ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 718 คมดาบ (กลาง)
ถึงแม้จะยังคงมึนหัวอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาต้องไปที่เรือนซิ่วมู่ยามอิ๋น จิ่นเกอก็หลับตาแล้วพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่ง
“อาจิน อาจิน…” เขากุมหัวตัวเองพลางร้องเรียก “รินน้ำเย็นมาให้ข้า…ข้าจะไปเรือนซิ่วมู่”
“เจ้าเป็นเช่นนี้ ยืนยังยืนไม่ตรง แล้วยังจะไปเรือนซิ่วมู่” คนที่ตอบเขาไม่ใช่อาจินที่น้ำเสียงอ่อนโยนและเชื่อฟัง แต่กลับเป็นเสียงที่เจือความโมโหของมารดา
จิ่นเกอตกใจ เขารีบลืมตาขึ้นมาทันที
ถึงแม้จะปวดหัวแค่ไหน แต่เขาก็ฝืนยิ้ม “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
“เจ้ากลับเรือนดึกทุกวัน ข้าก็ต้องมาดูเจ้าบ้าง!” สืออีเหนียงพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ มองอารมณ์ของนางไม่ออก แต่กลับทำให้จิ่นเกอไม่สบายใจ “ท่านแม่ขอรับ วันนี้ค่อนข้างพิเศษ…รองผู้บัญชาการหลินจะไปรับตำแหน่งรองผู้บัญชาการที่เทียนจิงแล้ว ทุกคนจึงดื่มเฉลิมฉลอง…อ้อใช่ ท่านรู้จักรองผู้บัญชาการหลินหรือไม่ขอรับ เขามีนามว่าหลินจวิ้น เป็นคนของค่ายใหญ่ซีซาน บอกว่าเคยเป็นลูกน้องของท่านพ่อ ข้าจึงดื่มกับเขาเยอะหน่อย ปกติข้าก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” สวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่หัวเตียงช่วยพูดแก้ไขสถานการณ์ให้บุตรชายตัวเอง “เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ข้าให้คนนำจดหมายไปให้อาจารย์ผังแล้ว เจ้านอนต่ออีกสักหนึ่งชั่วยามเถิด หลังจากหนึ่งชั่วยามค่อยไปเรือนซิ่วมู่ รีบนอนพักผ่อนเถิด!”
“ท่านพ่อก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือขอรับ!” จิ่นเกอพอเห็นสวีลิ่งอี๋ก็เบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเสียผิดหน่อย ทำไมท่านพ่อและท่านแม่ต้องมาหาเขาด้วยเล่า
เขามองไปที่สืออีเหนียง แล้วก็มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
“คุณชายน้อยหกเจ้าคะ ท่านเมามาก ท่านโหวและฮูหยินเลยเป็นห่วงท่านมากเจ้าค่ะ!” อาจินรีบพูดต่อไปว่า “ฮูหยินรอท่านตั้งแต่ยามบ่ายเมื่อวาน ท่านอาเจียน ฮูหยินช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนน้ำแกงสร่างเมา เฝ้าท่านอยู่ที่หน้าเตียงกับท่านโหว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลยเจ้าค่ะ…”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ!” จิ่นเกอมองสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่ตกตะลึง เขาก้มหน้าลงช้าๆ “ข้า ข้า…” ด้วยท่าทีรู้สึกผิด
“เจ้านอนก่อนเถิด” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ราวกับละอองฝนที่โปรยปราย “มีเรื่องอันใดประเดี๋ยวเราค่อยว่ากัน” จากนั้นก็จับมือสืออีเหนียง “ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง เราไปพักผ่อนกันเถิด!” เขาจับมือนางแน่น ราวกับจะลากนางออกไปให้ได้ แต่กลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างลังเล “ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ต้องใช้ความมานะ ไม่ฝึกวันหนึ่งก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ให้เจ้านอนต่ออีกหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยไปเรือนซิ่วมู่!
