ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 72 ผลอิงเถา (ปลาย)
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ซานหูและคนอื่นล้วนพากันมองตาค้าง เฝ่ยชุ่ยถึงกับปาดน้ำตา
ลั่วเชี่ยวนึกถึงเรื่องที่ตนเห็นคุณชายสี่ให้เงินคนขับรถม้าเมื่อเช้านี้ขึ้นมา
แต่เวลาเช่นนี้ ใครจะกล้าออกมาช่วยพูดเล่า…
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าจะไปเรียนคุณชายสี่”
ซานหูรีบรั้งนางไว้ “หากคุณชายสี่คิดจะออกหน้าช่วย ก็คงจะช่วยตั้งแต่ตี้จิ่นถูกลากตัวออกมาแล้ว…”
ลั่วเชี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจตามซานหูกลับเรือนไป
แต่เมื่อนอนลงบนเตียงแล้ว กลับพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ
ซานหูที่นอนอยู่ห้องเดียวกันกับนาง ก็ถูกนางรบกวนจนนอนไม่หลับ นางหาวแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าหยุดคิดมากได้แล้ว รีบเข้านอนเถอะ เรื่องนี้มันจบไปแล้ว”
ยิ่งซานหูพูดแบบนี้ ลั่วเชี่ยวก็ยิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่ จึงลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุม เดินไปรินน้ำที่ห้องชั้นนอกโดยอาศัยความสว่างจากแสงจันทร์ นางยืนอยู่ข้างโต๊ะค่อยๆ จิบน้ำทีละคำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลั่วเชี่ยวก็รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างหนาวเย็น จึงหมุนตัวเพื่อจะกลับเข้าห้อง ก็เห็นใต้เม่าเดินขยี้ตาเข้ามาพอดี
“ไอ้หยา!” นางยังสะลึมสะลือไม่ค่อยตื่น จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ลั่วเชี่ยวยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ข้าเอง ลั่วเชี่ยว”
“ที่แท้ก็เป็นพี่ลั่วเชี่ยวนี่เอง” ใต้เม่าถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เจ้าก็ตื่นมาดื่มชาหรือ”
ลั่วเชี่ยวตอบกลับไปว่า “อืม” โดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก นางมองใต้เม่ารินชาอย่างระมัดระวัง จึงนึกขึ้นได้ว่าปกติแล้วนางก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่เคยที่จะพูดมาก จู่ๆ ก็รู้สึกสะดุ้งขึ้นมาทั้งใจ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ใต้เม่า เจ้าเชื่อว่าตี้จิ่นเป็นคนขโมยผลอิงเถาไปกินหรือไม่”
ใต้เม่าอึ้งไปชั่วขณะ
บางทีในใจของนางก็อาจจะกำลังสงสัยเหมือนเช่นลั่วเชี่ยว หรืออาจเป็นเพราะความมืดมิดที่พลอยทำให้จิตใจของผู้คนอ่อนแอหวาดวิตก
นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ปกติแล้วเวลาที่คุณชายสี่มาน้อมทักทายนายหญิงใหญ่ ตี้จิ่นก็มักจะตามมาด้วยเสมอ อย่างอื่นข้าก็ไม่กล้าจะพูด แต่เรื่องขโมยผลอิงเถากินนี้ คงจะเป็นไปไม่ได้กระมัง แล้วยังจะนำผลอิงเถาที่กินไม่หมดไปเก็บไว้ในลิ้นชักเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าจานที่ใช้ใส่ผลอิงเถาเป็นจานกระเบื้องสีขาวนวล…”
จู่ๆ ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
ลั่วเชี่ยวจึงได้เล่าเรื่องที่คุณชายสี่เรียกคนขับรถม้าไปซื้อของให้ใต้เม่าฟัง “…เมื่อก่อนข้าก็เคยได้ยินเขาเล่ากันว่าคุณชายสี่ดีต่อตี้จิ่นมาก เจ้าว่าคุณชายสี่ตั้งใจซื้อมาเพื่อเอาใจตี้จิ่นหรือเปล่า”
“นั่น ไม่ใช่ว่ากำลังเข้าใจตี้จิ่นผิดหรอกหรือ” ใต้เม่ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน
“ข้าอยากจะไปพูดกับคุณชายสี่เสียหน่อย…” ลั่วเชี่ยวยังไม่ยอมล้มเลิกความคิด และอยากที่จะให้ใต้เม่าสนับสนุนด้วย
ใต้เม่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ให้ข้าไปเป็นเพื่อนพี่หญิงดีหรือไม่”
ลั่วเชี่ยวได้ยินแล้วจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ดีที่พักอยู่ในเรือนเดียวกัน ทั้งสองจึงพากันไปเคาะฉลุบานหน้าต่างของห้องหลัวเจิ้นเซิง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงถามกลับมาอย่างระมัดระวังว่า “ใครน่ะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองไวเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดเจนว่าคนในห้องนั้นไม่ได้นอนหลับ
“คุณชายสี่ ลั่วเชี่ยวเองเจ้าค่ะ” ลั่วเชี่ยวยืนอยู่นอกฉลุของบานหน้าต่างพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “บ่าวมีเรื่องจะคุยกับคุณชายสี่เจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอะไร” หลัวเจิ้นเซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “มีเรื่องอะไรค่อยพูดพรุ่งนี้เถิด!”
