ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 74 เดือนสี่ (กลาง)
เวลานี้ที่เรือนปีกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความครึกครื้นสนุกสนาน ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
“…ได้ยินมาว่าปวดกระดูก ไท่ฮูหยินเป็นห่วง จึงได้กำชับข้าโดยเฉพาะ ตอนมาฝากข้าให้ดูคุณหนูสิบเอ็ดด้วย” สืออีเหนียงได้ยินเสียงของฮูหยินสามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปิดเผยและชัดเจนดังมาแต่ไกล
“ก็ไม่มีอะไรมาก” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลายวันก่อนนางช่วยอู่เหนียงเร่งงานเย็บปักถักร้อย ก็เลยเหนื่อยเกินไป สองสามวันมานี้ข้าได้ให้สาวใช้ไปคอยจับตาดูนางอยู่ ห้ามไม่ให้นางเย็บปักถักร้อยอีก”
จากนั้นก็มีคนพูดขึ้นเคล้าเสียงหัวเราะว่า “ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของคุณหนูสิบเอ็ดเก่งกาจไม่ธรรมดา ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากหอเซียนหลิง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
นายหญิงใหญ่หัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเชื้อเชิญนักปักหอเซียนหลิงมาสอนงานเย็บปักถักร้อยที่เรือน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเข้าตานาง ก็มีเพียงแค่การถักเชือกจีนกับงานผ้าปักสองด้านที่พอจะใช้ได้” คำพูดถึงแม้จะถ่อมตน แต่ฟังดูแล้วกลับรู้สึกกำลังโอ้อวดเสียมากกว่า
คนผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ว่างๆ คงต้องให้คุณหนูสิบเอ็ดถักเชือกจีนให้พวกเราสักเส้นสองเส้นเสียแล้วกระมัง”
นายหญิงใหญ่กำลังจะตอบรับปาก ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณหนูสิบเอ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว!” นายหญิงใหญ่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสืออีเหนียงก็เดินเข้าไป
ศีรษะของฮูหยินสามประดับไปด้วยไข่มุกและมรกต สวมชุดเป้ยจื่อสีแดงสดลายหรูอี้ เกล้าผมทรงมวยตกหลังม้า สวมต่างหูไพฑูรย์สีน้ำเงิน แต่งองค์ทรงเครื่องได้งดงามยิ่งนัก
เมื่อเห็นสืออีเหนียง นางก็รีบลุกขึ้นต้อนรับทันที “ข้าว่าจะไปเยี่ยมเจ้าเสียหน่อย แต่นายหญิงใหญ่ยืนกรานจะเรียกเจ้ามา เจ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงย่อตัวทำความเคารพ นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณฮูหยินสามที่เป็นห่วง ข้าเพียงแค่อ่อนเพลียเท่านั้น พักผ่อนมาสองสามวัน ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว ดีแล้ว” พูดจบก็เข้าไปจูงมือสืออีเหนียงมานั่งเก้าอี้เหมยกุยที่อยู่ข้างๆ “ไท่ฮูหยินฝากข้ามาเยี่ยมเจ้าโดยเฉพาะ ยังฝากข้ามาถามว่าผลอิงเถาที่ส่งมาให้อร่อยหรือไม่ หากว่าอร่อย ประเดี๋ยวทางวังหลวงส่งมาให้อีก จะแบ่งมาทางนี้ด้วย”
ญาติผู้หญิงทุกคนต่างก็พากันหันมามองนางด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก
ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจวนสกุลสวีล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาปากเปล่าทั้งนั้น ไม่ได้เป็นพิธีการทางการอะไรทั้งสิ้น สถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
สืออีเหนียงมองไปยังนายหญิงใหญ่ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้เป็นวันมงคลของพี่หญิงห้า จึงค่อนข้างยุ่งเสียหน่อย ตอนแรกกะว่าจะไปกล่าวขอบคุณไท่ฮูหยินในวันสองวันนี้ แต่วันนี้ฮูหยินสามมาถึงที่นี่เสียก่อน งั้นข้าก็ต้องขอรบกวนท่านแล้ว” พูดจบก็หันไปบอกกับหู่พั่วที่ติดตามนางมาด้วยว่า “ไปนำพัดปักลายที่ข้าเพิ่งปักเสร็จมาให้ฮูหยินสามหน่อย” จากนั้นก็หันไปพูดกับฮูหยินสามว่า “ต้องรบกวนฮูหยินสามช่วยมอบให้กับไท่ฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินของเราถือว่าได้กำไรแล้ว ผลอิงเถาหนึ่งจานแลกพัดได้หนึ่งเล่ม”
