ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 705 ทิศทาง (ต้น)
หลังจากที่จิ่นเกอออกเดินทางแล้ว สืออีเหนียงก็รู้สึกหดหู่ใจและเศร้าหมองขึ้นมาทันที จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่ท่าทีเหม่อลอย สวีซื่อจุนได้เชิญช่างทองเข้าจวนมาทำเครื่องประดับ สืออีเหนียงสั่งทำแค่กำไลทองคำที่สลักลายหรูอี้เพียงหนึ่งคู่เท่านั้น อิงเหนียงเป็นเจ้าสาวใหม่ เครื่องประดับที่เป็นสินเดิมไม่ใช่แค่ทองคำใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นลวดลายแบบใหม่อีกด้วย สืออีเหนียงกลับเลือกที่จะใช้เงินส่วนตัวทำแหวนทองสองวงและต่างหูทองสองคู่ให้อิงเหนียงแทน เมื่อถึงวันมงคลสมรส สืออีเหนียงก็พาเจียงซื่อและอิงเหนียงไปร่วมงานด้วยกัน
เจียงซื่อค่อนข้างคุ้นเคยกับแขกคนอื่นๆ พอสมควร จึงสามารถพูดคุยได้อย่างสนิทสนม แต่อิงเหนียงออกงานเป็นครั้งแรก จึงเอาแต่เกาะแขนของสืออีเหนียงไว้ไม่ยอมห่าง ตอนแรกก็ยังตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก แต่หลังจากที่ได้เจอะเจอผู้คนแล้ว นางก็ดูนิ่งมากขึ้น สืออีเหนียงถูกอดีตคุณนายใหญ่สกุลหลินและเวยเป่ยโหวฮูหยินคนปัจจุบันเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่ห้องปีกของเรือนหลัก อิงเหนียงก็ตามไปคอยช่วยรินน้ำชาอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
คุณนายสามสกุลหวงทอดสายตามองไปยังฮูหยินของจงฉินปั๋วซื่อจื่อและคุณนายน้อยใหญ่จงซานโหวสกุลถังที่กำลังพูดคุยกับเจียงซื่อนอกหน้าต่างนั่น ก็ยิ้มพลางชี้ให้สืออีเหนียงดู “เหมือนพวกเราตอนสมัยก่อนโน้นหรือไม่”
คนที่อยู่ในเรือนต่างก็พากันมองไปยังทิศทางที่คุณนายสามสกุลหวงชี้
ฮูหยินของจงฉินปั๋วซื่อจื่อสวมชุดเป้ยจื่อลายดอกไม้สีเขียว ประดับผมด้วยเครื่องประดับไข่มุก ดูเรียบง่ายและสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าไม่เห็นว่าจะเหมือนท่านตรงไหนเลย” คุณนายสี่สกุลถังยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “มีแต่ฮูหยินของจงฉินปั๋วซื่อจื่อที่ดูแล้วคล้ายกับฮูหยินสี่สกุลสวีในสมัยนั้นอยู่บ้าง”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเบา
คุณนายสามสกุลหวงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เวลาล่วงเลยผ่านไปเร็วเสียจริง ตอนนั้นเรายังพากันยืนพูดคุยที่ใต้ชายคาอยู่เลย ตอนนี้ต้องพากันมานั่งอยู่ในเรือนแทนเสียแล้ว!”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ข้าไม่เคยไปยืนอยู่ใต้ชายคาเลยสักครั้ง อย่าเหมารวมข้าเข้าไปในเรื่องของเจ้าด้วย”
ทุกคนที่อยู่ในเรือนต่างก็พากันหัวเราะด้วยความตลกขบขัน
หลังจากที่กลับไปถึงจวนแล้วก็เห็นสวีลิ่งอี๋กำลังนั่งพิงที่หัวเตียงพร้อมกับอ่านจดหมายในมืออยู่
“ของจิ่นเกอ” เขาชูจดหมายในมือขึ้นเล็กน้อย สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รีบปรี่เข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียงด้วยความตื่นเต้นทันที “เขาว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็ผุดยิ้มขึ้น สืออีเหนียงแทบจะไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ
