ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 697 ใฝ่หา (กลาง)
ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของบุตรชายและลูกสะใภ้ อาการป่วยของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ สามารถลุกมาเดินเหินได้คล่องตัวขึ้น ตอนนี้ก็ย่างกรายเข้าสู่กลางเดือนสองแล้ว
วันถัดมาเหลยกงกงที่ได้รับคำสั่งให้มาเยี่ยมอาการป่วยของไท่ฮูหยินอีกครั้งก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก หันไปจ้องมองสวีลิ่งอี๋ที่ผ่ายผอมไปไม่น้อย ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “หากว่าอาการป่วยของไท่ฮูหยินยังไม่ดีขึ้น เกรงว่าพวกข้าคงจะรั้งฮองเฮาไว้ไม่อยู่เป็นแน่แท้!”
หลายวันมานี้หมอหลวงของวังได้เข้าออกจวนสกุลสวีราวกับว่าเป็นสำนักหมอหลวงหลังที่สองอย่างไรอย่างนั้น
“รบกวนเหลยกงกงช่วยกราบทูลฮองเฮาด้วย” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สุขุมและจริงจัง “อาการป่วยของไท่ฮูหยินดีขึ้นมากแล้ว ขอฮองเฮาอย่าทรงเป็นกังวลไป”
“หย่งผิงโหววางใจเถิด ข้าจะช่วยกราบทูลฮองเฮาอย่างแน่นอน”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เดินออกไปส่งเหลยกงกงที่ประตูลานสวน แล้วจึงค่อยย้อนกลับมาที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสองนั่งอยู่ที่ขอบเตียง สืออีเหนียงและฮูหยินห้านั่งเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างเตียง ฮูหยินสามนั่งเก้าอี้ไม้ที่อยู่ปลายเตียง ส่วนเจียงซื่อ ฟังซื่อ จินซื่อและเซี่ยงซื่อก็พากันยืนอยู่หน้าซุ้มไม้แกะสลัก
“งานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซานของฤดูใบไม้ผลิ เราจะจัด…” ไท่ฮูหยินพึ่งจะหายจากอาการป่วย ร่างกายจึงค่อนข้างอ่อนแอ น้ำเสียงจึงแผ่วเบาเป็นอย่างมาก “พอข้าล้มป่วย บรรยากาศในจวนก็อึมครึมหม่นหมองไปหมด ต้องจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิเสียหน่อย บรรยากาศจะได้ครึกครื้นขึ้น…”
“เช่นนั้นก็จัดงานเลี้ยงเถิด!” ฮูหยินสองหันไปมองสืออีเหนียง “คนในบ้านมากมาย หากบรรยากาศครึกครื้นขึ้น ท่านแม่เห็นแล้วก็จะเบิกบานใจและหายป่วยเร็วๆ”
ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองสืออีเหนียงตามฮูหยินสอง รอคำตอบจากนาง
ไท่ฮูหยินล้มป่วยในครั้งนี้เพราะตรอมใจ หากบรรยากาศรอบๆ ครื้นเครงและมีชีวิตชีวาขึ้น อารมณ์จิตใจของไท่ฮูหยินก็จะดีขึ้นตาม เมื่อสภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว ร่างกายก็จะดีขึ้นตามลำดับ
“พี่สะใภ้สองพูดมีเหตุผล” สืออีเหนียงหันไปมองไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าจะส่งเทียบเชิญเหมือนเช่นปีที่ผ่านๆ มานะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับหันไปส่งสายตาให้คนที่อยู่ในห้อง นอกจากฮูหยินสองที่ต้องอยู่ดูแลไท่ฮูหยินแล้ว คนอื่นๆ ก็พากันถอยออกจากห้องชั้นในตามสืออีเหนียงไปอย่างเบามือเบาเท้า