ลั่วเชี่ยวและใต้เม่าก็ได้หันมาสบตากัน
“ช่วงนี้เป็นช่วงปลายหนาวเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ เกรงว่าตี้จิ่นคงจะทนหนาวไม่ไหว คุณชายสี่คิดหาวิธีส่งผ้านวมกันหนาวให้ตี้จิ่นสักผืนเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” หลัวเจิ้นเซิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
ลั่วเชี่ยวยังยืนอยู่ที่เดิม สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นเข้ากระดูกในค่ำคืนที่มืดมิดของต้นฤดูใบไม้ผลิ
*****
เช้าวันรุ่งขึ้น อู่เหนียงก็ได้ไปคารวะนายหญิงใหญ่พร้อมกับสืออีเหนียง
หลังจากที่วันงานแต่งของอู่เหนียงถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อู่เหนียงก็ดูตกลงปลงใจด้วย หากเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาแล้ว นางดูสนิทสนมและคุ้นเคยกับสืออีเหนียงกว่าเดิมมาก
ทั้งสองเดินเข้าเรือน ป้าสวี่กำลังประคองนายหญิงใหญ่ไปนั่งจิบชาที่เตียงเตา
แม้ว่าภาพฉากนี้จะไม่ได้แตกต่างจากที่เคยเป็น แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าสีหน้าของนายหญิงใหญ่ดูอ่อนล้ากว่าปกติมาก
เมื่อเห็นว่าอู่เหนียงและสืออีเหนียงมาแล้ว นายหญิงใหญ่จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “มากันแล้วหรือ”
“ท่านแม่!” ทั้งสองย่อตัวทำความเคารพนายหญิงใหญ่
“นั่งลงเถิด!” นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย “ทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
“ทานแล้วเจ้าค่ะ” ทั้งสองตอบกลับพร้อมกัน จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเตาของนายหญิงใหญ่
อู่เหนียงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่นอนหลับสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่หันไปมองอู่เหนียงด้วยสายตาที่เย็นชา
อู่เหนียงสับสนงุนงงไปหมด ไม่รู้ว่าตนพูดคำไหนผิดไป
ขณะที่กำลังหวาดวิตกอยู่นั้น ซิวเกอก็เข้ามาพอดี
นายหญิงใหญ่เปลี่ยนจากสีหน้าที่เย็นชาเป็นอ่อนโยนในทันที รอให้ซิวเกอกล่าวทักทายเรียบร้อยแล้ว ก็รีบอุ้มเขาขึ้นมาบนเตียงเตา “เมื่อเช้าทานอะไรไปบ้าง”
ซิวเกอกลับตอบไปว่า “ท่านย่า ผลอิงเถาอร่อยมากขอรับ”
ทุกคนต่างพากันอึ้งไปหมด
คุณนายใหญ่จึงถามซิวเกออย่างระมัดระวังว่า “เราเป็นคนกินผลอิงเถาที่ห้องเอ่อร์ฝังของท่านย่าหรือ”
ซิวเกอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมารดาผิดปกติไป จึงรีบซุกเข้าไปในอ้อมกอดของนายหญิงใหญ่ “ผลอิงเถาของท่านย่าก็อร่อย ที่ท่านแม่ให้มาก็อร่อยขอรับ…”
สีหน้าของคุณนายใหญ่แย่หนักกว่าเก่า “ท่านแม่ ข้าไม่ทราบ…และก็นึกไม่ถึงด้วย…กลับไปแล้วข้าจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดีเจ้าค่ะ”
“พอแล้ว พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย” นายหญิงใหญ่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับมองไปยังหลานชายที่อยู่ในอ้อมแขนของตน “ผลอิงเถาทั้งสวยงามและน่ากิน ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น นับประสาอะไรกับเด็กเล็กเล่า”
