ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 717 คมดาบ (ต้น)
สืออีเหนียงคิดว่าจะตามใจจิ่นเกอเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องคุยอะไรกับเขาสักอย่าง
การเสวยสุขกับชีวิตที่เหลวไหล ผู้ใหญ่หลายคนยังต้านทานไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กอายุสิบสามปี
นางไปเรือนชิงหยินจวี
ในลานเงียบสงัด อาจินกำลังแนะนำสาวใช้สองสามคนเย็บปักถักร้อยอยู่ที่ห้องปีกทิศตะวันออก ได้ยินว่าสืออีเหนียงมา นางก็ปล่อยให้สาวใช้สองสามคนอยู่ที่นั่น แล้วรีบออกมาต้อนรับสืออีเหนียง
“จิ่นเกอยังไม่กลับมาอีกหรือ” สืออีเหนียงมองดูท้องฟ้าที่เริ่มมืดแสงลงด้วยความเป็นห่วง
“ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ!” อาจินตอบกลับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เชิญสืออีเหนียงเข้าไปข้างใน
ยกชาและของว่างเข้ามา สืออีเหนียงไล่คนอื่นออกไปก่อนจะพูดคุยกับอาจิน
“ช่วงนี้จิ่นเกอมักจะกลับมายามใด”
“ยามโฉ่วเจ้าค่ะ” อาจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจพูดตามความจริง “บางครั้งก็กลับมาเกือบเช้า ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไปเรือนซิ่วมู่เจ้าค่ะ”
“ดื่มสุราหรือไม่”
“แค่ช่วงสองสามวันนี้มีกลิ่นสุราเจ้าค่ะ…” อาจินตอบกลับอย่างอ้อมค้อม
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องอื่น สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น “บนตัวของเขามีกลิ่นแป้งหรือไม่”
อาจินพยักหน้าเบาๆ
มือที่อยู่บนโต๊ะเตียงเตาของสืออีเหนียงกำแน่น สีหน้าของนางเย็นชาจนน่ากลัว นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าควรทำอะไรก็ไปทำเถิด”
อาจินเดินออกไป
แสงอาทิตย์ค่อยๆ หายลับไป ในห้องค่อยๆ มืดลง
ป้ารับใช้ถือตะกร้าแล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม อาจินพูดบางอย่างกับนางเบาๆ บรรยากาศข้างนอกเงียบสงัด ได้ยินแค่เสียงเปลี่ยนโคมไฟ แขวนโคมไฟ…จากนั้นแสงสีแดงก็สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แสงไฟสีแดงส่องกระทบลงบนโต๊ะและเก้าอี้สีดำสนิท พลอยทำให้บรรยากาศดูอึมครึม
สืออีเหนียงเผลอหลับไปบนหมอนพิงใบใหญ่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ นางก็ตื่นขึ้นมา
ในห้องไม่ได้จุดไฟ บรรยากาศเงียบสงัดแต่กลับมีผ้าห่มห่มอยู่บนตัวนาง
นางขยับตัวก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูเอือมระอาของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นมาในห้อง “ตื่นแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง “ยามใดแล้วเจ้าคะ”
“ใกล้จะยามจื่อแล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ จากนั้นก็เรียกสาวใช้เข้ามาจุดตะเกียง
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเอนตัวพิงหมอน “ข้าอยากนั่งเงียบๆ สักประเดี๋ยว!”
“เช่นนั้นก็ต้องทานอาหาร!” สวีลิ่งอี๋จับมือนาง “ทานเสร็จแล้วเราค่อยรอจิ่นเกอด้วยกัน!”
สืออีเหนียงสะบัดมือสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวรู้เรื่องที่จิ่นเกอออกไปดื่มสุราข้างนอกนานแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เย็นชา “จิ่นเกอยังเด็กแต่กลับรู้จักดื่มสุราแล้ว…” เรื่องอื่นถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วก็กลืนคำนั้นลงไป แต่ในใจของนางกลับรู้สึกไม่สบายใจ “หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วเขาจะไม่เสียคนหรอกหรือ”
“มันไม่ได้รุนแรงเหมือนที่เจ้าพูด” เรื่องที่เกี่ยวของกับจิ่นเกอ สืออีเหนียงมักจะกังวลเป็นพิเศษ สวีลิ่งอี๋เข้าใจ เขายิ้มแล้วเกลี้ยกล่อมสืออีเหนียง “จิ่นเกอไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ รอเขากลับมาแล้วเราค่อยถามเขาดีๆ ก็ได้” พูดจบ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าเขาไม่เด็กแล้ว จะขังเขาอยู่ที่จวนทั้งชีวิตไม่ได้ ให้เขาออกไปเรียนรู้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร”
ในสายตาของสืออีเหนียง บุตรชายของนางพึ่งจะจบการศึกษาระดับประถมศึกษา แต่ในสายตาของสวีลิ่งอี๋ บุตรชายของเขาอีกสองปีก็ควรแต่งงานแล้ว ความคิดที่แตกต่างกันเช่นนี้ ไม่มีใครโน้มน้าวใครได้
สืออีเหนียงเม้มปาก “ข้าตัดสินใจแล้ว รอให้จิ่นเกออายุยี่สิบปีก่อนแล้วค่อยแต่งงาน!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
สืออีเหนียงพูด “ท่านบอกว่าคนที่ฝึกกฝนศิลปะการต่อสู้ภายใน ต้องมีศิลปะการต่อสู้พื้นฐานถึงจะแต่งงานได้ไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังตั้งเงื่อนไขให้จิ่นเกอสามข้อ หากเขาผ่านสามด่านนี้ไม่ได้ก็กลับมาไม่ได้ หากรีบแต่งงาน ภรรยาของเขาก็ไปกับเขาไม่ได้ นับว่าเป็นการทำร้ายคนอื่น” พูดจบ นางก็เริ่มวางแผนในใจแล้วว่าประเดี๋ยวจะเกลี้ยกล่อมจิ่นเกออย่างไร นางยิ้มแล้วพูดอีกว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้เถิด รอให้เขาอายุสิบแปดปีข้าค่อยไปสู่ขอภรรยาให้เขา กำหนดวัน เตรียมงานแต่ง ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี ถึงตอนนั้นจิ่นเกอก็คงจะกลับมาแล้ว จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน!”
แต่งงานตอนอายุยี่สิบปี ถือว่าสายเกินไป
แต่สวีลิ่งอี๋รู้ว่าสืออีเหนียงกำลังโมโห หากเขาพูดคัดค้านนางตอนนี้คงเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลา แต่หากเขาตอบตกลงก็ต้องทำตามสัญญา ฉะนั้นจึงพูดอย่างคลุมเครือ “เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยว่ากันเถิด ตอนนี้เจ้าต้องทานอาหารก่อน รอให้ข้าคิดหาวิธีให้จิ่นเกอกลับไปด่านหุบเขาจยาอวี้แล้ว เราค่อยปรึกษากันก็ไม่สาย!”
คำพูดของเขาทำให้สืออีเหนียงนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
วันที่ไปหาฮองเฮาวันที่หนึ่ง ฮองเฮาถามนางว่า “ค่ายใหญ่ซีซานหรือว่าองครักษ์วังหลวงดีกว่ากัน”
ฮองเฮาไม่มีทางถามเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลแน่นอน เป็นไปได้ที่นางอยากให้จิ่นเกอไปรับตำแหน่งในที่สองที่นั้น หากสำเร็จตามนั้น จิ่นเกอก็ต้องประจำการอยู่ที่เมืองหลวง
นางอยากให้จิ่นเกออยู่กับนาง แต่นางก็อยากให้เขาผ่านการทดสอบของสวีลิ่งอี๋ มีความสามารถในการดูแลตัวเองก่อนแล้วค่อยอยู่ที่เยี่ยนจิงต่อไป
‘มักจะได้ยินญาติๆ บอกว่า สองที่นี้ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่ดีเพคะ’ ถึงแม้ฮองเฮาจะมีเจตนาเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้บอกสืออีเหนียงโดยตรง สืออีเหนียงเลยต้องทำเป็นคล้อยตามคำพูดของนาง ‘เพียงแต่ว่าหม่อมฉันอยู่แต่ในเรือน ไม่ค่อยรู้เรื่องข้างนอก คงต้องขอคำแนะนำจากท่านโหวเพคะ!’