“เรื่องนี้ก็ให้ภรรยาของจุนเกอเป็นคนจัดการก็แล้วกัน!” สืออีเหนียงหันไปพูดกับเจียงซื่อ “ปีที่แล้วเจ้าเป็นคนจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนต่างก็ออกปากชมเป็นเสียงเดียวกันว่าจัดได้ดีมาก เพียงแต่ว่าสถานการณ์ของปีนี้ไม่เหมือนกัน ไท่ฮูหยินไม่สามารถฝืนร่างกายจนเกินไป เพราะฉะนั้นเรื่องงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิควรจัดให้เรียบง่ายหน่อยจะเป็นการดีกว่า”
เจียงซื่อขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นสืออีเหนียงก็หมุนตัวกลับไป กวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในเรือน
“พี่สะใภ้สาม น้องสะใภ้ห้า” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ที่ผ่านมาเราทั้งสามเป็นคนดูแลช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนก็เป็นพี่สะใภ้สองที่ดูแล มิเช่นนั้น มีแขกมากมายมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ เราคงจะยุ่งกันหัวหมุนทั้งวันทั้งคืนมิได้พักหายใจหายคออย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าตอนนี้อาการป่วยของท่านแม่จะดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสียนางก็อายุมากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะต้องมีคนคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกายจึงจะถูก แต่หากจะปล่อยให้พี่สะใภ้สองดูแลคนเดียวก็ไม่ไหว ข้าก็เลยอยากจะให้ภรรยาของจุนเกอรับหน้าที่เป็นคนดูแลจัดการเรื่องงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนพวกเราก็กลับไปผลัดเปลี่ยนกันดูแลท่านเหมือนเช่นเดิม ให้พี่สะใภ้สองได้พักผ่อนบ้าง ทุกคนคิดเห็นอย่างไร”
ไม่มีใครเห็นต่างแม้แต่คนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้!” สืออีเหนียงเริ่มเรียงลำดับรายชื่อจากผู้อาวุโสไปหาผู้น้อย “…ช่วงนี้ทุกคนคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว วันนี้ก็รีบกลับไปพักผ่อนเร็วๆ หน่อย! พรุ่งนี้จะได้มีเรี่ยวแรงมาดูแลท่านแม่กัน”
อาการป่วยของไท่ฮูหยินค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลายวันมานี้ฮูหยินห้าคอยช่วยสืออีเหนียงต้อนรับแขกที่มาเยือน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อได้ยินแล้วนางก็พูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สี่ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปก่อนก็แล้วกัน! พรุ่งนี้ข้าจะรีบมาเปลี่ยนเวรกับท่านแต่เช้าตรู่”
ตามการจัดวางตารางเวรของสืออีเหนียง คืนนี้สืออีเหนียงจะต้องเป็นคนอยู่เฝ้าไท่ฮูหยิน พรุ่งนี้เช้าฮูหยินห้าจะต้องมารับช่วงต่อจากสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้เบาๆ
ส่วนฮูหยินสามเองก็ได้แสดงออกว่าจะมาดูแลไท่ฮูหยินตามที่สืออีเหนียงจัดวางไว้ จากนั้นก็พาลูกสะใภ้ขอตัวลากลับ
สวีลิ่งอี๋ที่เดินไปส่งเหลยกงกงก็กลับมาพอดี
“ท่านแม่เล่า” สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ใครอยู่ดูแลท่านแม่หรือ”
ยังไม่ทันที่สืออีเหนียงจะได้ตอบ จู่ๆ ก็มีสาวใช้น้อยเปิดม่านออกมาจากห้องชั้นใน
“ท่านโหว ฮูหยิน!” สาวใช้น้อยพูดขึ้นเสียงเบา “ไท่ฮูหยินมีเรื่องจะพูดกับฮูหยินสี่เจ้าค่ะ!”