“ท่านแม่ สุภาพบุรุษมีสิ่งที่พึงกระทำและไม่ควรกระทำ” สีหน้าของคุณนายใหญ่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “เขาอยากจะทาน หากพูดออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ใครจะไม่ให้เขาทานกันเล่า แต่กลับแอบเข้ามาที่ห้องเอ่อร์ฝังของท่าน…”
นายหญิงใหญ่ฟังแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
คุณนายใหญ่เห็นแล้วก็ได้หยุดพูดไป แล้วจึงหันไปติติงแม่นมของซิวเกอว่า “เจ้าดูแลเด็กอย่างไร มีจานกระเบื้องสีขาวนวลอยู่บนโต๊ะด้วยหรือไม่”
แม่นมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ขลาดกลัวว่า “บ่าว…บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ซิวเกอได้ยินแล้วก็จะลงจากเตียงเตา
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ จึงเข้าไปช่วยอุ้มเขาลงจากเตียงเตา
เขาวิ่งตึงตังไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ดึงลิ้นชักออก แล้วจึงหยิบจานกระเบื้องสีขาวนวลขึ้นมา “พวกเจ้าไม่มีใครหาเจอสักคน”
คุณนายใหญ่โมโหจนตัวสั่นเทาไปหมด แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
นายหญิงใหญ่หัวเราะเบาๆ “ยังเป็นซิวเกอของเราที่ฉลาดที่สุด”
จากนั้นซิวเกอก็หยิบผลอิงเถาออกมาจากลิ้นชักจำนวนหนึ่ง “ข้าเก็บไว้ให้จุนเกอ” เขาเม้มปากยิ้ม แสดงออกด้วยสีหน้าท่าทางที่ภาคภูมิใจ
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินแล้ว ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางลุกขึ้นไปกอดซิวเกอไว้ “เด็กดี เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ” ยังไม่ทันจะพูดจบ น้ำตาก็ไหลพรากออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้
อู่เหนียงและสืออีเหนียงต่างพากันรู้สึกงุนงงไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่านี่คือการแสดงหรืออะไรกันแน่
คุณนายใหญ่จึงรีบปรึกษาหารือนายหญิงใหญ่ว่า “ท่านว่า เรื่องตี้จิ่น…”
ได้ยินคุณนายใหญ่เอ่ยชื่อตี้จิ่นขึ้นมา สีหน้าของอู่เหนียงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นายหญิงใหญ่หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “ให้ป้าหังไปถามดู ผลอิงเถานั้นได้มาจากไหน”
ผลอิงเถาที่นำมาวางขายตามตลาดก่อนเพื่อน ราคาสิบตําลึงต่อหนึ่งชั่ง ช่วงเวลานี้คนทั่วไปคงจะไม่มีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน ความเป็นไปได้ก็มีเพียงหลัวเจิ้นเซิงเท่านั้น มิน่าล่ะเมื่อวานนี้เขาถึงได้มายืมเงินกับตน ตี้จิ่นถูกจับตัวไปเขาถึงไม่กล้าพูดอะไรเลย ซื้อของกลับมาไม่นำไปให้บิดามารดาทานก่อน แต่กลับนำไปให้สาวใช้…
คุณนายใหญ่ก็เข้าใจความหมายของนายหญิงใหญ่ในทันที นางพยักหน้าเล็กน้อย และกำลังจะไปสั่งป้าหัง แต่กลับมีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “นายหญิงใหญ่ ป้าหังมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“ให้นางเข้ามา!” สิ้นเสียงนายหญิงใหญ่ ป้าหังก็ได้เดินเข้ามาในห้อง
เมื่อเห็นอู่เหนียงและสืออีเหนียงอยู่ด้วย นางก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าค่อนข้างลังเลใจ