เห็นท่าทีของจิ่นเกอตอนนี้ ให้เขาไปเรือนซิ่วมู่คงไม่เหมาะ แต่หากทำให้การเรียนล่าช้าเพราะว่าเมา เช่นนั้นก็ยิ่งไม่เข้าท่า เมื่อเขาคิดว่าการยอมแพ้นั้นง่ายดาย ต่อไปหากเขาเจออุปสรรคที่ต้องเอาชนะ เขาจะเลือกยอมแพ้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อสวีลิ่งอี๋บอกว่าให้จิ่นเกอนอนต่ออีกหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยไปเรือนซิ่วมู่ สืออีเหนียงจึงเห็นด้วยกับเขา นางลุกขึ้นยืน
จิ่นเกอหน้าแดงก่ำ
เขาย้ายออกมาอยู่ลานนอกแล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงตัวเองเช่นนี้ แล้วยังคอยเฝ้าตนที่เมาทั้งคืน…
“ท่านพ่อ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วขอรับ!” จิ่นเกออับอาย เลิกผ้าห่มออกกำลังจะลุกขึ้น “ข้าจะไปเรือนซิ่วมู่ประเดี๋ยวนี้” แต่กลับเซจนเกือบล้มลง
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาฝืน” สวีลิ่งอี๋ประคองจิ่นเกอได้ทันเวลา เขาทำสีหน้าไม่พอใจ “เรื่องที่ควรยอมรับผิดก็ต้องยอมรับผิด เรื่องที่ควรแก้ไขก็ต้องแก้ไข นี่คือการเป็นลูกผู้ชายที่ดี”
จิ่นเกอยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม “ข้ารู้แล้วขอรับท่านพ่อ!” เขายืนอกผายไหล่ผึ่ง
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วตบไหล่เขาเบาๆ จากนั้นก็เดินออกไปกับสืออีเหนียง
ข้างนอกยังมืดอยู่ หลังจากมาถึงโลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงอดหลับอดนอนเช่นนี้ เดินออกมานางก็รู้สึกเวียนหัว สวีลิ่งอี๋ประคองนาง “เป็นอะไรหรือไม่” เขาพูดเบาๆ “วันนี้เจ้านอนที่เรือนหน่วนเก๋อห้องหนังสือลานนอกเถิด!”
ที่นั่นใกล้กับเรือนของจิ่นเกอ
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วไปเรือนหน่วนเก๋อกับสวีลิ่งอี๋
นางเล่าคำพูดที่จิ่นเกอพูดตอนเมาให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ในเมื่อเขาไม่ชอบ ไม่สู้ให้เขารีบกลับไปด่านหุบเขาจยาอวี้เถิดเจ้าค่ะ!”
“หลังวันที่แปดเดือนสี่ค่อยกลับไปดีกว่า!” ไม่ค่อยมีใครมานอนที่เรือนหน่วนเก๋อ ผ้าห่มจึงเต็มไปด้วยกลิ่นไม้การบูร สวีลิ่งอี๋ห่มผ้าให้สืออีเหนียง “ถึงตอนนั้นค่อยไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์กับเขาที่วัด ขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องเขา ให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
“หลังวันที่แปดเดือนสี่ค่อยไปหรือเจ้าคะ…” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ช้าเกินไปหรือไม่ ท่านบอกว่าจะให้จิ่นเกออยู่ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้สองปี หากเป็นเช่นนี้ เขาคงได้อยู่ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้เพียงแค่หนึ่งปีไม่ใช่หรือ”
“เดิมทีก็ไม่ได้อยากให้เขาอยู่ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้นานอยู่แล้ว” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “หนึ่งปีก็หนึ่งปีเถิด! สิ่งที่สำคัญคือเขาจะสามารถอยู่ที่เขตการทหารสามปีได้อย่างราบรื่นหรือไม่”
เห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขา สืออีเหนียงจึงไม่ถามอะไรอีก นางตอบกลับเพียง “เจ้าค่ะ” คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะเกลี้ยกล่อมจิ่นเกอไม่ให้ดื่มสุราอีกอย่างไร จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
*****
หลังจากตื่นขึ้นมา สืออีเหนียงไปหาจิ่นเกอก่อน เขายังไม่กลับมาจากเรือนซิ่วมู่ สืออีเหนียงจึงกลับไปทานอาหารเช้ากับสวีลิ่งอี๋ที่เรือนหน่วนเก๋อ จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน
“เหตุใดจิ่นเกอถึงไม่มากับพวกเจ้า” ไท่ฮูหยินมองมาที่พวกเขาสองคนด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง
“จิ่นเกอต้องไปฝึกมวยทุกเช้า” ฮูหยินสองพูดด้วยยิ้ม “ไม่ได้ฝึกเสร็จเร็วขนาดนี้!”
“ใช่สิ ข้าลืมไปเลย!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างมีความสุข
จิ่นเกอมาแล้ว
สีหน้าของเขาซีดขาว ไท่ฮูหยินสายตาไม่ค่อยดี นางรู้สึกเพียงว่าจิ่นเกอพูดจามีเรี่ยวแรง นางยิ้มแล้วตบมือจิ่นเกอเบาๆ แต่ฮูหยินสองกลับเหลือบมองจิ่นเกออยู่หลายครั้ง
หลังจากออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ก็ถามจิ่นเกอ “ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วขอรับ!” จิ่นเกอฉีกยิ้มอย่างเหยเก
“เจ้าอย่าดูถูกอาการเมาค้าง บางครั้งต้องใช้เวลาตั้งสองสามวันกว่าจะกลับมาเป็นปกติ!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างอ่อนโยน “กลับไปนอนเอาแรงต่อเถิด!”
จิ่นเกอยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องวัยเด็กของตัวเองกับเขา “…เด็กกว่าเจ้าตั้งสองปี สุราที่ท่านลุงโจวของเจ้าขโมยมาจากจวน ข้า ท่านลุงโจวของเจ้าแล้วยังมีซุ่นอ๋อง แอบดื่มอยู่ที่เรือนหน่วนฝังจวนเรา สุดท้ายกลับทำกระถางต้นว่านสิบแสนที่ท่านปู่ของเจ้าเลี้ยงไว้แตก…”
ในขณะที่เขากำลังพูดก็มีบ่าวรับใช้ถือเทียบเชิญสีแดงวิ่งเข้ามา
“ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยหกขอรับ” เขายื่นเทียบเชิญให้จิ่นเกอด้วยความเคารพ “นี่คือเทียบเชิญจากรองผู้บัญชาการหลินแห่งค่ายใหญ่ซีซานขอรับ”
จิ่นเกออ่านเทียบเชิญ จากนั้นก็อธิบายให้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงฟัง “เขาตั้งเรือบนแม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอ เชิญข้าไปดื่มสุราเย็นนี้” จากนั้นก็พูดกับบ่าวรับใช้ “เจ้านำเทียบเชิญไปให้ฉังอาน ให้ฉังอานไปรายงานคนที่มาส่งเทียบเชิญ บอกว่าข้าเมาค้าง รอให้ข้าสร่างก่อนแล้วจะตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป” พูดจบก็ไม่ได้ยื่นเทียบเชิญให้บ่าวรับใช้คนนั้นทันที แต่กลับมองไปที่สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง ราวกับถามพวกเขาว่าทำเช่นนี้ดีหรือไม่
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ สืออีเหนียงก็ทำสีหน้าพอใจ
จิ่นเกอจึงยื่นเทียบเชิญให้บ่าวรับใช้คนนั้น
สวีลิ่งอี๋เตือนจิ่นเกอ “เมื่อพวกเขากำลังเมา ให้ฉังอานนำของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้เขา ถือว่าเป็นของขวัญให้หลินจวิ้น”
จิ่นเกอขานรับ “ขอรับ” อย่างเชื่อฟัง
เติงฮวารีบเดินเข้ามา “ท่านโหว ขันทีในพระราชวังมาขอรับ บอกว่ามาตามพระราชดำรัสของฝ่าบาท”
สวีลิ่งอี๋ออกไปลานนอก
เมื่อกลับมาทานอาหารเที่ยง เขาก็พูดกับสืออีเหนียง “ฝ่าบาทให้ข้าเข้าไปในวังยามซื่อพรุ่งนี้”
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ถาม” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “ยามซื่อคือเวลาใกล้จะเสร็จสิ้นการว่าราชการ คิดว่าคงมีเรื่องอยากจะถามข้าเป็นการส่วนตัว หากข้าถามขันทีคนนั้น พวกเขาก็คงไม่รู้” จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าหยิบชุดเครื่องแบบขุนนางราชสำนักออกมาให้ข้าเถิด!”