จดหมายถูกส่งมาจากเขตเซวียนถง แม้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นจะค่อนข้างสั้น แต่ทว่าเรื่องเครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการเดินทาง ปัจจัยทั้งสี่ประการนี้กลับถูกอธิบายอย่างชัดเจน
เมื่อรู้ว่าจิ่นเกอเดินทางปลอดภัยดี จิตใจของสืออีเหนียงพลันรู้สึกสงบลงไม่น้อย แต่ก็ยังคงอ่านแล้วอ่านอีก ถึงจะยอมวางจดหมายลง
“อย่ากังวลใจไปเลย” สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นมาโอบกอดสืออีเหนียง “จิ่นเกอสบายดี อีกสิบกว่าวันเขาก็จะเดินทางถึงด่านหุบเขาจยาอวี้แล้ว!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเวลาผ่านไปราวสิบกว่าวัน จิ่นเกอก็ได้ส่งจดหมายกลับมาอีกครั้ง เขาบอกเล่าถึงเรื่องราวว่าหลังจากไปถึงด่านหุบเขาจยาอวี้แล้ว เขาเข้าไปเยี่ยมเยียนผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้อย่างไร ผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้พูดอะไรกับเขาบ้าง ส่งเขาไปที่เขตการทหารไหน พักอยู่ตรงไหน สถานที่พักกว้างใหญ่แค่ไหน เขาบรรจงเขียนทุกรายละเอียดอย่างชัดเจน
เพราะว่าหยุดพัก สืออีเหนียงก็เลยได้เขียนจดหมายส่งไปให้จิ่นเกอ และยังได้ส่งคนไปรายงานความปลอดภัยให้กับปินจวี๋อีกด้วย
ผ่านไปไม่กี่วัน จิ่นเกอไม่เพียงแต่ส่งจดหมายกลับมาเท่านั้น แต่เขายังได้ให้คนนำเสื้อผ้าชาวหูและองุ่นอบแห้งกลับมาด้วย บอกว่าเสื้อผ้าชาวหูที่ส่งกลับมานั้นมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับสืออีเหนียง ส่วนองุ่นอบแห้งและลูกเหมยนั้นเอาไว้ให้ทุกคนฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง
สืออีเหนียงดีใจเป็นอย่างมาก ยังได้ลองสวมใส่ชุดชาวหูให้สวีลิ่งอี๋และอิงเหนียงดูเป็นการส่วนตัวอีกด้วย จากนั้นก็เอาองุ่นอบแห้งใส่ลงไปในกล่องไม้ที่สีสันสวยงาม แจกจ่ายให้ทุกจวนอย่างทั่วถึง กานไท่ฮูหยินมอบรองเท้าถุงเท้าให้เป็นของตอบแทนน้ำใจ ส่วนเฉาเอ๋อร์ก็ได้ทำเสื้อผ้ามาให้หนึ่งชุด “…หากมีคนไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ ก็จะเอาไปพร้อมกันทีเดียว” สืออีเหนียงเขียนจดหมายด้วยความตื่นเต้น ก่อนถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็ได้เขียนจดหมายไปเล่าให้จิ่นเกอฟังว่าที่จวนได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองแบบไหน หลังผ่านเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างไปแล้ว ก็ได้เขียนจดหมายไปเล่าให้เขาฟังว่างานเลี้ยงฉลองเป็นอย่างไรบ้าง ทุกห้าวันจะเขียนจดหมายส่งไปหนึ่งฉบับ ไม่ว่าจิ่นเกอจะตอบจดหมายกลับมาหรือไม่ นางก็ยังคงสั่งให้คนคอยส่งจดหมายไปยังด่านหุบเขาจยาอวี้โดยที่ไม่ลดละแม้แต่นิดเดียว
สิบวันจิ่นเกอจะตอบจดหมายกลับมาหนึ่งฉบับ เริ่มแรกก็เป็นแค่การรายงานความปลอดภัยทั่วไปเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มเล่าเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนหรือเรื่องที่เขตการทหารให้สืออีเหนียงฟังบ้าง
เมื่อถึงกลางเดือนหก อิงเหนียงก็ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์
ทุกคนในครอบครัวต่างก็พากันดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึงนี้ เวลานี้ เพราะหลัวเจิ้นซิ่งปกครองอำเภอได้ดี จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเขตเหมี่ยนหยางโจว
“…ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีภัยพิบัติทางน้ำและมีคุณภาพดินที่ย่ำแย่ แต่โชคดีที่มาจากผู้ว่าการเขตระดับห้า” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่กี่ปีก็จะสามารถย้ายไปประจำการในเขตที่อุดมสมบูรณ์กว่า เลื่อนตำแหน่งเป็นฝ่ายปกครองมณฑลถงจือหรือตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลไม่ช้าก็เร็ว”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงย่อมต้องดีใจแทนหลัวเจิ้นซิ่งอยู่แล้ว
คนในจวนปฏิบัติต่ออิงเหนียงแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่อิงเหนียงกลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด ในทุกๆ เช้าหลังจากที่นางไปคารวะสืออีเหนียงเสร็จแล้ว นางก็จะไปดูแลและตัดแต่งดอกไม้ที่เรือนหน่วนฝังหลังสวนดอกไม้กับสะใภ้จี้ถิง หลังจากที่สืออีเหนียงตื่นจากนอนกลางวันแล้ว จึงค่อยไปคุยเล่น เย็บปักถักร้อยหรือเดินเล่นกับสืออีเหนียง ตกค่ำก็อยู่ทานอาหารค่ำที่เรือนของสืออีเหนียง จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน หลังจากที่เดินไปส่งสืออีเหนียงที่เรือนแล้ว นางจึงค่อยกลับไปยังที่พักของตนเอง
เดิมทีสืออีเหนียงอยากจะให้อิงเหนียงหยุดปรนนิบัติเช้าเย็นได้แล้ว แต่เมื่อเห็นสวีซื่อเจี้ยเดินมาเป็นเพื่อนนางในทุกๆ เช้า ตกค่ำก็เดินกลับเป็นเพื่อนอิงเหนียง ก็เลยกลืนคำพูดลงคอไป
หลังจากที่จิ่นเกอรู้ว่าตัวเองใกล้จะได้เป็นอาแล้ว ก็ได้ส่งหยกเหอเถียนที่สลักด้วยคำว่า ‘สมดังใจปรารถนา’ กลับไปที่จวน ในจดหมายยังทายด้วยว่าจะได้หลายชายหรือว่าหลานสาว หากได้หลานสาวจะตั้งชื่อว่าอะไร และหากว่าได้หลานชายจะตั้งชื่อว่าอะไร
สืออีเหนียงเห็นว่าจดหมายที่เขาเขียนมานั้นท่วมท้นไปด้วยความดีอกดีใจ จึงรับรู้ได้ว่าเขาผ่านช่วงปรับตัวในระยะแรกได้แล้ว ในใจก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก พูดคุยหัวเราะกับอิงเหนียงถึงความตลกของเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสื้อกันหนาวไปให้เขา
แต่บรรยากาศความสุขเช่นนี้ไม่ได้ยืดยาวสักเท่าไรนัก ช่วงเดือนสิบ ทางฝั่งของด่านหุบเขาจยาอวี้ก็ได้เกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง ทว่าจดหมายที่จิ่นเกอส่งมานั้นกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย แต่จิ่นเกออยู่ที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ แน่นอนว่าทุกคนจะต้องติดตามข่าวคราวของด่านหุบเขาจยาอวี้เป็นการพิเศษอยู่แล้ว หากฝ่ายรายงานได้รับข่าวสาร สืออีเหนียงก็จะรู้เรื่องทันที
นางร้อนใจราวกับว่าไฟกำลังสุมอยู่ในอกก็ไม่ปาน “ถึงแม้จะบอกว่าสงครามมีแพ้มีชนะ แต่ถึงอย่างไรก็พ่ายแพ้เสียส่วนมาก ชนะเป็นส่วนน้อย!”
“ไม่เป็นไรหรอก” สวีลิ่งอี๋ปลอบใจนาง “ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เขตการทหารที่จิ่นเกออยู่นั้นคือส่วนหลังสุด ค่อนข้างห่างไกลและทุรกันดาร หากไม่ใช่การโจมตีครั้งใหญ่ ไม่มีทางที่จะรุกรานไปถึงที่นั่น และข้าเองก็ได้ส่งคนไปถามกับทางกรมกลาโหมเรียบร้อยแล้ว เขตพื้นที่ที่เขาอยู่นั้นไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขายังรับประกันอีกว่า “หากทางนั้นมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็จะมีคนมารายงานข่าวกับข้าทันที”
สืออีเหนียงยังคงรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่ดี
จดหมายของจิ่นเกอถูกส่งมาถึงแล้ว
จดหมายที่ส่งมาให้สืออีเหนียงนั้นก็ยังเป็นจดหมายที่คอยรายงานความปลอดภัยเหมือนเช่นเดิม แต่จดหมายที่เขียนให้กับสวีลิ่งอี๋นั้นกลับเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับสงครามในครั้งนี้ เขาพูดถึงสาเหตุของการพ่ายแพ้สงครามในครั้งนี้ด้วยความไม่พอใจ และโยนความผิดทั้งหมดให้กับผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้
สืออีเหนียงขมวดคิ้วแน่น “จิ่นเกอกลายเป็นคนหัวรุนแรงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน โชคดีที่ท่านว่างงานอยู่จวน หากท่านยังดำรงตำแหน่งอยู่ที่กองทัพทหารแห่งเหล่าทัพทั้งห้า แล้วได้ฟังคำพูดเช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าตำแหน่งของผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้คงจะต้องสั่นคลอนเป็นแน่แท้”
“เด็กหนุ่มที่กำลังฮึกเหิมและเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง การที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “หากเขารู้จักแต่การยกยอปอปั้นผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ เช่นนั้นข้าก็คงจะต้องเป็นกังวลแล้ว” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “แต่คำพูดของเขาก็ไม่ได้ไร้ซึ่งเหตุผลไปเสียหมด ตอนผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้เดินทัพออกสำรวจทางทิศตะวันตก ดูแลเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้า เพราะเป็นคนนิสัยสุขุม ดังนั้นจึงได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ จิ่นเกอบอกว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดอ่อนแอไม่เด็ดขาด แม้ว่าจะไม่เหมาะสม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเลย” สวีลิ่งอี๋พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องตำราแต่เลือกที่จะใช้ห้องปลายสุดทิศตะวันออก สถานที่ที่สืออีเหนียงใช้อ่านหนังสือตำรามาเขียนจดหมายตอบกลับจิ่นเกอแทน
สืออีเหนียงช่วยฝนหมึกอยู่ข้างๆ
สวีลิ่งอี๋บอกมุมมองความคิดทางด้านสงครามของตนเองให้จิ่นเกอฟัง และยังแนะนำให้จิ่นเกอทำความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามร้อยปีของด่านหุบเขาจยาอวี้อีกด้วย จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ว่าเหตุใดบางครั้งถึงแพ้สงคราม และเหตุใดบางครั้งถึงได้ชนะสงคราม
แม้ว่าจิ่นเกอยังคงเป็นเหมือนเช่นเมื่อก่อน ทุกๆ สิบวันก็จะเขียนจดหมายมาหาสืออีเหนียงหนึ่งฉบับ แต่เวลาผ่านไปราวยี่สิบกว่าวัน เขาถึงพึ่งจะตอบกลับจดหมายของสวีลิ่งอี๋ จิ่นเกอได้เขียนแจกแจงเกี่ยวกับสงครามร้อยปีของด่านหุบเขาจยาอวี้หนึ่งรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นก็พูดถึงมุมมองความคิดของตัวเอง จดหมายมีทั้งหมดสี่สิบกว่าหน้าเห็นจะได้ ต้องแบ่งใส่ซองจดหมายอยู่หลายซอง
สวีลิ่งอี๋ก็ได้เขียนจดหมายบอกมุมมองความคิดของตัวเองให้กับจิ่นเกอเช่นกัน
สองพ่อลูกเขียนจดหมายส่งกันไปมา พูดคุยถึงเรื่องการใช้กองกำลังทหาร เมื่อวันก่อนเพิ่งจะได้รับจดหมายหนึ่งฉบับจากจิ่นเกอ วันต่อมาก็ได้รับอีกหนึ่งฉบับ เป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ
คนในจวนไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋กำลังคุยอะไรกับจิ่นเกอ รู้เพียงแต่ว่าจดหมายแต่ละฉบับที่ส่งไปกลับนั้นห่างกันเพียงสองถึงสามวันเท่านั้น จนมีคนพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ใช้ม้าเร็วหกร้อยลี้ส่งไปกลับเช่นนี้ หมดเงินไปเท่าไรแล้ว!”
“ไม่ได้จ่ายด้วยเงินของเจ้าเสียหน่อย!” มีคนพูดด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ “ท่านโหวไม่ได้รู้สึกเสียดาย แล้วเจ้าจะปวดใจแทนไปทำไมกัน นี่แหละหนาที่เขาว่ากันว่า ‘ฮ่องเต้ไม่ได้ร้อนพระทัย แต่ขันทีอกแตกตายไปเสียก่อน’”
ผู้คนมากมายต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังด้วยความตลกขบขัน
ผู้ดูแลจ้าวของฝ่ายรายงานได้ตรงเข้าไปขอเข้าพบสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
สืออีเหนียงพลันนึกถึงจิ่นเกอขึ้นมาทันที…
นางจึงรีบตรงไปยังห้องตำราด้วยความเร่งรีบ
ผู้ดูแลจ้าวคารวะนางด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็รีบถอยออกจากห้องตำราทันที
“เจ้าอย่าเป็นกังวลใจจนเกินไป!” ยังไม่ทันที่สืออีเหนียงจะได้พูดอะไร สวีลิ่งอี๋ก็พูดตัดบทนางก่อน “ไม่ใช่เรื่องของจิ่นเกอ” พูดจบเขาก็เดินเข้าใกล้สืออีเหนียงพลางกระซิบเสียงเบาว่า “เป็นเรื่องของฉังซุ่น”
“ฉังซุ่น?” สืออีเหนียงหน้าซีดขึ้นมาทันใด “เกิดอะไรขึ้นกับฉังซุ่นหรือเจ้าคะ”
ตอนที่หลี่จี้ได้รับหนังสือแจ้งการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการที่มณฑลฝูเจี้ยน ได้มีคนเอ่ยถึงหลี่จงบิดาของเขาว่าหลี่จงได้รับโทษหนักหนาสาหัสจนเกินไป ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็ทรงพิโรธเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเฉินเก๋อเหล่าช่วยออกหน้าพูด เกรงว่าป่านนี้หลี่จี้ก็ยังไม่ได้สวมหมวกขุนนางเสียด้วยซ้ำ
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงไปคุยกันที่ห้องหน่วนเก๋อหลังห้องตำรา “สกุลหวังส่งคนมา ทางนั้นอยากจะรับตัวฉังซุ่นไปที่เขตเหลียวตง”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ “ตระกูลของเขายังมีคนหลงเหลืออยู่อีกหรือ ซ้ำจะพาตัวฉังซุ่นกลับอีก เป็นการแอบอ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ใช่การแอบอ้างแต่อย่างใด!