นายหญิงใหญ่มองเห็นอย่างชัดเจน จึงได้หันไปสั่งอู่เหนียงและสืออีเหนียงว่า “พวกเจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนเถิด!”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงขานรับแล้วจึงพากันถอยออกไป
ป้าหังก็ไปกระซิบข้างหูนายหญิงใหญ่ว่า “ดูเหมือนว่าตี้จิ่นจะมีครรภ์เจ้าค่ะ”
สีหน้าของคุณนายใหญ่เปลี่ยนไปในทันที แล้วจึงหันไปพูดอะไรบางอย่างข้างหูนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่จึงหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นึกไม่ถึงเลย คุณชายสี่ของเราก็มีปัญญากับเขาด้วย ตัวเขาเองรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า”
ป้าหังพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ตี้จิ่นบอกว่ายังไม่ทราบเรื่องเจ้าค่ะ…”
“เช่นนั้นก็ไปบอกเรื่องนี้กับคุณชายสี่ของเราเสีย” สีหน้าและแววตาของนายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ
ซิวเกอเห็นแล้วก็รู้สึกกลัว จึงอุทานว่า “ท่านย่า” ออกมาด้วยความหวาดกลัว
นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นพร้อมกับลูบหัวซิวเกอเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ไปหาพ่อค้าคนกลางมาสักคน”
คุณนายใหญ่หันไปจ้องมองแม่ย่าของตนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
*****
เมื่ออู่เหนียงออกมาจากเรือนของนายหญิงใหญ่แล้ว ก็หันไปบอกกับสืออีเหนียงด้วยความรีบร้อนว่า “ข้าไปดูน้องสี่ก่อน” จากนั้นก็พาจื่อเวยและจื่อย่วนตรงไปยังที่พักของหลัวเจิ้นเซิงทันที
สืออีเหนียงจึงหันไปส่งสายตาให้กับหู่พั่ว จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตนพร้อมกับตงชิง
เพียงไม่นาน หู่พั่วก็กลับมาถึง
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ “เห็นว่าจวนหย่งผิงโหวส่งผลอิงเถามาให้ นายหญิงใหญ่เก็บไว้ให้นายท่านใหญ่หนึ่งจานที่ห้องเอ่อร์ฝัง แต่พอนายท่านใหญ่กลับมา ผลอิงเถากลับหายไป สุดท้ายก็ไปค้นเจอในลิ้นชักของตี้จิ่น นายหญิงใหญ่จึงคิดว่าตี้จิ่นขโมยไปกิน ก็เลยจับนางไปขังไว้ที่โรงเก็บฟืนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ยังดีที่ซิวเกอพูดออกมาเอง มิเช่นนั้นก็คงจะมีคนตายอย่างไม่ยุติธรรมแน่นอน แล้วตี้จิ่นไปได้ผลอิงเถามาจากที่ใดกัน…สองสามวันมานี้ผลอิงเถาเพิ่งจะเริ่มวางขายตามท้องตลาด คงจะยังแพงเอาเรื่อง”
หู่พั่วแสดงสีหน้าค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย “เป็นคุณชายสี่หรือ”
จู่ๆ สืออีเหนียงก็เงียบไป
ก่อนหน้านี้นางเองก็เคยได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเจิ้นเซิงและตี้จิ่นนั้นไม่ธรรมดา…
“นายหญิงใหญ่โมโหเป็นอย่างมาก” หู่พั่วพูดขึ้น “รีบสั่งคุณนายใหญ่ให้ไปหาพ่อค้าคนกลางมา จะขายตี้จิ่นทิ้งเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อครุ่นคิดอีกรอบ ก็รู้สึกว่าถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน แต่ก็สมเหตุสมผลไม่น้อย