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา
นายหญิงใหญ่เองก็ยิ้ม สีหน้าแววตาของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ฮูหยินสามเอาแต่พูดถึงผลอิงเถาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ก็เพราะต้องการจะบอกกับทุกคนว่าไท่ฮูหยินให้ความสำคัญกับสืออีเหนียงเป็นพิเศษ แต่สืออีเหนียงและท่านโหวไม่ได้ถูกตกลงอย่างเป็นทางการเสียหน่อย หากว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่พูดไว้ แน่นอนว่าจวนสกุลหลัวคงจะเป็นฝ่ายเสียหายมากที่สุด คนที่ไม่รู้ก็อาจจะคิดเช่นนี้ได้ แต่นางรู้แก่ใจดี ก่อนที่หยวนเหนียงจะสิ้นใจนั้น คำสั่งเสียที่ให้ไว้กับฮองเฮาก่อนสิ้นใจก็เพื่อรับประกันว่าเรื่องนี้จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี จะต้องรู้ว่าฮองเฮาเป็นเหมือนดังเช่นหยวนเหนียง สิ่งที่เป็นกังวลใจที่สุดก็คือความปลอดภัยของบุตรของตน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าของนายหญิงใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสลดทันที
หากหยวนเหนียงยังมีชีวิตอยู่ จะดีแค่ไหนกันนะ….
ฮูหยินสามดูค่อนข้างฝืนยิ้ม
นางรู้สึกเบื่อหน่ายกับข้อตกลงระหว่างจวนสกุลสวีกับจวนสกุลหลัวเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะต้องเรียกเด็กเมื่อวานซืนที่อายุโตกว่าบุตรชายของตนไม่ถึงสองปีว่าน้องสะใภ้ เรื่องสำคัญแค่ไหนกันเชียวถึงขั้นต้องให้ตนมาเอาป้ายคู่ของเด็กเมื่อวานซืนถึงที่นี่ หากไม่ได้ประชดประชันนางเสียหน่อยก็คงรู้สึกไม่สะใจจริงๆ
ส่วนรอยยิ้มของสืออีเหนียงค่อนข้างบางเบา
คนที่เปิดเผยความรู้สึกของตนออกมาเช่นนี้ไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคนที่ซุกซ่อนเก็บงำความรู้สึกต่างหาก!
แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป พูดคุยหัวเราะกันอยู่พักหนึ่ง หู่พั่วก็มาถึงพอดี
สืออีเหนียงจึงได้ส่งมอบกล่องไม้ที่สลักลายสีแดงให้กับฮูหยินสาม “รบกวนท่านแล้ว!”
ดวงตาของฮูหยินสามขยับเล็กน้อย นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าขอเชยชมก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็เปิดกล่องไม้ใบนั้นออก
พัดกลม ผ้าไหมโปร่งบาง ด้ามจับไผ่ลาย ปักด้วยลวดลายดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานประดุจของจริง
ฝีมือการปักยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
นางแอบชื่นชมในใจ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “งดงามอย่างที่สุด!”
เมื่อพลิกกลับมาอีกด้าน เป็นลายปักดอกไม้โบตั๋นคู่บนกิ่งก้านเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ของสามีและภรรยา ดอกหนึ่งกำลังตูม ส่วนอีกดอกกำลังเริ่มแย้มบาน
ฮูหยินสามชะงักไปชั่วขณะ
นายหญิงสามมองเห็นอย่างชัดเจน จึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “นี่คืองานผ้าปักลายสองด้านของคุณหนูสิบเอ็ด อาจารย์เจี่ยนที่พี่สะใภ้ใหญ่ว่าจ้างให้มาสอนงานเย็บปักถักร้อยสืบวิชามาจากหอเซียนหลิง อู่เหนียงและสืออีเหนียงของเราจึงได้เรียนรู้มาบ้าง”
ทุกคนจึงพากันล้อมวงเข้ามา คนนี้ดูเสร็จคนนั้นก็ดูต่อ ไม่มีใครเลยที่จะไม่เอ่ยคำกล่าวชม
เวลาที่ควรจะแก่งแย่งก็ควรแก่งแย่ง เวลาที่ควรสู้รบตบมือก็ควรสู้ แต่เวลาที่ควรจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันก็ควรที่จะร่วมมือ มิเช่นนั้น หากในบ้านของเรามาแตกคอกันก่อน คนอื่นก็จะดูหมิ่นดูแคลนเอาได้!
