินสอง เจียงซื่อและอิงเหนียงรออยู่ที่ประตูฉุยฮวาตั้งนานแล้ว
“ไม่รู้ว่าฮองเฮาทรงตรัสกับท่านแม่ว่าอย่างไรบ้าง” ฮูหยินห้ายิ้มพลางพูดกับฮูหยินสอง
“เรื่องทุกอย่างล้วนแต่มีข้อดีและข้อเสีย” ฮูหยินสองพูดอย่างสงบนิ่ง “ถึงแม้ฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่ผ่านไปสักสองสามปี เรายังสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างย้ายจิ่นเกอกลับมาเยี่ยนจิง ฝ่าบาทคงไม่มีทางทำให้คนคนหนึ่งไร้ทายาท!” นางพูดด้วยสีหน้าที่หนักแน่น เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “พี่สะใภ้สองคิดไกลยิ่งนัก พวกเราไม่ได้มองการณ์ไกลเหมือนพี่สะใภ้สองเจ้าค่ะ” แต่กลับพึมพำในใจว่า หากถึงตอนนั้นฮ่องเต้ไม่ให้ย้ายกลับมาจะทำเช่นไร ได้ยินว่าคนที่เป็นผู้บัญชาการทหาร เงินเยอะกว่านายอำเภอและข้าหลวงเสียอีก หากถึงตอนนั้น จิ่นเกอไม่อยากย้ายมาจะทำอย่างไร
คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงความคิด แต่ว่าเจียงซื่อกลับเหลือบมองฮูหยินสอง นางนับถือฮูหยินสองเป็นอย่างมาก
ในขณะที่แต่ละคนกำลังครุ่นคิด รถม้าของไท่ฮูหยินก็มาจอดหน้าประตูฉุยฮวา สืออีเหนียงลงมาจากรถม้าก่อน จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินลงมา
เมื่อทุกคนเห็นไท่ฮูหยิน ใบหน้าของทุกคนก็เผยรอยยิ้ม
เข้าไปในวัง ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีเหนื่อย แต่กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางพอใจกับการเข้าไปในวังครั้งนี้
ทุกคนยิ้มกว้าง จากนั้นก็เดินเข้าไปล้อมรอบไท่ฮูหยิน พาไท่ฮูหยินเดินเข้ามาในประตูฉุยฮวา
“…คิดไม่ถึงจริงๆ แม้แต่ซ่งไท่เฟยก็สนใจจิ่นเกอของเรา” กลับมาถึงเรือน ฮูหยินสองรับใช้ไท่ฮูหยินเปลี่ยนเสื้อผ้า ไท่ฮูหยินเล่าเรื่องที่เข้าไปในวังให้ฮูหยินห้า เจียงซื่อและอิงเหนียงฟังด้วยท่าทีพอใจ “ฮองเฮาขยิบตาให้นาง นางก็ไม่ยอมไป นั่งอยู่ตรงนั้น จะให้สืออีเหนียงให้คำตอบนางให้ได้ หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาพูดตรงๆ ว่าให้นางออกไปก่อน เกรงว่าเราคงไม่ได้ออกมาจากวังเร็วเช่นนี้”
“ซ่งไท่เฟย!” ฮูหยินห้ามองไปที่สืออีเหนียงราวกับขอหลักฐาน แต่ฮูหยินสองกลับพูดว่า “พระมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายแปดใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่า สกุลซ่งเดิมทีเป็นเสมียนในเมืองเผิงเฉิง เพราะว่าบุตรสาวหน้าตางดงาม เข้ามาในวัง ได้รับความโปรดปราน จึงถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์เมืองเผิงเฉิง เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง” พูดจบก็จับจ้องไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น “ฮองเฮาส่งเราออกมาจากพระตำหนักฉือหนิงด้วยตัวเอง ตอนที่เรากำลังคุกเข่าอำลา ฮองเฮาตรัสบอกว่า หากมีเวลาก็ให้ไปนั่งจวนสกุลโจวบ่อยๆ สองสามวันก่อนใต้เท้าโจวเข้ามาพูดเรื่องแต่งงานของลูกพี่ลูกน้องในวัง แล้วยังบอกว่าเราไม่ได้ไปจวนสกุลโจวหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”
เรื่องบางเรื่อง แม้จะเข้าใจแต่กลับพูดออกมาไม่ได้
ฮูหยินสองกับฮูหยินห้าต่างก็ประหลาดใจ
แต่ไท่ฮูหยินกลับสะบัดมือด้วยท่าทีไม่สนใจ “ไม่ต้องรีบ พระราชเสาวนีย์จะประกาศหลังปีใหม่ ช่วงนี้เราพูดคุยเรื่องแต่งงานของจิ่นเกอให้ดีเสียดีกว่า” พูดจบ ไท่ฮูหยินก็มีสีหน้าเพ้อฝัน “ถึงตอนนั้นค่อยให้ไท่เฮามอบพิธีอภิเษกสมรสให้จิ่นเกอ เราจัดงานแต่งงานจิ่นเกออย่างคึกคัก บางทีปีใหม่ของปีหน้าข้าอาจได้อุ้มเหลนอีกคนก็ได้!”
ยังไม่มีวี่แววอะไร ก็อยากจะอุ้มเหลนแล้ว!