สืออีเหนียงขานรับก่อนจะรีดชุดเครื่องแบบขุนนางราชสำนักด้วยตัวเอง วันต่อมาก็ไปส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปก่อนล่วงหน้าหนึ่งชั่วยาม
*****
สวีลิ่งอี๋เคยเข้าไปในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้หลายครั้งแล้ว ขันทีที่รับใช้ในพระตำหนักเฉียนชิงล้วนแต่รู้จักเขา พวกเขาพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ รอฮ่องเต้ออกมาจากราชสำนัก
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีขันทีวิ่งเข้ามา สวีลิ่งอี๋พึ่งจะยืนอยู่หน้าประตู เสลี่ยงของฮ่องเต้ก็มาถึงพอดี
“อิงหวามาแล้วหรือ!” ฮ่องเต้เรียกชื่อทางการของสวีลิ่งอี๋อย่างสนิทสนม จากนั้นก็หันไปตรัสกับเฮ่อกงกง “จัดที่นั่งให้พวกเขาสองคน”
จากนั้นสวีลิ่งอี๋ถึงได้เห็นว่าในบรรดาขันทีที่ล้อมรอบฮ่องเต้ มีขุนนางที่ยืนก้มหน้า สวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดงปักลายนกยูงยืนอยู่คนหนึ่ง
รูปร่างสูงปานกลาง หน้าตาผุดผ่อง ดูราวกับชายมีอายุแต่แววตาคู่นั้นกลับดูเฉียบแหลม แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป
แต่เขาไม่รู้จัก…
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขาอย่างใจกว้าง
ชายคนนั้นก็ยิ้มแล้วพยักหน้าด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
ชายคนนั้นมองแผ่นหลังของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็เดินตามเข้าไป
พวกเขาสองคนเอ่ยขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ
แต่ฮ่องเต้กลับถอดรองเท้า แล้วนั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างตามอำเภอใจ บอกให้ขันทียกชาปี้หลัวชุนมาให้พวกเขา “ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดื่มชาเขียวคลายร้อนกันเถิด” จากนั้นก็ชี้ไปที่คนที่อยู่ข้างสวีลิ่งอี๋แล้วตรัสกับสวีลิ่งอี๋ว่า “นี่คือเฉินปั๋วจือ ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร เจ้าเจอเขาครั้งแรกใช่หรือไม่ เมื่อก่อนเขารับตำแหน่งนายอำเภอที่ฉุนอาน ตอนนั้นน้ำท่วมฉุนอาน เฉินเก๋อเหล่าเป็นคนแนะนำเขา ต่อมาก็ช่วยเราขยายช่องแม่น้ำ เป็นขุนนางคนสำคัญของเรา…”
เฉินปั๋วจือลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าถ่อมตัว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เองก็ลุกขึ้นยืน “ยินดีกับฝ่าบาทที่ได้ขุนนางที่มีความสามารถ” เขาพูดต่อไปว่า “กระหม่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของใต้เท้าเฉินมานานแล้วแต่แค่ไม่เคยมีโอกาสพบกัน วันนี้ได้พบหน้า สมคำร่ำลือจริงๆ เป็นคนมีความสามารถจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่กล้ารับคำชมของหย่งผิงโหว” เฉินปั๋วจือรีบพูด “ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด…”
เขายังพูดไม่จบ ฮ่องเต้ก็ตรัสแทรกขึ้นมา “ในเมื่อเจ้ารู้ แล้วเหตุใดยังปล่อยให้บุตรชายของเจ้าทำร้ายบุตรชายของเฉินปั๋วจือ” พูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ฎีกาบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่มืดมน “นำมาให้หย่งผิงโหวดู”
ฮ่องเต้พิโรธ ใครต่างก็หวาดกลัว
สวีลิ่งอี๋และเฉินปั๋วจือก้มหน้าลง
ขันทีนำฎีกามาให้สวีลิ่งอี๋ด้วยท่าทีสั่นเทา
สวีลิ่งอี๋เอ่ยขอรับโทษ จากนั้นก็ยืนอ่านฎีกาตรงนั้นด้วยท่าทางตื่นตระหนก