นายหญิงสามหันไปมองนายหญิงใหญ่ด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ให้นายหญิงสาม แต่นายหญิงสามก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายขึ้นมา ตอนนั้นที่ไปเยี่ยมเยียนไท่ฮูหยิน เปลี่ยนเป็นนำพัดปักลายเหล่านี้ไปให้แทนก็คงจะดีไม่น้อย! แต่เมื่อคิดดูดีๆ อีกที ของที่ส่งไปก็ล้วนต้องส่งมอบให้กับผู้ดูแลทั้งนั้น ไม่ได้พบปะกับไท่ฮูหยินโดยตรง สู้เจอกันแบบนี้เสียจะยังดีกว่า!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาเรียนว่า “นายหญิงสองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” สิ้นเสียงสาวใช้ นายหญิงสองก็เดินเข้ามาทันที ด้านหลังยังมีชีเหนียงที่สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยล้าตามมาด้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้ถือสา” นางพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “แคว้นซีเป่ยมาขนเสบียงที่ซานตง ปิดถนนหนทางไปสามวันเห็นจะได้ มิเช่นนั้นก็คงจะมาถึงตั้งนานแล้ว!”
“พวกเจ้าลำบากแล้ว!” นายหญิงใหญ่พูดพลางเข้ามาจูงมือของชีเหนียง “เหนื่อยแล้วล่ะสิ รีบไปพักผ่อนกับสืออีเหนียงเถิด”
ทุกคนจึงทำความเคารพซึ่งกันและกัน สืออีเหนียงหันไปขอตัวกับทุกคน จากนั้นก็พาชีเหนียงไปยังที่พักของตน
นายหญิงสามก็หาโอกาสกระซิบกับนายหญิงใหญ่ว่า “ตระกูลบ้านเขาฐานะสูงส่ง ตระกูลเราก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าใครเขาแต่อย่างใด เรื่องบางเรื่องค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า!”
นายหญิงใหญ่เข้าใจความหมายคำพูดของนาง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ได้ยินมาว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่เฉินเก๋อเหล่าเสนอไปนั้นเป็นประสิทธิผลชัดเจน ค่าใช้จ่ายของกองทัพทหารแคว้นซีเป่ยค่อนข้างสูงเป็นอย่างมาก ล้วนแล้วแต่ใช้ในส่วนของภาษีใบชาที่เก็บมาทั้งสิ้น…นายท่านใหญ่หมดหนทางแล้วจริงๆ หากเราไม่เคลื่อนไหวอันใดเลย เกรงว่าคนอื่นเขาจะดูหมิ่นดูแคลนตระกูลของเราเอาได้”
“แต่ถ้าเกิดว่า…” นายหญิงสามค่อนข้างลังเลเล็กน้อย
คำพูดบางคำพูด นายหญิงสามก็ไม่สามารถพูดตรงๆ กับนายหญิงใหญ่ได้ จึงพูดขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “วางใจเถิด เรื่องนี้ข้าเองมีแผนในใจแล้ว”
นายหญิงสามในตอนนี้พูดอะไรมากไม่ได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น นายหญิงสองก็ได้ตรงดิ่งเข้ามาพร้อมกับมอบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งให้กับนายหญิงใหญ่ “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าและนายท่าน”
นายหญิงใหญ่กวาดตามองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าล้วนเป็นตั๋วเงินราคาหนึ่งร้อยตำลึง ดูแล้วคงจะมีมูลค่าราวสองพันตำลึงเห็นจะได้ “นี่เยอะเกินไปแล้ว…”
แต่นายหญิงสองรีบโบกมือปฏิเสธ “ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ ข้าไม่เคยที่จะต้องมาเป็นกังวลใจเรื่องในบ้านเลยแม้แต่น้อย ทุกๆ วันทำเป็นแค่แบมือขอเงินส่วนกลางมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว แต่วันนี้บ้านเรามีเรื่องเดือดร้อน ก็เป็นเวลาที่ข้าควรจะยื่นมือช่วยเหลือ พี่สะใภ้รีบรับไว้เถิด มิฉะนั้น ข้ากลับไปแล้วจะเรียนนายท่านว่าอย่างไรกัน”