เมื่อครู่นี้นางรู้สึกอ่อนเพลียก็เลยนอนพักไปแล้วไม่ใช่หรือ
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องชั้นในพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินกำลังหลับตาอยู่ ราวกับว่ากำลังนอนหลับอย่างไรอย่างนั้น
เส้นผมของนางขาวโพลน ผิวพรรณเหลืองซีดไร้ซึ่งเลือดฝาด พลอยทำให้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งเด่นชัดมากขึ้น
สวีลิ่งอี๋รู้สึกบีบหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ คุกเข่าลงบนขั้นบันไดที่หน้าเตียง
ฮูหยินสองเห็นแล้วก็รีบลุกขึ้นมาทันที
“ท่านแม่!” สวีลิ่งอี๋กุมมือของไท่ฮูหยินอย่างเบามือ
ไท่ฮูหยินค่อยๆ ลืมตาขึ้น “เจ้ามาแล้วหรือ! สืออีเหนียงเล่า” พูดจบก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รีบเข้าไปคุกเข่าลงบนขั้นบันไดที่หน้าเตียง
“สืออีเหนียง” ไท่ฮูหยินยื่นมือที่สั่นเทาไปกุมมือของสืออีเหนียงไว้ “ข้าอยากให้เจ้า…หาคนไป…ไปช่วยเจี้ยเกอสู่ขอภรรยา…ที่อวี๋หัง!”
สืออีเหนียงแปลกใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเรื่องนี้จะได้ปรึกษาหารือกันแล้ว แต่เพราะไท่ฮูหยินล้มป่วย เรื่องนี้ก็เลยถูกเลื่อนออกไป
“ปีนี้เจี้ยเกออายุสิบหกปี อีกสองปีก็อายุสิบแปดปีแล้ว ตัวเขาเองไม่เป็นไร แต่จะปล่อยให้อิงเหนียงรอเช่นนี้ไม่ได้ หากมีคนซุบซิบนินทาพูดจาไม่ดีเข้า เด็กคนนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถึงเวลานั้น หากต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สู้เราไปสู่ขอและหมั้นหมายให้เสร็จสรรพจะเป็นการดีกว่า!”
ครั้งนี้ ไท่ฮูหยินพูดจาเร่งรีบและดูใจร้อนเป็นอย่างมาก
เพราะกลัวว่าหากนางจากโลกนี้ไปแล้ว ลูกหลานก็จะต้องพากันมาไว้ทุกข์ให้นาง พลอยจะทำให้ทุกอย่างถูกเลื่อนออกไปจนล่าช้าไปหมด พลอยทำให้เลยเวลาอันเหมาะสมไป
“ท่านแม่ ท่านอย่าคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรีบปลอบโยนนาง “รออีกสักหน่อย หลังจากที่ท่านหายดีแล้ว เราค่อยไปสู่ขอด้วยกัน!”
“ไม่ได้!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวและหนักแน่นเป็นอย่างมาก “พรุ่งนี้…พรุ่งนี้เจ้าก็ไปสู่ขอเลย!”
สืออีเหนียงกำลังจะโน้มน้าวไท่ฮูหยินว่าอย่าท้อแท้และสิ้นหวังเช่นนี้ แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดแทรกขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ไปที่ตรอกกงเสียนสักประเดี๋ยวก็แล้วกัน”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินแล้ว สีหน้าก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าอย่าลืมเชียวล่ะ อย่าได้ลืมเชียว!” น้ำเสียงของนางค่อยๆ แผ่วเบาลง จากนั้นก็หลับตาลงอย่างช้าๆ
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงเองก็ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เหมือนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาอย่างไรอย่างนั้น ฮูหยินสองรีบยื่นมือไปอังที่จมูกของไท่ฮูหยิน ผ่านครู่หนึ่ง จึงค่อยหันมาส่ายหน้าให้กับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเบาๆ
ทั้งสามจึงพากันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋พากันออกไปคุยกันข้างนอก
“ข้าว่าเรื่องนี้รีบจัดการให้เสร็จจะเป็นการดีกว่า” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “หากว่าเจิ้นซิ่งออกไปประจำการอยู่นอกเขตเมืองหลวงแล้ว เรื่องนี้ก็จะยุ่งยากเข้าไปใหญ่!”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงขานรับ “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ตรอกกงเสียนเลย!” จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปนอกเรือน มุ่งหน้าไปยังเรือนของสวีซื่อเจี้ย
ที่สำนักศึกษาได้หยุดการเรียนการสอนตั้งแต่แรกแล้ว