ฮองเฮาพอใจกับคำตอบของสืออีเหนียง นางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปคุยกับองค์หญิงฉังหนิง
ตอนนี้ได้ยินสวีลิ่งอี๋บอกว่าจะคิดหาวิธีส่งจิ่นเกอออกไปจากเมืองหลวง สืออีเหนียงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย “ข้าไม่อยากทาน ท่านโหวกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด ท่านอยู่ที่นี่พวกข้าสองคนแม่ลูกไม่กล้าพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
“รอจิ่นเกอกับทานข้าวขัดแย้งกันอย่างไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “อย่าทรมานตัวเองเหมือนเด็กๆ เลย!”
พวกเขาสองคนล้วนแต่คิดไม่เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องยอมถอยออกมาคนละก้าว สืออีเหนียงทานข้าวต้มชามเล็กไปชามหนึ่ง สวีลิ่งอี๋ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องหนังสือลานนอก
เมื่อถึงยามโฉ่ว นอกประตูมีเสียงการเคลื่อนไหว
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง ภายใต้แสงโคมสีแดงใต้ชายคา นางเห็นฉังอานพยุงจิ่นเกอที่เดินโซซัดโซเซเข้ามา
นางรีบนั่งตัวตรงรอจิ่นเกอเข้ามา
แต่ใครจะรู้ว่ารอตั้งนาน ก็ไม่เห็นเงาของจิ่นเกอ
นางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย
อาจเป็นเพราะอาจินเคยพูดไว้ ไม่มีคนอยู่ในลาน ไม่รู้ว่าฉังอานไปที่ไหน จิ่นเกอนั่งกุมหัวอยู่บนบันไดหน้าห้องหลักคนเดียว อาจินพาสาวใช้เดินเข้าไปนั่งยองๆ พูดอะไรบางอย่างกับเขา นางพูดพร้อมกับเหลือบมองเข้ามาห้องข้างใน
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเสียง
อาจินกำลังหันไปพูดกับสาวใช้ “…เร็วเข้า ไปบิดผ้าเช็ดหน้าเย็นๆ มาเช็ดหน้าคุณชายน้อยหก หากฮูหยินเห็น ฮูหยินคงโมโหมากกว่าเดิม!”
สาวใช้น้อยขานรับแล้วกำลังจะออกไป แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นสืออีเหนียงก็ตัวแข็งค้างอยู่ตรงนั้น
อาจินตระหนักขึ้นได้ทันที นางรีบผลักจิ่นเกอ “คุณชายน้อยหกเจ้าคะ ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ…”
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่พร่ามัว “ท่านแม่…ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ไหน”
สืออีเหนียงโมโห นางเดินเข้าไปจับแขนจิ่นเกอ “เจ้าพึ่งจะอายุแค่นี้แต่หัดดื่มสุราแล้วอย่างนั้นหรือ…”
ยังพูดไม่จบ จิ่นเกอก็กอดสืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ…” เขาออดอ้อนสืออีเหนียงราวกับเด็กน้อย “ข้าปวดหัวขอรับ!”
สืออีเหนียงใจอ่อน แต่เมื่อได้กลิ่นสุราบนตัวของเขา นางก็โมโหอีกครั้ง “เจ้าทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” พูดพร้อมกับผลักตัวจิ่นเกอออก
ดื่มสุรามากเกินไป จิ่นเกอเลยยืนไม่ตรง เขาไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงกับพื้น
สืออีเหนียงเดินเข้าไปดึงเขา “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า พื้นเย็น ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา!” นางถึงได้เห็นว่า จิ่นเกอสวมแค่เสื้อผ้าฝ้ายตัวเดียว เสื้อคลุมบนตัวถอดไปไว้ที่ไหนไม่รู้ นางใช้สองมือออกแรงดึงเขาขึ้นมา “รีบลุกขึ้น!”