ในสายตานายหญิงใหญ่ เวลาที่เหล่าบรรดาคุณชายทำตัวไม่ดี ก็เกรงว่าจะเป็นพวกผู้หญิงเหล่านั้นที่มาหลอกล่อ ล้วนเป็นผู้หญิงเหล่านั้นที่หน้าด้านไร้ยางอาย ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง นึกถึงเถาจือคนที่ถูกคุณนายใหญ่ส่งตัวกลับไปยังบ้านเกิด แค่เพราะไปคุยกับนายท่านใหญ่เพียงไม่กี่คำ ทั้งถูกขู่ฆ่าขู่เข็ญอีกทั้งยังถูกดุด่าทุบตี แค่นี้ก็สามารถมองเห็นจิตใจที่แท้จริงของนายหญิงใหญ่ได้อย่างชัดเจน
นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ตงชิงน้ำตาคลอเบ้า “ตี้จิ่นคนที่ซื่อสัตย์และรอบคอบเช่นนั้น…”
“ซื่อสัตย์รอบคอบจะไปมีประโยชน์อะไร!” หู่พั่วพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างฉุนเฉียว เป็นครั้งแรกที่หู่พั่วพูดจาเกินเลยเช่นนี้ต่อหน้าสืออีเหนียง “คุณชายสี่เป็นบุรุษที่ถนอมน้ำใจและให้เกียรติสตรีเสมอมา สาวใช้รอบตัวเขาหัวเราะคิกคักหยอกล้อเล่นกัน ไม่มีแบ่งแยกขอบเขต ตี้จิ่นเป็นสาวใช้ใหญ่ บางทีว่ากล่าวไปคำสองคำ คุณชายสี่ก็รีบปกป้องสาวใช้เหล่านั้นทันที ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวจะมีลับลมคมในอะไรหรือไม่ อีกอย่างเมื่อคืนตอนที่ตี้จิ่นถูกจับไปขังไว้ในโรงเก็บฟืน หากว่าคุณชายสี่มีใจที่คิดจะปกป้องตี้จิ่น ก็คงจะไปขอร้องวิงวอนต่อนายหญิงใหญ่ตั้งนานแล้ว จะปล่อยให้ผ่านมาตั้งหนึ่งคืน โดยที่ไม่ทำอะไรสักอย่างได้อย่างไรกัน”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
นึกไม่ถึงเลยว่าหู่พั่วจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ก็มีเหตุผลเป็นอย่างมาก!
ตงชิงได้ยินแล้วก็รีบส่ายหน้าทันที “คุณชายสี่เองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน! อย่าว่าแต่จะไปปกป้องใครเลย แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเสียด้วยซ้ำ”
หู่พั่วไม่อยากจะเถียงกับตงชิง
ตงชิงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “น่าเสียดาย ตี้จิ่นอายุไม่น้อยแล้ว ได้ยินมาว่าหากถูกขายจากที่นี่ไป เกรงว่าคงจะ…” ความหมายของประโยคที่เหลือ ก็คือหลังจากที่ตี้จิ่นถูกขายไปแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ใช่ที่ที่ดีเป็นแน่
บรรยากาศในห้องเริ่มอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเหนียงได้ยินแล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจไปหรอก คำพูดของพี่หญิงห้าก็ถือว่าพอมีน้ำหนักกับท่านแม่อยู่บ้าง อีกอย่างตี้จิ่นก็ไม่ได้มีนิสัยใจคอประมาทเลินเล่อ ไม่แน่หากท่านแม่หายโกรธแล้ว เรื่องนี้ก็อาจจะผ่านพ้นไปได้”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนร้องครวญครางอย่างน่าสังเวชใจดังมาแต่ไกล
สีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ในใจล้วนรู้สึกว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของตี้จิ่น
แต่จู่ๆ เสียงเรียกนั้นก็เงียบไป บรรยากาศรอบด้านกลับเข้าสู่ความเงียบเชียบอีกครั้ง
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทุกคนต่างก็รู้สึกใจสั่นไปตามๆ กัน
เวลานั้นเอง บรรยากาศในห้องก็พลันเงียบสนิทดุจผิวน้ำ
เงยหน้าขึ้นมาอีกที ใบหน้าของตงชิงก็เต็มไปด้วยน้ำตา