ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 727 สืบทอดตำแหน่ง (กลาง)
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าสืออีเหนียงกำลังบอกแผนการของตัวเองผ่านการหยอกล้อ
“มั่วเหยียน!” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อย “หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไรก็เพียงแค่บอกข้ามา”
พวกนางทำกิจการเย็บปักถักร้อย จะให้ติดต่อสานสัมพันธ์กับทางหูโจวเพียงผิวเผินได้อย่างไร ความสัมพันธ์ที่มีมาเนิ่นนานกว่าสิบปี คนอื่นๆ ก็ล้วนสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพวกเขาเช่นกัน ไม่ว่าสวีลิ่งอี๋จะช่วยคุยให้หรือไม่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
หู่พั่วเข้ามาเพื่อนำรายการสิ่งของที่จะส่งไปกุ้ยโจวมาให้สืออีเหนียงดู “หากส่งของไปอีก เกรงว่าจะถึงหลังตรุษจีนแล้ว ดังนั้นบ่าวจึงเตรียมของสำหรับตรุษจีนไปด้วยเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า เพิ่มตั๋วเงินอีกสองร้อยตำลึง “ไม่แน่อาจจะต้องไปเยี่ยมผู้อาวุโสในหน่วยงาน อาจารย์ผังและคนอื่นๆ ก็ตามไปด้วย ในวันตรุษจีนก็ต้องมีอั่งเปาจึงจะเหมาะสม”
หู่พั่วยิ้มแล้วจากไป
สวีลิ่งอี๋นั่งยิ้มอยู่ที่นั่น
คิดไม่ถึงว่าจิ่นเกออายุน้อยเพียงนี้ จะกระทำการได้ชำนาญเช่นนี้
เขาบอกเรื่องเหมืองแร่กับยงอ๋องก่อน พอได้รับการสนับสนุนจากยงอ๋องจากนั้นก็ยืมชื่อของยงอ๋องต้อนกงตงหนิงแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกงตงหนิง หลังจากนั้นก็กระตุ้นกองพันในผิงอี๋และผู้บัญชาการองครักษ์ผู่อานให้ทำกิจการร่วมกัน กองพันในผิงอี๋กับผู้บัญชาการองครักษ์ผู่อานรู้สึกลำบากใจอยู่หลายวัน คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีวิธีที่จะข้ามผ่านกงตงหนิงไปได้ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจให้กงตงหนิงเป็นใหญ่…ถึงเวลาเมื่อเกิดเรื่องก็จะได้มีคนรับผิดชอบแทน
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมืองเงินจะเริ่มผลิตเงินในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ภายใต้สถานการณ์การเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะอยากให้จิ่นเกอกลับมา เกรงว่ายงอ๋องจะไม่เห็นด้วย
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว มุมปากของเขาก็ขยับเล็กน้อย แสดงออกถึงความปลื้มใจ
โลกนี้ไม่มีความลับใดที่ถูกปิดไว้ได้ ในเมื่อจิ่นเกอทำเสียงดังในกุ้ยโจว เขาก็แค่อยู่ที่บ้านรอให้เงินไหลมาเองก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเกิดปัญหาพวกเขาพ่อลูกคนหนึ่งอยู่ข้างใน คนหนึ่งอยู่ข้างนอก จนเกิดเป็นอำนาจทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่รู้สึกไม่สบายพระทัย