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไท่ฮูหยินหันไปถามฮูหยินสอง “เจ้าคิดว่า ข้าควรสั่งทำชุดใหม่สักสองสามชุดดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าจะได้ไปดูหลานสะใภ้กับสืออีเหนียง!”
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสองพูดเอาใจไท่ฮูหยิน “ท่านข้ามสะพานมามากกว่าถนนที่เราเดินเสียอีก มีท่านช่วยดูเรื่องแต่งงานของจิ่นเกอ ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน!” ไท่ฮูหยินพยักหน้าอย่างไม่อ่อนน้อมถ่อมตน นางพูดต่ออีกว่า “ข้าคิดไว้แล้ว ซ่งไท่เฟยไม่ได้แน่นอน สกุลโจวก็ไม่ดี ตรงกลางมีฮองเฮา พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน จะไม่เจอกันได้เช่นไร หากบุตรสาวสกุลโจวอ้างว่าเรื่องแต่งงานนี้คือความต้องการของฮองเฮา จิ่นเกอของเราก็คงเสียเปรียบ…” ไท่ฮูหยินลูบหัวตัวเอง “เรื่องนี้ ข้าต้องคิดให้ดี!”
สืออีเหนียงมองดูไท่ฮูหยินที่มีสีหน้าลำบากใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่งภรรยาต้องแต่งคนที่มีศีลธรรม ขอแค่ฝ่ายหญิงเป็นคนดีมีศีลธรรมก็พอเจ้าค่ะ จิ่นเกอของเราก็ใช่ว่าไม่มีนิสัยแย่อะไรเลย…”
“ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าไม่ต้องเกรงใจ!” ไท่ฮูหยินพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าคิดว่า จิ่นเกอของเราไม่มีนิสัยแย่อะไรเลย หน้าตาหล่อเหลา กตัญญูรู้คุณ มีนิสัยอ่อนโยน มีมารยาทต่อผู้อื่น สุภาพและซื่อตรง ไปไหนก็ต้องมีของฝากมาให้คนในจวนเสมอ…”
หากมีบุตรที่ดีก็นับเป็นความดีของตัวเอง เรื่องนี้ปรากฏชัดเจนบนตัวไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็กลับไปเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาถามนาง “หรือว่า เลือกสกุลที่เหมาะสมในค่ายทหารให้เขา?”
“เลือกสกุลที่เหมาะสมในค่ายทหาร?” สืออีเหนียงแปลกใจ
“ต่อไปจิ่นเกอต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก วิธีที่ดีที่สุดคือหาบุตรสาวของแม่ทัพ” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบา “ไม่ขอตระกูลที่สูงส่ง แต่ต้องเป็นคนมีความสามารถ เป็นคนดีมีศีลธรรม มีพี่น้องมากมาย”
สู้รบต้องสามัคคีกันเหมือนพ่อลูก สู้กับเสือต้องรักกันเหมือนพี่น้อง สกุลแม่ทัพ เช่นนั้นก็หมายความว่าคนในตระกูลล้วนแต่รับตำแหน่งในค่ายทหาร ขอแค่ไม่สกปรก สวีลิ่งอี๋ก็สามารถสนับสนุนพี่น้องของพวกเขาสองสามคน ถึงตอนนั้นจิ่นเกอมีลูกพี่ลูกน้องคอยช่วยเหลือ แค่มีพวกเยอะ คนอื่นเห็นก็ต้องหวาดกลัว
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “กลัวว่าถึงตอนนั้นฝ่ายหญิงก็มีนิสัยชอบฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เหมือนกันน่ะสิเจ้าคะ” นางเป็นกังวล “จิ่นเกอเป็นคนใจร้อน แล้วยังชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง… “
“ถึงตอนนั้นเราค่อยปรึกษากันก็ได้!” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเห็นด้วย เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “สกุลแม่ทัพใช่ว่าจะมีแต่บุตรสาวที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ต้องหาคนที่เหมาะสมให้จิ่นเกอ!”
คุยกันยังไม่ทันจบก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยินขอรับ มั่วจู๋ บ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยสองกลับมาเมืองหลวง บอกว่ามาคารวะฮูหยินตามคำสั่งของคุณชายน้อยสอง แล้วก็นำสิ่งของมาให้คุณชายน้อยหก เขาพึ่งมาถึง ผู้ดูแลจึงให้บ่าวมารายงานท่านโหวและฮูหยินขอรับ”
เนื่องจากความพ่ายแพ้ในสงครามทางตอนเหนือ ราชสำนักกลัวว่าโจรสลัดในฝูเจี้ยนจะถือโอกาสโจมตี จึงปิดข่าวต่อเจียงหนาน เมื่อสวีซื่ออวี้รู้ว่าขุนนางในกุ้ยโจวเดินทางไปเซวียนถงตามคำสั่งของฝ่าบาทเลยเขียนจดหมายมาถามถึงจิ่นเกอ ตอนนั้นจิ่นเกอจับตัวตั่วเหยียนได้แล้ว จากนั้นข่าวถึงได้แพร่กระจายออกไป
นับวันดูแล้ว สวีซื่ออวี้อาจพึ่งได้ยินเรื่องพิธีมอบเชลยที่ประตูวังกระมัง