นายหญิงสามเหมือนจะทำตัวไม่ค่อยถูก
เพราะบ้านของนายท่านสองใจกว้างยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่ใช่น้อย
แต่เวลาเช่นนี้ ตนก็ไม่สามารถจะมาสู้รบตบมือได้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านก็รับไว้เถิด! ได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันบ้านสกุลหวังก็จะมาส่งมอบของกำนัลแล้ว ถึงตอนนั้นมีเรื่องที่ต้องให้คิดอีกเยอะแยะ สิ่งที่จะต้องใช้จ่ายก็มีตั้งมากมาย ถึงแม้ว่านายท่านบ้านข้าจะได้เงินเดือนค่าตอบแทนน้อย แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอจะช่วยได้อยู่บ้าง”
นายหญิงใหญ่กุมมือของนายหญิงสองและนายหญิงสามไว้ “คนบ้านเดียวกัน ไม่พูดจาเป็นสองบ้าน ตอนนี้เขยสี่กำลังรุ่งเรืองก้าวหน้า อีกสองปีซิ่งเกอก็เรียนจบออกมาพอดี บ้านเราก็คงจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ”
นายหญิงสามฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้าของนายหญิงสองกลับหมองหม่นไป บุตรเขยจะดีแค่ไหนก็ไม่สู้บุตรชาย อีกอย่างจวนสกุลสวียังมีพี่น้องมากมายขนาดนั้น…
*****
ทางฝั่งของชีเหนียง เมื่อล้างเนื้อล้างตัวผลัดผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็เอนตัวอิงกายลงบนเตียงเตาริมหน้าต่างอย่างผ่อนคลาย “…ไม่เจอกันตั้งหนึ่งปี ทำไมเจ้าถึงสูงเร็วขนาดนี้ สูงกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ วันหน้าเจ้าต้องกินให้น้อยๆ หน่อย สูงเกินไปจะแต่งงานออกเรือนยากนะ”
สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้สนใจนาง
แต่หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า “คุณหนูของเราผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ หากให้กินน้อยลงหน่อย เกรงว่าแค่โดนลมพัดก็คงจะปลิวแล้วกระมังเจ้าคะ”
ชีเหนียงได้ยินแล้วก็หันหน้าไปมองสืออีเหนียงที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่บนเตียงเตา พูดขึ้นเสียงเบาว่า “นี่ อันนั้นของเจ้ามาแล้วหรือยัง!”
“อะไรหรือ” สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในความหมายของชีเหนียง สืออีเหนียงกำลังเปลี่ยนลายปัก นางผูกปมเชือก จากนั้นก็ตัดปลายเชือกที่เหลือของปมทิ้งไป แล้วก็ส่งเข็มให้กับตงชิง ตงชิงรับเข็มมาเปลี่ยนเป็นเข็มใหม่ที่ร้อยด้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผูกปมปลายเชือกส่งกลับไปให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงรับมาปักต่อ และยังเงยหน้าขึ้นมามองชีเหนียงอีกด้วย แต่ความเร็วของฝีเข็มไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด อีกทั้งลายผ้าปักก็ไม่ได้คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย
ชีเหนียงจุ๊ปากด้วยความทึ่งในฝีมือ “วันหนึ่งเจ้าต้องเย็บปักถักร้อยเยอะขนาดไหนกัน เกรงว่าคณะเย็บปักถักร้อยทั้งคณะก็คงจะสู้เจ้าไม่ได้”
หากไม่เย็บปักถักร้อยแล้ววันๆ เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องวุ่นวายปวดหัวเหล่านั้น หากไม่กลุ้มใจตายไปเสียก่อนก็คงจะเครียดตายเสียก่อนกระมัง…
สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ฝีมือการปักเย็บของเจ้าดีเยี่ยมขนาดนี้ ทำถุงผ้าใส่เงินให้ข้าสักถุงได้หรือไม่” ดวงตาของชีเหนียงขยับเล็กน้อย ใบหน้าราวกับหิมะแรกก็ไม่ปาน แก้มที่กลมนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา
สืออีเหนียงมองแล้วก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย นึกถึงคำพูดที่นางพึ่งถามตนไปเมื่อครู่นี้ จากนั้นก็หันไปบอกตงชิงด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ไปเอาถุงผ้าที่ข้าเพิ่งทำเสร็จไปเมื่อสองสามวันที่แล้วมาให้พี่หญิงเจ็ดเลือกหน่อย”
ไม่นานตงชิงก็นำตะกร้าหวายใบเล็กที่ใส่ถุงผ้าไว้มาถึง ถุงผ้ามีหลายแบบหลายลาย มีทั้งใบเล็กกะทัดรัดน่ารัก ใบใหญ่ลวดลายเรียบง่าย บางใบลวดลายงดงามหรูหรา ชีเหนียงเห็นแล้วก็ลายตาไปหมด ใบนี้ก็ดี ใบนั้นก็สวย อยากจะเอาทุกใบเสียด้วยซ้ำ
นางค้นไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ร้องตะโกนขึ้นว่า “ดีจัง สืออีเหนียง เจ้าปักถุงผ้าลายดอกบัวแฝดปิ้งตี้เหลียนด้วย”
สืออีเหนียงหันไปมองนาง “ทำไมหรือ” ถามขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง
จู่ๆ ใบหน้าของชีเหนียงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
ชีเหนียงเขินอายเป็นอย่างมาก เมื่อเลือกเสร็จแล้วก็หันไปกดนวดสืออีเหนียง “เด็กคนนี้นี่ ปกติก็เห็นเรียบร้อยดีตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าจะทะเล้นเช่นนี้ ถึงขั้นแกล้งพี่หญิงเชียวหรือ”
สืออีเหนียงหัวเราะจนท้องแข็ง จากนั้นก็รีบอ้อนพี่หญิงทันที “พี่หญิงคนดีของน้อง พี่หญิงจะให้ปักลายอะไรข้าก็จะปักลายนั้น ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว”
ทั้งสองต่างยื้อแย่งแกล้งเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณหนูสิบเอ็ด คุณหนูห้ามาเจ้าค่ะ!”
ชีเหนียงและสืออีเหนียงจึงได้แยกกัน อู่เหนียงก็เดินเข้ามาพอดี
“ชีเหนียง มาถึงแล้วก็ไม่ยอมไปเยี่ยมข้าสักนิด!”
ชีเหนียงจึงรีบลุกขึ้นยืนให้อู่เหนียงดู “ผมข้ายังไม่แห้งเลย”
อู่เหนียงมองดูแล้วก็หย่อนตัวนั่งลงริมเตียงเตา “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นต่างหาก!”
นัยน์ตาดำขลับของชีเหนียงขยับเล็กน้อย “พี่หญิงห้า ท่านเคยเห็นหน้าพี่เขยห้าแล้วหรือยัง”
อู่เหนียงใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที “พูดซี้ซั้วอะไรของเจ้าน่ะ!”
“งั้นก็แปลว่าได้เห็นหน้าแล้ว!” แววตาของชีเหนียงลุกวาวขึ้นมา “รีบเล่ามาให้ฟังประเดี๋ยวนี้ พี่เขยห้าเป็นอย่างไรบ้าง” สีหน้าแววตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความอยากรู้อยากเห็น
ไปวัดคราวที่แล้วอู่เหนียงไม่ได้สังเกตเฉียนหมิงเท่าไรนัก ต่อมาก็ได้หาโอกาสสังเกตดูบ้างนิดหน่อย จากนั้นนางก็ไม่ได้โทษฟ้าโทษดินว่าชีวิตของตนนั้นลำบากยากเข็ญเหมือนเฉกเช่นเคยอีก
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ใบหน้าของอู่เหนียงแดงก่ำหนักกว่าเก่า นางเลือกที่จะเมินคำพูดของชีเหนียง แล้วถามกลับไปว่า “ที่ซานตงสนุกหรือไม่”
ชีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาลุกโชนขึ้นมาทันที “สนุก ข้ากับท่านแม่ยังไปเที่ยวที่งานวัดด้วย ไม่เหมือนตอนอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิง วันๆ ต้องอยู่แต่ในบ้าน” จากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่งงานแล้วดีที่สุด แต่งงานแล้วก็จะสามารถออกไปข้างนอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น” สีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง