ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 703 ฝึกฝน (กลาง)
สวีลิ่งอี๋พูดเงื่อนไขทั้งสามข้อให้เขาฟัง
จิ่นเกอพิจารณาและไตร่ตรองด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ห้ามเปิดเผยฐานะตัวตน เช่นนั้นก็เท่ากับว่าไม่สามารถพาผู้ติดตามไปด้วย แต่ข้าคนเดียวจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรกัน!”
“สำเร็จได้สิ ตอนเจ้าไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ เจ้าสามารถพาอาจารย์ผังและคนอื่นๆ ไปได้” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “แต่ทว่า พาไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น ภายในสองปีนี้ เจ้าจะต้องใคร่ครวญและไตร่ตรองให้ดีว่าจะพาใครไปกับเจ้าด้วย”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ สีหน้าดูจริงจังเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “สามปีจะต้องเปลี่ยนเขตการทหารหนึ่งครั้ง แล้วจะต้องเปลี่ยนทั้งหมดกี่เขตหรือขอรับ”
“สามเขตการทหาร” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “ในเมื่อได้สัมผัสทะเลทรายสีทองที่ฟุ้งกระจายไปด้วยฝุ่นทราย ก็ควรจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหมื่นขุนเขาด้วย ด่านสุดท้ายอยู่ที่หูก่วง”
ที่หูก่วงมีชนเผ่าเหมียว
จิ่นเกอยกมือขึ้นมานับนิ้ว “ตั้งสิบเอ็ดปีเชียวหรือ”
“เป็นอะไรไป เจ้ารู้สึกว่ามันนานเกินไปหรืออย่างไรกัน” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ข้ายังรู้สึกว่ามันน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ กำลังชั่งใจอยู่เลย ว่าหลังจากที่เจ้าย้ายจนครบสามเขตการทหารแล้ว ก็จะให้เจ้าไปเป็นเจ้าหน้าที่สารบรรณชั่วคราวที่กองทัพทหารแห่งเหล่าทัพทั้งห้า! แค่ยืนให้สูงพอก็จะสามารถมองได้กว้างขวางและยาวไกลยิ่งขึ้น จึงจะสามารถล่วงรู้ได้ว่าเบื้องล่างเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อได้เห็นมุมมองของสถานการณ์โดยรวมแล้ว เวลาที่เจ้าอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้น เจ้าก็จะไม่หลงทิศทางโดยง่าย”
จิ่นเกอห่อไหล่ด้วยความท้อใจ “เช่นนั้น…จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะสามารถเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารได้หรือขอรับ”
“ดูจากสิ่งที่เจ้ารังสรรค์” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “อย่างน้อยใช้เวลาสิบห้าถึงสิบหกปี อย่างมากก็อาจจะใช้เวลายี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี” จากนั้นก็พูดสอนจิ่นเกอว่า “จิ่นเกอ การที่เจ้าอยากจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารนั้นถือเป็นปณิธานที่ดี แต่ตัวเจ้าเองต้องรู้ว่าสามารถที่จะทำมันได้หรือไม่ ก็เหมือนกับเจ้ามีกำลังแรงเพียงแค่ห้าสิบชั่ง แต่กลับไปพยายามยกหินที่หนักร้อยชั่ง ตอนแรกๆ อาจจะยังฝืนแบกไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายก็จะปล่อยมือในที่สุด หากเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ก็จะหาวิธีกระทุ้งหินก้อนนั้นให้แตก แต่หากพลาดพลั้งไม่ระวังไปแม้แต่นิดเดียว เศษก้อนหินก็อาจจะหล่นลงมาทับเท้าของตัวเองก็เป็นได้ ควรจะต้องคิดพิจารณาและไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน”
จิ่นเกอหัวเราะด้วยความชอบใจ “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ดันทุรังไปทำเรื่องลำบากตนเองเพื่อเอาหน้าอย่างแน่นอนขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
บุตรชายไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำว่าจะต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหน เห็นได้ชัดว่าจิ่นเกอกำลังต่อรองกับเขา แต่เขาก็ยังตกหลุมพรางจนได้ เป็นเขาเองที่ไปกังวลเกินกว่าเหตุเสียมากกว่า
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็ได้ถามจิ่นเกอว่า “เจ้ามีอะไรจะถามหรือไม่”
“มีขอรับ” จิ่นเกอรีบตอบกลับด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น “ทุกๆ เขตการทหารที่ต้องเลื่อนขั้นอย่างน้อยหนึ่งตำแหน่ง แล้วตำแหน่งเฝ้าประตูใหญ่และตำแหน่งเฝ้าห้องเก็บของนับหรือไม่ขอรับ”
“ไม่นับ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับตอบกลับ “อย่างน้อยๆ ก็ต้องตำแหน่งจำพวกองครักษ์ถือธง” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เจ้าคิดมาได้อย่างไร ถึงขั้นจะไปเฝ้าประตูใหญ่ ไปเฝ้าห้องเก็บของ สถานที่เหล่านี้ล้วนมีไว้เพื่อทหารที่ร่างกายอ่อนแอและผู้ทุพพลภาพเท่านั้น”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็หัวเราะพลางลูบศีรษะเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ คำไหนคำนั้น หากว่าข้าสามารถทำสำเร็จทั้งสามเงื่อนไข ถึงเวลานั้น ท่านห้ามขัดขวางการไปด่านหุบเขาจยาอวี้ของข้านะขอรับ”
เรื่องมาจนถึงตอนนี้แล้ว แต่สวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่วายที่จะกุมไว้เป็นความลับ “เป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารน่ะเป็นได้ แต่จะได้เป็นของด่านหุบเขาจยาอวี้หรือไม่นั้นคงพูดยาก เรื่องเช่นนี้ ต้องอาศัยจังหวะและโอกาส มิเช่นนั้น เจ้าจะให้ทางการส่งผู้บัญชาการกองทัพทหารคนปัจจุบันกลับไปใช้ชีวิตหลังเกษียณที่บ้านเกิดเพียงเพราะเจ้าอยากจะไปเป็นผู้บัญชาการทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้หรืออย่างไรกัน เจ้าอยากให้สี่มหาสมุทรสงบสุข แล้วคนอื่นไม่มีอุดมการณ์เช่นนี้หรืออย่างไรกัน”
จิ่นเกอนึกถึงตอนไปที่ซีซาน ผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองกำลังชี้แนะด่านในและด่านนอกด้วยสีหน้าท่าทีที่ฮึกเหิมและน่าเกรงขาม จิ่นเกอพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว หากตำแหน่งไม่ว่าง ข้าไม่เข้าไปวุ่นวายอย่างแน่นอนขอรับ”
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าหากตำแหน่งว่างเว้น เขาก็จะเข้าไปแย่งชิงอย่างแน่นอน
สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ เริ่มออกเดินทางตอนวันสามค่ำเดือนสาม ช่วงระหว่างนี้เจ้าเองก็รีบเตรียมตัว ทางฝั่งด่านหุบเขาจยาอวี้ข้าเองก็ต้องบอกกล่าวและฝากฝังสักคำ ยังมีท่านย่าของเจ้า…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
อาการของไท่ฮูหยินยิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่ นับวันก็ต้องยิ่งพึ่งพาคนในครอบครัวมากขึ้น เมื่อก่อนไม่ว่าสวีลิ่งอี๋จะไปที่ไหน ไท่ฮูหยินก็ไม่เคยที่จะเข้ามายุ่มย่าม แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ถามหาเขาแล้ว นอกจากเขาจะปรนนิบัติเช้าเย็น อาหารเที่ยงก็ยังต้องไปทานที่เรือนของไท่ฮูหยิน หากไท่ฮูหยินรู้ว่าจิ่นเกอจะไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ เกรงว่าคงจะค้านจนหัวชนฝา ไม่ยอมให้ไปอย่างแน่นอน
หลังจากที่ส่งบุตรชายออกไปแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็เอาแต่เดินวนไปมาอยู่ในห้องตำราไม่หยุด
กว่าจะโน้มน้าวสืออีเหนียงได้ ตอนนี้ยังต้องมาเจอด่านไท่ฮูหยินอีก…ให้สืออีเหนียงเป็นคนไปพูดกับไท่ฮูหยิน นั่นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะสืออีเหนียงไม่มีความสามารถที่จะไปพูด แต่เพราะนางยังคงปวดใจกับเรื่องนี้อยู่ หากให้นางไปพูดเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการซ้ำเติมความเจ็บปวดในใจของนาง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ก็มีภาพของคนคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา
สวีลิ่งอี๋รีบตรงไปยังเรือนของไท่ฮูหยินทันที
ฮูหยินสองกำลังอ่านคัมภีร์ให้ไท่ฮูหยินฟัง
เสียงอ่านคัมภีร์ของฮูหยินสองนั้นทั้งอ่อนหวาน ทั้งไพเราะเสนาะหู เพียงไม่นานไท่ฮูหยินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ
มุมปากของฮูหยินสองยกยิ้มขึ้น น้ำเสียงไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แต่อ่านเพิ่มอีกหนึ่งหน้าแทน จากนั้นก็ค่อยๆ ลดเสียงลง ก่อนจะวางคัมภีร์ไว้ข้างหมอน
เวลานั้นเอง เจี๋ยเซียงที่เดินย่องเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้าก็ได้ส่งใบ้ภาษามือบอกกับฮูหยินสองว่าข้างนอกมีคนมาหา
ฮูหยินสองเห็นแล้วก็พยักหน้ารับรู้เบาๆ จากนั้นก็ดึงผ้านวมห่มให้ไท่ฮูหยินอย่างเบามือ แล้วค่อยเดินออกไป
“ท่านโหว?”
สวีลิ่งอี๋กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ห้องโถง ฮูหยินสองเห็นแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนพลางพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สอง ข้ามีเรื่องจะรบกวนให้ท่านช่วย!”
ฮูหยินสองไม่ได้พูดอะไรออกมา นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เรื่องของจิ่นเกอใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋แปลกใจเป็นอย่างมาก
ฮูหยินสองจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็กำลังนับวันอยู่เหมือนกัน นี่ก็ใกล้จะถึงพอดี” จากนั้นก็เดินนำทางไปยังห้องรับแขกทิศตะวันออก “เราไปคุยกันทางนั้นดีกว่า!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินตามฮูหยินสองไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
*****
เทศกาลซานเย่ว์ซานของหย่งเหอปีสิบแปด ในสายตาของเหล่าบรรดาหญิงสตรีที่แต่งงานแล้ว จวนหย่งผิงโหวไม่แตกต่างจากเดิมไปแต่อย่างใด คุณนายน้อยสี่ฮูหยินของซื่อจื่อเป็นคนจัดงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิ งานเลี้ยงปีนี้คุณนายน้อยสี่ไม่ได้จัดเหมือนเช่นครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องจากงานเลี้ยงของปีที่แล้ว งานเลี้ยงถูกจัดอยู่ที่โถงบุปผายาวจนไปถึงสวนดอกไม้หลังจวน และได้เชิญคณะละครงิ้วที่มีชื่อเสียงมาร้องแสดงในจวน คุณนายน้อยห้ารับหน้าที่จัดแต่งฉากหลังและเวทีที่ใช้ในการแสดง นางเริ่มต้นด้วยการทำซุ้มดอกไม้ และก็ได้ร่วมทำภูเขาดอกไม้กับสะใภ้จี้ถิง ทัศนียภาพดูดีกว่าปีที่ผ่านๆ มามาก
แต่สำหรับสายตาของบรรดาผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม กลับรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย
เริ่มจากคุณนายน้อยสอง ฮูหยินสี่ให้นางพาบุตรสาวไปปรนนิบัติดูแลคุณชายน้อยสองที่เล่ออาน จากนั้นก็ให้คุณนายน้อยห้าและสะใภ้จี้ถิงดูแลต้นไม้ดอกไม้ในจวน สำหรับจวนอื่นๆ การดูแลต้นไม้และดอกไม้ที่ประดับในจวนถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไรนัก แต่จวนสกุลสวีกลับมีเรือนเพาะปลูกเช่นเรือนหน่วนฝัง และยังมีสะใภ้ที่มีฝีมือเช่นจี้ถิง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฮูหยินสี่ที่ชอบทำอะไรจำพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความชอบทั้งนั้น จึงได้ให้นางรับหน้าที่ดูแลเรื่องดอกไม้โดยเฉพาะ บางครั้งค่าใช้จ่ายของเรือนเพาะปลูกยังมากกว่าโรงเย็บปักถักร้อยเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายก็คือคุณชายน้อยหก โบราณกล่าวไว้ว่า ‘อ่านหนังสือตำราหมื่นม้วน ยังไม่สู้ออกเดินทางท่องเที่ยวใต้หล้า’ ตอนนี้เขาเรียน ‘เด็กน้อยเรียนรู้ฉงหลิน’ และ ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ จบแล้ว กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางท่องเที่ยวใต้หล้า ด่านที่หนึ่งก็คือจวนเซวียนถง คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เหล่าบรรดาผู้ดูแลของสกุลสวีนั้นต่างก็รู้เป็นอย่างดี ว่าผู้บัญชาการกองทัพทหารของแต่ละภาคนั่นให้ความเคารพนับถือต่อสกุลสวีอย่างไร และทุกครั้งที่สกุลสวีมีข้อพิพาทตอนอยู่ข้างนอก ก็จะเข้าหาผู้บัญชาการกองทัพทหารหรือผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรแทน ไม่ได้เข้าหาฝ่ายปกครองมณฑลแต่อย่างใด
เมื่อเห็นถึงข้อนี้ ผู้คนมากมายก็เริ่มนั่งไม่ค่อยติด ไม่เพียงแต่เข้าไปตีสนิทกับพ่อบ้านไป๋เท่านั้น แต่ยังไปตีสนิทกับว่านต้าเสี่ยนอีกด้วย
พ่อบ้านไป๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ดี “ท่านโหววางแผนอะไร ทำอย่างกับว่าได้บอกข้าทุกเรื่องอย่างไรอย่างนั้น ทำในสิ่งที่ควรต้องทำสำคัญที่สุด ยิ่งปีนป่ายสูงมากเท่าไร ตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น”
ว่านต้าเสี่ยนยังคงเป็นคนที่ซื่อตรงและพูดไม่เก่งเช่นเดิม “ข้าได้ยินแค่ว่าจะต้องเตรียมเสื้อกันหนาวให้ฉังอานและฉังซุ่นหลายตัวหน่อย ที่นั่นฤดูใบไม้ผลิมาถึงค่อนข้างช้า”
ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย บรรยากาศในจวนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สองปีมานี้ สืออีเหนียงได้มอบหมายงานทั่วไปให้กับเจียงซื่อเป็นส่วนใหญ่ เจียงซื่อเป็นคนแรกที่รับรู้ได้ถึงการกระทำนี้
หลังจากที่ถูกสืออีเหนียงสอนสั่งและชี้แนะไปยกใหญ่ นางก็ไม่เคยพูดเรื่องของสกุลสวีให้สกุลเจียงฟังอีกเลย แม้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมาถามนางเป็นการส่วนตัว นางก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกไปแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะตอนที่นางได้เห็นสีหน้าที่ผิดหวังของป้าสะใภ้ใหญ่ ในใจของนางก็ยิ่งระมัดระวังเข้าไปใหญ่ ปิดปากแน่นขึ้นกว่าเดิม
พ่อสามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แม่สามีเปล่งปลั่งงดงามดั่งบุปผา หากจะพูดถึงเรื่องวันข้างหน้า ยังเร็วเกินไป ตอนนี้ที่จวนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตามหลักแล้วนางควรที่จะเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเป็นตัวอย่างถึงจะถูก แต่นางเป็นถึงเจ้าบ้าน กลับไม่มีอำนาจของเจ้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่เป็นผู้ดูแลหรือสาวใช้ใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนของแม่สามีทั้งนั้น มีแม่สามีคอยให้การสนับสนุน เวลาจะทำอะไรขึ้นมา คนเหล่านั้นไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเลยแม้แต่คนเดียว ส่วนเรื่องน้องหก…ไม่รู้ว่าแม่สามีคิดเห็นอย่างไร นางเองไม่แน่ใจแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่สามารถหยั่งเชิงเข้าไปใหญ่ หากนางแสดงอำนาจบารมี แล้วถูกแม่สามีสยบขึ้นมา ขายหน้าแค่เรื่องเล็ก แต่เกรงว่าเหล่าบรรดาผู้ดูแลหญิงคงจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอีก และหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าจวนนี้คงจะวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน
นางอยากจะปรึกษาหารือกับใครสักคน
ท่านพี่…เมื่อนึกถึงสวีซื่อจุนที่ใจเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำขึ้นมา นางก็ห่อเหี่ยวราวกับมะเขือที่โดนน้ำค้างกระหน่ำ รู้สึกอ่อนแรงไปก่อนสามส่วนอย่างไรอย่างนั้น เกรงว่าแค่นางเอ่ยปาก เขาก็คงจะพูดขึ้นว่า ‘เจ้าคิดมากไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ยังมีท่านแม่อยู่ทั้งคน ถึงเวลานั้นเจ้าแค่ทำตามท่านแม่ก็พอ’
สะใภ้หยวนเป่าจู้…คือคนที่ติดตามนางมาด้วย ถึงแม้ว่านางจะใช้กลอุบาย แต่หากไม่มีคนที่เป็นเจ้าบ้านคอยสนับสนุนนาง คิดจะก้าวขาแค่คืบเดียวก็ยังยากเลย
พี่สะใภ้ใหญ่…นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เวลาที่ทั้งคู่คุยกัน ฟังซื่อเป็นคนที่ไม่พูดอะไรออกมาง่ายๆ…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็เรียกเป่าจูเข้ามา “ไปเตรียมรถม้าให้ข้า ข้าจะไปเยี่ยมคุณนายน้อยใหญ่ที่ตรอกซานจิ่ง”
เป่าจูขานรับและรีบออกไปเตรียมรถม้าทันที
เงยหน้าขึ้นมาก็เจอเข้ากับอิงเหนียงและสะใภ้จี้ถิงที่กำลังพาเหล่าบรรดาป้ารับใช้งานหยาบมาส่งดอกไม้และต้นไม้ให้นางเป็นขบวนใหญ่
“บังเอิญเสียจริง!” อิงเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้ากำลังจะไปถามพี่สะใภ้สี่อยู่พอดี ว่าจะให้จัดวางต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้อย่างไร”
เจียงซื่อจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “น้องสะใภ้ห้าเชี่ยวชาญด้านนี้ เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว!”
อิงเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าช่วยพี่สะใภ้สี่ตัดสินใจก็แล้วกัน!” นางยิ้มกว้างด้วยความจริงใจ จากนั้นก็นำโต๊ะวางแจกันไปจัดเรียงที่ห้องรับแขกจำนวนหนึ่ง โต๊ะหนึ่งวางต้นใผ่ใบเกล็ด อีกโต๊ะวางตู้ปลาเล็กๆ บรรยากาศในเรือนดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
สวีซื่อเจี้ยก็ตำหนินางว่า “ทุกคนต่างก็มีความชอบเป็นของตัวเอง เจ้าอย่าไปเคลื่อนย้ายของของผู้อื่นตามอำเภอใจดีกว่า”
แต่อิงเหนียงไม่คิดเช่นนั้น “ก็แค่ของประดับเท่านั้น หากชอบก็วางไว้หลายวันหน่อย หากไม่ชอบก็เปลี่ยนใหม่เป็นอันอื่นก็สิ้นเรื่อง”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้น จ้องมองไปยังรอยยิ้มที่สว่างและสดใสของอิงเหนียง พลันนึกถึงเสื้อฤดูใบไม้ผลิพี่นางทำให้ เมื่อถึงเทศกาลซานเย่ว์ซานก็ค่อยเอาออกมาให้เขาสวมใส่…ในใจพลอยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้สี่เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ วันข้างหน้าก็จะขึ้นมาเป็นผู้ดูแลหลักของจวน หากไม่มีมาดที่น่าเกรงขาม ต่อไปในภายภาคหน้าจะปกครองเหล่าบรรดาผู้ดูแลหญิงได้อย่างไรเล่า”
“ข้าเองก็รู้!” อิงเหนียงวางกระถางดอกคุณนายตื่นสายประดับลงบนขอบหน้าต่างในเรือนของตนเอง จากนั้นก็หันไปพูดกับสวีซื่อเจี้ยต่อว่า “พี่สะใภ้สี่เป็นคนดี ตอนที่ข้าเพิ่งแต่งงานเข้าจวน นางกลัวว่าข้าจะถูกเกี้ยวเจ้าสาวโยกโคลงเคลงจนเวียนหัว ก็เลยแอบเอาน้ำค้างดอกมะลิให้ข้าหนึ่งขวด” พูดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม “นางยังบอกอีกว่าตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าจวนมา ท่านแม่เองก็ได้ให้น้ำค้างดอกมะลิแก่นางด้วย”
“จริงหรือ!” คนเป็นสามีต่างก็อยากจะให้เหล่าบรรดาสะใภ้รักใคร่ปรองดองกันทั้งนั้น เมื่อได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลย แล้วท่านแม่ได้มอบน้ำค้างดอกไม้ให้เจ้าหรือไม่”
“ตอนนั้นท่านเองมัวแต่…มีเวลาสนใจเรื่องนั้นเสียที่ไหนกัน…” แก้มของอิงเหนียงแดงระเรื่อ พูดอะไรไม่ออก
จู่ๆ ใบหน้าของสวีซื่อเจี้ยเองก็แดงขึ้นมาไม่แพ้กัน เขารีบหันซ้ายมองขวา เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “ใช่แล้ว น้องหกจะออกเดินทางแล้ว เจ้าว่า…เราควรจะมอบของขวัญอะไรให้เขาดี…”