สวีซื่อเจี้ยกำลังนั่งคัดตัวอักษรอยู่บนโต๊ะหนังสือ เมื่อเห็นว่ามารดามาหา เขาก็รีบวางพู่กันในมือทันที
“ท่านมาได้อย่างไรกัน” เขารีบเข้าไปประคองสืออีเหนียงไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง จากนั้นก็ลงมือชงน้ำชามาให้นางด้วยตัวเอง “ท่านย่านอนพักแล้วหรือขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “ชาอะไรหรือ รสชาติไม่เลวทีเดียว”
“ชาหวงซานเหมาเฟิงขอรับ” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับมารดา “หากท่านแม่ชอบ ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวรับใช้ส่งไปให้ที่เรือน” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “เป็นชาที่หวังอวิ่นให้พี่สี่มาขอรับ”
“ข้าไม่ค่อยสันทัดเรื่องชาสักเท่าไร” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แยกแยะรสชาติและคุณภาพของชาไม่ออก เจ้าเก็บไว้เองเถิด!” พูดจบ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความลังเลใจ
สำหรับคนที่เราใส่ใจ ย่อมต้องดูออกเป็นธรรมดา
ในเมื่อมารดาไม่สะดวกใจที่จะพูด เช่นนั้นเขาเป็นคนเริ่มก่อนดีกว่า!
สวีซื่อเจี้ยจึงยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”
“แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” สืออีเหนียงจ้องมองไปยังใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “หากแม่พาอิงเหนียงมาอยู่ด้วยกันกับเรา เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขอรับ!” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากที่สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก “น้องหญิงใหญ่นิสัยใจคอร่าเริงแจ่มใส อีกทั้งยังมีความรู้เรื่องพันธุ์ดอกไม้ มีนางคอยอยู่ข้างกายท่านแม่ ท่านเองก็จะได้มีคนเคียงข้าง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักไป
เด็กผู้หญิงที่โตแล้ว ย่อมต้องแต่งงานออกเรือนเป็นธรรมดา ท่านแม่กลับจะให้นางมาอยู่ข้างกายตลอดไป ดูเหมือนเรื่องนี้ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไรนัก…แต่ท่านแม่ก็ไม่ใช่คนที่พูดจาเรื่อยเปื่อยอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ…
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ใบหน้าของเขาพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
“…ท่านแม่” เขาจ้องมองไปยังใบหน้าของสืออีเหนียง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สืออีเหนียงเห็นว่าเขาเข้าใจในเจตนาของตน จึงยิ้มพร้อมกับถามเขาพลางพยักหน้าเบาๆ “ดีหรือไม่”
คราวนี้แก้มของสวีซื่อเจี้ยยิ่งแดงก่ำกว่าเดิม
เขารีบก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าจ้องหน้าสืออีเหนียง พลันทำตัวไม่ถูกไปหมด แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้า…ข้าไปชงน้ำชาให้ท่านแม่ดีกว่า” พูดจบก็รีบยกถ้วยน้ำชาของสืออีเหนียงแล้วเดินออกนอกประตูไปทันที
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
วันถัดมาก็ได้เดินทางไปยังตรอกกงเสียน
“เรื่องของพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าคะ” หวังอี๋เหนียงเชื้อเชิญสืออีเหนียงไปยังห้องหนังสือด้วยความนอบน้อม
“กำลังรอทางกระทรวงขุนนางเรียกตัว” หลัวเจิ้นซิ่งสวมชุดเสื้อแขนยาวผ้าแพรหังโฉว ช่วยขับใบหน้าที่อ้วนกลมเล็กน้อยให้ขาวกระจ่างและดูสะอาดสะอ้านยิ่งขึ้น ดูสงบสุขุมอย่างที่คนวัยกลางคนพึงมี พลอยทำให้สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่นางเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรก รูปร่างหน้าตาของหลัวเจิ้นซิ่งที่มารับนางที่ท่าเรือทงโจว
หล่อเหลาและสง่าผ่าเผย…กาลเวลาก็ผ่านร่วงเลยไปไม่น้อย
จู่ๆ นางก็เข้าใจถึงสาเหตุที่หลัวเจิ้นซิ่งอยากจะไปประจำการที่นอกเขตเมืองหลวงขึ้นมา!
“ท่านอาสองกับท่านอาสามว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ” เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ของสกุลหลัว ย่อมต้องปรึกษาหารือกับท่านอาทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอยู่แล้ว
หลัวเจิ้นซิ่งไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทีของน้องสาวเท่าไรนัก “ท่านอาสองบอกว่าควรจะระมัดระวังและรอบคอบกว่านี้ ส่วนท่านอาสามคิดว่าไม่เลวทีเดียว” เขาไม่คุ้นชินกับการพูดเรื่องเหล่านี้กับสตรีสักเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้จะเป็นน้องสาวของตัวเองก็ตาม เขาจึงอธิบายอย่างเรียบง่ายแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “ได้ยินมาว่าไท่ฮูหยินสามารถลุกมาเดินเหินได้แล้วหรือ”
สืออีเหนียงเห็นว่าเขาไม่อยากที่จะพูดถึง จึงไม่ได้ซักไซ้ต่อแต่อย่างใด ถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องอาการป่วยของไท่ฮูหยินให้หลัวเจิ้นซิ่งฟัง จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องที่ไท่ฮูหยินเป็นห่วงเรื่องงานแต่งของสวีซื่อเจี้ยขึ้นมา
“เจ้าให้แม่สื่อมาสู่ขอเถิด!” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้น “ปรึกษาหารือและกำหนดเรื่องงานแต่งให้เสร็จก่อนปลายเดือนสามจะดีที่สุด เพราะถึงแม้ว่าข้าจะไปรับหน้าที่แล้ว เวลานั้นเจ้าเองก็สามารถเดินทางไปรับเจ้าสาวที่อวี๋หังด้วยตัวเองได้เลย”
สืออีเหนียงยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ไปที่จวนหย่งชังโหวต่อ
“เจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าไปเป็นแม่สื่อหรอกกระมัง” คุณนายสามสกุลหวงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความขวยเขิน
“เจ้าจะให้ข้าไปเป็นแม่สื่อจริงๆ น่ะหรือ” คุณนายสามสกุลหวงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แต่ครั้งนี้เจ้าต้องรับปากข้าให้เรียบร้อย จะต้องทำรองเท้าให้ข้าเป็นเท่าตัวถึงจะได้!”
“พี่หญิงเรียกเยอะจริงเชียว!”
“อย่างน้อยๆ ก็ต้องให้สมฐานะข้าหน่อย”
ทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่ใหญ่ สืออีเหนียงจึงค่อยๆ เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณนายสามสกุลหวงฟัง
“ดีจริง!” คุณนายสามสกุลหวงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เกี่ยวดองในหมู่เครือญาติ สายสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น” หลังจากที่ได้นัดแนะวันที่จะไปสู่ขอเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ขอตัวลากลับ
ออกจากตรอกองค์หญิงมาแล้ว สืออีเหนียงก็รีบตรงไปแจ้งข่าวนี้ให้กับหลัวเจิ้นซิ่งทันที เพื่อที่ว่าเขาเองก็จะได้เตรียมหาแม่สื่อด้วย
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทั้งสองตระกูลก็ได้แลกหนังสือบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้นทั้งสองฝั่ง ถัดมาอีกสามวันก็ได้เขียนหนังสือสมรสและกำหนดวัน อาการป่วยของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ตอนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ไท่ฮูหยินได้ออกไปลอยประทีปที่แม่น้ำกับเด็กๆ ด้วย ทุกคนจึงค่อยกล้าเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ บรรยากาศของจวนสกุลสวีจึงกลับมาครึกครื้นเหมือนเช่นเดิมอีกครั้ง