******
เนื่องจากฮ่องเต้องค์ก่อนเสด็จสวรรคต ฮ่องเต้จึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงตอบแทนองค์ชาย องค์หญิงและราชบุตรเขยเหมือนในปีก่อนๆ การเฉลิมฉลองในช่วงตรุษจีนก็ถูกยกเลิกเช่นกัน และได้เปลี่ยนชื่อปีเป็นซีอาน
ในวันที่สามไทเฮาได้เรียกองค์หญิงเจียงตูกับราชบุตรเขยเข้าวัง ฮ่องเต้ ฮองเฮา ยงอ๋อง ยงอ๋องเฟยและสวีลิ่งอี๋กับภรรยามาร่วมงานเลี้ยงมังสวิรัติที่พระตำหนักสือหนิง
หวังเสียนดูเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่ถ่อมตัวจนเกินไปและไม่เย่อหยิ่งจนเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้กับไทเฮา ท่าทางใจกว้างสง่างาม สืออีเหนียงอดแอบพยักหน้าไม่ได้
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ไทเฮาให้ฮองเฮา ยงอ๋องเฟย องค์หญิงเจียงตูและสืออีเหนียงอยู่คุยต่อ ส่วนฮ่องเต้ หวังเสียน ยงอ๋อง และสวีลิ่งอี๋ไปที่พระตำหนักหน่วนเก๋อที่อยู่ข้างพระตำหนักรอง ฮ่องเต้ตรัสถามถึงสวีซื่อจิ่น “…ผู้บัญชาการหนานจิงอายุมากแล้ว ใกล้จะออกจากตำแหน่งแล้ว จิ่นเกอยังเด็กเกินไป เราอยากจะให้ที่ปรึกษาผู้บัญชาการหนานจิงเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บัญชาการหนานจิง แล้วให้จิ่นเกอรับตำแหน่งที่ปรึกษาผู้บัญชาการ สั่งสมประสบการณ์ที่นั่นสักสองสามปีแล้วค่อยว่ากัน”
จากผู้บัญชาการระดับสี่ที่ไร้อำนาจไปเป็นที่ปรึกษาผู้บัญชาการที่มีอำนาจแท้จริง อาจกล่าวได้ว่าเขาขึ้นสู่สวรรค์ในก้าวเดียว
สวีลิ่งอี๋รีบกล่าวขอบพระทัย
ยงอ๋องลุกขึ้นมา “ฮ่องเต้ กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะวางแผนระยะยาวจะดีกว่า จิ่นเกออายุน้อยเกินไป ต่อให้ไปแล้วก็เกรงว่าจะควบคุมคนเหล่านั้นไม่ได้ แทนที่จะเอาเขาไปเผาบนกองไฟเช่นนี้ ไม่สู้ให้เขาอยู่ที่กุ้ยโจวอีกสักสองปีแล้วค่อยเลื่อนตำแหน่งจะดีกว่า เมื่อถึงเวลานั้นค่อยย้ายไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการหนานจิงก็ยังไม่สาย!”
ฮ่องเต้รู้สึกแปลกพระทัย
ในวันแรกของปี แม้ว่าจะยกเลิกการแสดงความยินดีของข้าราชบริพาร แต่บรรดาองค์ชาย องค์หญิง และราชบุตรเขยยังต้องเข้าวังมาถวายพระพรไทเฮากับเขา องค์หญิงเจียงตูหาโอกาสที่จะบอกว่าทำไมจิ่นเกอถึงได้มีความขุ่นเคืองกับเฉินจี๋ในตอนนั้นแก่เขา ซ้ำยังร้องไห้เพื่อให้เขาคิดหาวิธีพาจิ่นเกอกลับมาไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ซ้ำยังบอกอีกว่าตอนที่จิ่นเกอถูกลดตำแหน่งล้วนเป็นเพราะนาง ตอนนี้เป็นวันตรุษจีน ทุกคนมารวมตัวกัน มีเพียงจิ่นเกอที่อยู่กุ้ยโจวตัวคนเดียว ไม่รู้ว่ามีเสื้อผ้าใหม่ใส่หรือไม่…หย่งผิงโหวและหย่งผิงโหวฮูหยินไม่รู้ว่าจะคิดถึงและกังวลแค่ไหน!
นึกถึงครั้งแรกที่เห็นจิ่นเกอ สวมเสื้อแขนยาวผ้าไหมสีแดงสด ผมของเขาสีดำขลับ ผิวของเขาขาวราวกับหยก ร่างกายอวบอ้วนเล็กน้อย ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน…ย่อมไม่เหมาะที่จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้นจริงๆ เพียงแต่เกรงว่าโตขนาดนี้แล้วนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบทลงโทษเช่นนี้ ตนเลยมีจิตใจที่อยากจะชดเชย คิดไม่ถึงว่ายงอ๋องจะคัดค้าน ไม่เพียงแต่คัดค้าน ซ้ำยังพูดอย่างสมเหตุสมผล ทำให้ยากที่จะหักล้าง
เขาอดเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก จับจ้องยงอ๋อง ท่าทางแน่นิ่งราวกับพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติคืนมา คำนับแล้วพูดว่า “ยงอ๋องกล่าวได้สมเหตุสมผล สวีซื่อจิ่นอายุน้อยเกินไป ยากที่จะโน้มน้าวจิตใจคนได้ ซ้ำยังเป็นญาติห่างๆ ฮ่องเต้พึ่งจะครองบัลลังก์ ควรจะใช้ขุนนางที่มีคุณธรรมเพื่อบอกให้โลกรู้ถึงความสามารถไว้รับใช้ฮ่องเต้จึงจะถูก เรื่องของสวีซื่อจิ่นเอาไว้คุยในภายหลังก็ยังไม่สาย”
ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
หวังเสียนพบว่าท่าทางของยงอ๋องผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ทำเอาเขาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ พอกลับไปถึงจวนก็เล่าให้องค์หญิงเจียงตูฟัง
องค์หญิงเจียงตูไปหายงอ๋องด้วยความฉุนเฉียว
ยงอ๋องถูกนางเซ้าซี้จนหมดปัญญา รู้ว่าฮ่องเต้รักน้องสาวคนนี้มากที่สุด หากนางดื้อดึง ไม่แน่ฮ่องเต้อาจจะหลับหูหลับตาเอาสวีซื่อจิ่นกลับมา เช่นนั้นเหมืองเงินของเขาก็คงจบสิ้น เขาคงไม่สามารถวิ่งไปเอาเงินจากกงตงหนิงได้หรอกกระมัง! อย่างไรเสียนี่ก็เป็นกิจการที่เปิดโจ่งแจ้งไม่ได้ จึงทำได้เพียงบอกเรื่องราวทั้งหมดแก่องค์หญิงเจียงตูอย่างอ้อมค้อม จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมนาง “…พอเงินในจวนของข้าที่ติดค้างถูกใช้คืนหมดแล้วก็จะวางมือ หากฮ่องเต้เอาความ ฮ่องเต้ ข้า และไทเฮาก็จะเสียหน้า หากไม่เอาความ ทุกคนก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง มีแต่จะทำลายรากฐานของแว่นแคว้น”
องค์หญิงเจียงตูโกรธจนตัวสั่น “เป็นเพราะท่าน เหตุใดถึงต้องยืนกรานที่จะปรับปรุงลานให้ได้!”
ยงอ๋องเผยยิ้มอย่างลำบากใจ “หากไม่ให้ข้าซ่อมแซม หรือว่าจะให้ข้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องในราชสำนักอย่างนั้นหรือ!”
องค์หญิงเจียงตูพูดไม่ออก เพียงรู้สึกว่าจิ่นเกอน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะช่วยนางจัดการเรื่องจึงได้พบกับเฉินจี๋คนงี่เง่า ซ้ำยังถูกพี่สามใช้หาผลประโยชน์…
นางหันหลังแล้วไปหาสืออีเหนียง พูดคุยเรื่องทั่วไปกับสืออีเหนียงเป็นเวลานาน ซ้ำยังมอบรางวัลให้ถิงเกอ จวงเกอ ชิ่งเกอและอิ๋งอิ๋งอีกมากมาย
สืออีเหนียงรู้สึกงุนงงไปหมด
“พอแต่งงานก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” เจียงซื่อยกถ้วยชาให้สืออีเหนียง “บางครั้งก็ต้องอยากไปเยี่ยมญาติ มีคนพูดคุยด้วยก็จะทำให้มีชีวิตชีวาเจ้าค่ะ”
คงเป็นเช่นนั้นกระมัง!
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย เลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อนแล้วไปหาสวีลิ่งอี๋
“เหตุใดจู่ๆ ถึงได้อยากเลื่อนตำแหน่งเป็นกองร้อย” นางเอาจดหมายของสวีซื่อจิ่นให้เขาดู “ไม่เคยได้ยินเรื่องผลงานการสู้รบ และไม่เคยได้ยินว่าได้ทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อกองพัน หรือว่ากงตงหนิงส่งสัญญาณบอกคนใต้บังคับบัญชา”
ดูเหมือนว่าองครักษ์ผู่อานกับคนของกองพันผิงอี๋จะอยากให้จิ่นเกออยู่ทำงานให้พวกเขา…
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางรับจดหมายมา ดูอย่างคราวๆ “ข้าจะถามเองว่าเกิดอะไรขึ้น”
ยื้อเวลาให้บุตรชายเล็กน้อย รอให้กิจการเหมืองเงินดำเนินไปได้ ค่อยส่งคนสนิทไปจับตาดู แม้ว่าเขาจะถูกย้ายไปกองอื่นก็ไม่มีผลกระทบใดๆ
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “เช่นนี้นับว่าผ่านการทดสอบของท่านหรือไม่ เขาไปเพียงหนึ่งปี แต่ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ข้าไม่รู้!”
สวีลิ่งอี๋จับไหล่นาง “เจ้าไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่!” จากนั้นก็ถามถึงร้านของนาง “กิจการเย็บปักเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็พอได้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงผ่อนคลายลง “มีพ่อค้าคนหนึ่งจากหยางโจว เมื่อเห็นว่ากิจการของพวกเราค้าขายได้ดีจึงต้องการเอาผงหอมในร้านของพวกเขามาฝากพวกเราขาย ข้าส่งคนไปสืบดู ผงหอมร้านนั้นมีชื่อเสียงมากในเขตเจียงหนาน อาจารย์เจี่ยนคิดว่าเราสามารถได้กำไรจากตรงนี้ ช่วงนี้เลยกำลังปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเขาอยู่ ถ้าหากสำเร็จ พวกเราอยากจะเช่าร้านข้างๆ แล้วเปิดร้านผงหอมอีกหนึ่งร้าน”
“ข้าจำได้ว่าเครื่องประทินผิวในวังมาจากหังโจว ขายเพียงผงหอมจะดูน่าเบื่อไปหน่อย ไม่สู้พวกเจ้าส่งคนไปดูที่หังโจว ถ้าหากขายทั้งผงหอม ขายทั้งเครื่องประทินผิว ไม่แน่กิจการอาจจะดียิ่งขึ้น”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พรุ่งนี้เตรียมจะไปจวนซุ่นอ๋องสักหน่อย ดูว่าสีทาคิ้วกับสีทาปากในวังได้รับราชบรรณาการมาจากที่ไหน จะได้เอาทุกอย่างมาขายด้วยกัน”
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางไม่พูดถึงเรื่องของจิ่นเกออีกก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
สืออีเหนียงเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกชั่วยางเด็กน้อยที่จิ่นเกอนำกลับมาจากด่านหุบเขาจยาอวี้เข้ามาพบ “…ข้าอยากให้คุณชายน้อยหกกลับมาจากกุ้ยโจว แต่ท่านโหวไม่อนุญาต เจ้ากล้าติดตามคนของแผนกรายงาน ไปกุ้ยโจวให้ข้าได้หรือไม่”
ชั่วยางรีบรับปากทันที “คุณชายน้อยหกมีพระคุณกับบ่าว ฮูหยินกำชับมาได้เลย บ่าวรับรองว่าจะนำคำพูดของฮูหยินไปส่งให้ถึงอย่างแน่นอน” แล้วพูดต่ออีกว่า “อย่าว่าแต่ไปกับคนของแผนกรายงานเลย ต่อให้บ่าวไปคนเดียวก็ไปถึงกุ้ยโจวได้ขอรับ”
“อีกสองวันข้าจะส่งคนให้นำเสื้อผ้าใหม่ไปส่งให้คุณชายน้อยหก เจ้าก็ติดตามพวกเขาไปด้วย” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “เมื่อไปถึงผิงอี๋ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ดูให้ละเอียดว่าผู้อาวุโสในหน่วยงานของคุณชายน้อยหกมีใครบ้าง ปฏิบัติต่อคุณชายน้อยหกอย่างไร ปกติคุณชายน้อยหกไปมาหาสู่กับใครบ้าง…เมื่อเจ้ารู้เรื่องราวชัดเจนแล้ว ข้าเองก็จะได้รู้ว่าควรจะวางแผนอนาคตของคุณชายน้อยหกอย่างไร หากคุณชายน้อยหกถาม เจ้าก็บอกว่าอยู่ที่จวนไม่สนุก เห็นว่าแผนกรายงานนำของมาส่งให้เขาก็เลยตามออกมาด้วย ทำได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ!” ใบหน้าสีดำแดงของชั่วยางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
สืออีเหนียงยิ้มพลางมอบถุงเงินเป็นรางวัลให้เขา ซ่อนตั๋วเงินสิบตำลึงจำนวนสิบใบไว้ในสายรัดเอวของเขา “เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน!”
ชั่วยางตามคนของแผนกรายงานไปกุ้ยโจวอย่างกระตือรือร้น
สืออีเหนียงยุ่งอยู่กับการเปิดร้านเครื่องประทินผิว บางครั้งองค์หญิงเจียงตูก็มาเยี่ยมเยียน พูดคุยกับเจียงซื่ออย่างสนิทสนม
ปลายเดือนสี่ชั่วยางก็กลับมา อีกทั้งยังนำผ้าโพกศีรษะสีเงินของชาวชนเผ่ากลับมาสองชุด ชุดหนึ่งมอบให้ไท่ฮูหยิน อีกชุดหนึ่งมอบให้สืออีเหนียง บอกว่าเป็นของขวัญวันเกิด
“คุณชายน้อยหกถามว่าบ่าวมาได้อย่างไร บ่าวบอกคุณชายน้อยหกตามที่ท่านกำชับขอรับ” ชั่วยางเซื่องซึมเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “ปรากฏว่าวันต่อมาคุณชายน้อยหกจึงให้อาจารย์ผังส่งบ่าวไปที่จุดพักรถ ซ้ำยังบอกว่าให้บ่าวรออยู่ที่เรือน ตั้งใจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ของคุณชายน้อยเจ็ด ต่อไปยังมีเรื่องให้บ่าวต้องทำ ไม่ให้บ่าวออกไปวิ่งเพ่นพ่าน” พูดพลางหยิบจดหมายหนึ่งฉบับจากในเสื้อส่งให้สืออีเหนียง “คุณชายน้อยหกบอกว่าพอบ่าวกลับมาที่จวนแล้ว เมื่อเจอท่านก็ให้นำจดหมายนี้มอบให้ท่าน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับจดหมายมา
“ถึงท่านแม่ที่เคารพ” ประโยคแรกนับว่าปกติ แต่ประโยคที่สองกลับเริ่มบ่นขึ้นมา “ข้ารู้ว่าเรื่องอันใดก็ปิดบังท่านไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะพูดความจริงกับท่าน! ข้าพบเหมืองเงินแห่งหนึ่งที่นี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะขุดได้ด้วยตัวเองจึงบอกกับยงอ๋อง…”
เขาบอกความเป็นมาเป็นไปอย่างละเอียดกับนาง
บางครั้งการแหวกหญ้าให้งูตื่นก็เป็นวิธีหนึ่ง
สืออีเหนียงมองจดหมายอย่างเงียบเชียบ
ในตอนแรกสามารถผลิตเงินได้สิบสองถึงสิบสามตำลึงต่อวัน แต่ตอนนี้สามารถผลิตเงินได้สี่สิบกว่าตำลึงต่อวัน…ได้ผลประโยชน์ในทุกวัน แล้วจิ่นเกอจะยังอยากจะไปเป็นผู้บัญชาการทหารที่ด่านหุบเขาจยาอวี้อยู่หรือไม่