แต่จิ่นเกอกลับนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุก
“ท่านแม่ ข้า ข้าอยากกลับด่านหุบเขาจยาอวี้ขอรับ” เขาเงยหน้าขึ้นมองมารดา ไม่รู้ว่ามองอะไร “ข้าไม่ชอบชีวิตเช่นนี้…เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ทำตามอำเภอใจตัวเองไปวันๆ…เสียเวลา…น่าเบื่อ…ข้าอยากกลับด่านหุบเขาจยาอวี้ เดิมพันของข้ากับท่านพ่อยังไม่สำเร็จเลยขอรับ…ขี่ม้าสีขาวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สวมบังเหียนม้าสีทอง มีคนถามว่าข้าเป็นบุตรชายของใคร…” ยังพูดไม่จบก็อาเจียนออกมา
สืออีเหนียงตกใจ
อาจินรีบนั่งยองๆ “คุณชายน้อยหกเจ้าคะ!” นางไม่สนใจกลิ่นอาเจียนของจิ่นเกอ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากให้เขา
“จิ่นเกอ!” สืออีเหนียงนั่งยองๆ แล้วลูบหลังเขาเบาๆ
จิ่นเกออาเจียนออกมาอีกครั้ง
ฉังอานยกชามน้ำแกงใบใหญ่เดินเข้ามา
“น้ำแกงสร่างเมามาแล้วขอรับ!” พูดพลางสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ นำชามน้ำแกงยัดใส่มือสาวใช้น้อยแล้วพูดว่า “ฮูหยินขอรับ ท่านไม่ต้องห่วง ให้คุณชายน้อยหกอาเจียนออกมาให้หมดประเดี๋ยวก็ดีขึ้นขอรับ ล้วนแต่เป็นความผิดของใต้เท้าเซี่ยคนนั้น เชิญรองผู้บัญชาการหลินแห่งค่ายใหญ่ซีซานไปด้วย รองผู้บัญชาการหลินบอกว่าเคยเป็นลูกน้องท่านโหว จะให้คุณชายน้อยหกดื่มสุราให้ได้ หากไม่ดื่มเขาก็บอกว่าคุณชายน้อยหกดูถูกเขา คุณชายน้อยหกจึงต้องดื่มขอรับ…”
ขณะที่เขากำลังเล่าให้ฟัง จิ่นเกอก็อาเจียนเสร็จแล้ว เขาเอนตัวพิงประตูแล้วหลับตาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
“ฮูหยิน ให้บ่าวเป็นคนพยุงคุณชายน้อยหกกลับเรือนดีกว่าขอรับ” ฉังอานพูดแล้วนั่งลง รอให้สืออีเหนียงออกคำสั่ง
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที นางพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ฉังอานพยุงจิ่นเกอไปวางบนเตียงแล้วหันไปพูดกับอาจิน “ไปนำถาดมา ดูท่าทีแล้ว ประเดี๋ยวคงจะอาเจียนอีกครั้ง” เขาพูดต่ออีกว่า “นำน้ำเปล่ามาให้คุณชายน้อยหกล้างปาก คุณชายน้อยหกจะได้สบายตัว เรียกสาวใช้สองสามคนเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณชายน้อยหก จุดธูปหอมร้อยบุหงาไล่กลิ่นอาเจียน…” เขาคิดได้อย่างรอบคอบมาก
อาจินตอบรับ กำลังจะเดินออกป สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
“ดื่มมากเกินไปหรือ” เขานั่งลงบนเตียง
ฉังอานรีบถอยออกไปข้างๆ
“ไม่ใช่แค่ดื่มมากเกินไป!” สืออีเหนียงมองดูบุตรชายที่จับหน้าอกตัวเองแล้วถอนหายใจ “แต่ดื่มจนเมาเจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ลูกผู้ชายก็ต้องมีเมากันบ้าง เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจัดการเอง” พูดจบ ก็เห็นจิ่นเกอพยายามลุกขึ้น สวีลิ่งอี๋รีบพยุงเขาลุกขึ้น จิ่นเกออาเจียนอีกครั้ง
“ไปพักผ่อนเถิด” สวีลิ่งอี๋บอกสืออีเหนียง “ระวังเหม็นกลิ่นอาเจียน!”
สืออีเหนียงจะนอนหลับลงได้ที่ไหน
ทุกห้องของเรือนชิงหยินจวีจุดไฟสว่างไสวอีกครั้ง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามถึงค่อยๆ มืดลง