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “เรื่องนี้มีเพียงข้ากับคนสกุลหวังเท่านั้นที่รู้ คนที่จะมารับตัวฉังซุ่นนั้นข้าเองก็รู้จัก อีกทั้งยังได้เอาหลักฐานของปีนั้นมายืนยันอีกด้วย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ข้าจะไม่ได้ติดต่อกับคนสกุลหวังเลย แต่ก็ยังคอยติดตามข่าวสารของสกุลหวังอยู่เสมอ พวกเขาถูกเนรเทศไปยังเขตเหลียวตง ท่านอาของหวังจิ่วเป่าก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง อยู่ที่นั่นยังไม่ถึงสองปีก็สามารถตีสนิทกับทางเขตการทหารได้แล้ว เข้าไปทำเหมืองไข่มุกที่เขตเหลียวตง ช่วยคนของเขตการทหารขนย้ายสินค้าเถื่อน ไม่เพียงแต่สามารถหาเงินก้อนใหญ่ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถบุกเบิกสังคมแวดวงได้อีกด้วย เพียงแต่พวกเขารีบอพยพจากมณฑลฝูเจี้ยนไปยังเขตเหลียวตงอย่างกะทันหัน จึงลำบากตลอดเส้นทาง หลังจากที่ไปถึงเขตเหลียวตงแล้วก็เกิดการไม่คุ้นชินกับสภาพดินฟ้าอากาศของที่นั่น เด็กๆ ก็พากันล้มป่วยจนเสียชีวิตไปหมด ตอนนี้ฉังซุ่นเป็นเพียงทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อสกุลหวังสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแล้ว พวกเขาอยากที่จะรับตัวฉังซุ่นหวนคืนสู่ต้นตระกูลก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
“หากสามารถกลับไปได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าสกุลหวังลงหลักปักฐานที่เขตเหลียวตงได้มั่นคงแล้วหรือยัง ผู้คนจะยังหยิบยกเรื่องของสกุลหวังขึ้นมาพูดถึงอีกหรือไม่ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะต้องรับประกันความปลอดภัยของเขาให้ได้”
เด็กน้อยค่อยๆ เติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของนาง แล้วนางจะไม่มีความรู้สึกได้อย่างไรกันเล่า!
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “แต่ข้าคิดว่าในเมื่อตอนนี้สกุลหวังต้องการที่จะรับตัวฉังซุ่นกลับไป ทางนั้นก็คงจะต้องสามารถรักษาความปลอดภัยของฉังซุ่นได้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้น หากฉังซุ่นเป็นอะไรขึ้นมา สกุลหวังก็คงจะสิ้นสายเลือดสืบสกุลเป็นแน่แท้”
สิ้นสายเลือดสืบสกุลถือเป็นเรื่องใหญ่มหันต์
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็จำเป็นต้องสร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่ จึงอาศัยตอนที่จะส่งของให้กับจิ่นเกอ แล้วให้คนของสกุลหวังที่จะรับตัวเด็กติดตามไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ด้วย…
ตอนเทศกาลฤดูหนาวก็มีข่าวส่งมาจากด่านหุบเขาจยาอวี้ ว่าฉังซุ่นไม่ชินกับสภาพฟ้าอากาศ จู่ๆ ก็ล้มป่วยจนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
ถึงแม้ว่าปินจวี๋จะรู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ
“ไม่รู้ว่าโตขึ้นแล้วจะจำบ่าวได้อยู่หรือไม่”
“จำได้สิ!” สืออีเหนียงกุมมือของนางไว้ “เจ้าดีกับเขาขนาดนั้น เขาจะต้องจำเจ้าได้อย่างแน่นอน”
“บ่าวเองก็ไม่ได้อยากจะให้เขาจำบ่าวได้เจ้าค่ะ” ปินจวี๋พูดขึ้นด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า “บ่าวเพียงแต่กลัวว่าเขาจะลำบาก ยากจนก็มีข้อดีในตัวของมันเอง ร่ำรวยก็มีความเสี่ยงในตัวของมันเองเช่นกัน”
คำพูดนี้มีเหตุผล
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