ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 696 ใฝ่หา (ต้น)
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าอยากจะไปประจำการที่นอกเขตเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋เหลือบไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าตอบเบาๆ
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าหลัวเจิ้นซิ่งควรจะทำความคุ้นเคยกับทางหกกรมก่อนแล้วค่อยออกไปประจำการนอกเขตเมืองหลวง หนึ่งคือมีคนที่อยู่ในเมืองเยี่ยนจิงคอยช่วยพูดจาส่งเสริม สองคือมีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งมากกว่า แต่เรื่องบางเรื่อง ‘แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า’ ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลยว่าโอกาสจะเกิดขึ้นเมื่อไรและมาในรูปแบบไหน เขาจึงไม่สามารถที่จะพูดอย่างชัดเจนได้
“เจ้าใช้เวลาใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิด” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิด
“ข้าเองก็คิดเรื่องนี้มาตลอดทาง” หลัวเจิ้นซิ่งตอบกลับ “ยามต้องจาก ฝากชื่อให้คนเขาอาลัยอาวรณ์ เป็นขุนนางข้าราชการ แต่มิอาจสร้างผลประโยชน์ให้แก่ราษฎรได้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน”
ใบหน้าสวีลิ่งอี๋พลันปรากฏสีหน้าที่ชื่นชมออกมา แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับอนาคตของหลัวเจิ้นซิ่ง แต่ท่ามกลางขุนนางข้าราชการนั้นเต็มไปด้วยเรื่องเหลวไหลและซับซ้อน หลายปีมานี้ฮ่องเต้ทรงมีอำนาจอยู่ในมือ ทางตอนเหนือมีฟั่นเหวยกัง ทางตอนใต้มีเหอเฉิงปี้ ทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคมีเจียงอวิ๋นเฟย หน่วยองครักษ์รักษาการวังหลวงมีโอวหยางหมิง เขารอคอยโอกาสนี้มายาวนาน บัดนี้ฮ่องเต้ทรงเริ่มมีความเมตตาตน หากว่าจวนเป่าติ้งกระทำไปโดยที่ไม่ได้มีเจตนา เช่นนั้นการไปที่เซวียนถงและด่านหุบเขาจยาอวี้ก็ถือเป็นการยิงธนูดอกเดียวเพื่อให้ได้ซึ่งนกสองตัวโดยเจตนา ในเมื่อตนมั่นใจในพรสวรรค์ของบุตรชาย อีกทั้งยังรู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงคิดเห็นต่อตนอย่างไร แต่หากว่าตนยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการถูกปลดของข้าราชการพลเรือน เกรงว่าฮ่องเต้คงจะทรงรู้สึกหวาดระแวงตนขึ้นมาทันที
ตอนนี้ตนยังไม่สามารถที่จะรับประกันปัญหาของหลัวเจิ้นซิ่งได้ จึงเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
สวีลิ่งอี๋ยังคงนิ่งเงียบ
บรรยากาศในเรือนค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอึมครึมไร้ซึ่งชีวิตชีวา
สืออีเหนียงหันไปมองหน้าพี่ชายสลับกับสามีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่เขยห้าอยู่ที่โน่นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ครั้งที่แล้วตอนเขากลับมารายงานตัวที่เมืองเยี่ยนจิง เห็นบอกว่ามีธุระจะคุยกับเฉินเก๋อเหล่า เลยแวะมาทักทายท่านโหวเพียงครู่เดียวก็รีบขอตัวลากลับไป”
“เขาดูผ่ายผอมลงอย่างมาก” เมื่อมีน้องสาวมาเปลี่ยนเรื่องคุย บรรยากาศจึงดีขึ้นไม่น้อย หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แต่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ตอนที่ข้าไปหา เขากำลังยืนคุยเรื่องการเก็บเกี่ยวในปีนี้กับชาวนาจำนวนหนึ่งอยู่บนคันนา ตอนเห็นหน้าจิ่นเกอ เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก ยังให้จิ่นเกอขี่หลังควายเดินเล่นรอบนาอีกด้วย จากนั้นก็คอยถามจิ่นเกอว่าได้เจอซินเกอบ่อยหรือไม่ ตอนนี้ซินเกอตัวสูงแค่ไหนแล้ว การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง…” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยพูดกับสืออีเหนียงว่า “หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็ไปช่วยเกลี้ยกล่อมอู่เหนียงสักหน่อย หลายปีมานี้เฉียนหมิงใช้ชีวิตยากลำบาก ให้นางลดละความโกรธที่มีต่อเฉียนหมิง พาบุตรชายและบุตรสาวไปใช้ชีวิตดีๆ กับเฉียนหมิงที่เหวินเติง ตัวอยู่ท่ามกลางความสุขแท้ๆ แต่กลับไม่รู้คุณค่า ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายแค่ไหนที่อยากจะติดตามสามีไปประจำการด้วย แต่ก็ไม่อาจทำได้ แต่นางนี่สิ กลับมาพูดว่าที่เหวินเติงหาสามีที่ดีไม่ได้ นางเลือกที่จะอยู่ในเมืองเยี่ยนจิงเสียยังดีกว่า มีความเป็นภรรยาเสียที่ไหนกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ฟังดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
“หากเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่ควรเป็นคนไปโน้มน้าวพี่หญิงห้ายังดีเสียกว่า” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความลำบากใจ “เพราะถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงน้องหญิงเท่านั้น…”
หลัวเจิ้นซิ่งพลันนึกถึงคุณนายใหญ่สกุลหลัวขึ้นมา
หากนางอยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่จำเป็นต้องมากังวลใจกับเรื่องเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
หลัวเจิ้นซิ่งถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่ได้พยายามฝืนสืออีเหนียงต่อ สวีลิ่งอี๋เห็นว่าเวลาผ่านไปนานแล้วเลยเชื้อเชิญหลัวเจิ้นซิ่งไปยังห้องโถงเล็กที่อยู่ข้างๆ จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับหลัวเจิ้นซิ่ง สืออีเหนียงคารวะหลัวเจิ้นซิ่งด้วยสุราหนึ่งจอก เพื่อเป็นการขอบคุณที่หลัวเจิ้นซิ่งคอยดูแลจิ่นเกอตลอดเวลาที่ผ่านมา จากนั้นก็กลับไปยังเรือนหลัก
งานเลี้ยงทางฝั่งโน้นได้เลิกราไปแล้ว ไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าและเด็กๆ ต่างก็พากันไปนั่งเล่นที่ห้องพักผ่อนของห้องปีกทางทิศตะวันออก จิ่นเกอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาประสบพบเจอตลอดทางให้ทุกคนฟัง เด็กๆ ที่นั่งฟังเขาอยู่ก็คอยอุทานเป็นครั้งคราวด้วยความเหลือเชื่อ “ไอ๊หยา!” “จริงหรือ!” “พี่หกรีบเล่าต่อเร็วเข้า!” ถึงแม้ว่าบรรยากาศในเรือนจะเงียบสงบ แต่บรรยากาศที่ครึกครื้นก็กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด
สืออีเหนียงยืนอยู่ใต้ชายคา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยน
*****
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋กลับไปถึงเรือนก็เห็นแค่สืออีเหนียงคนเดียวเท่านั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “จิ่นเกอเล่า”
“ไปนอนเป็นเพื่อนท่านแม่แล้ว” สืออีเหนียงเข้าไปช่วยเขาปลดชุดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เหตุใดถึงไม่รอข้ากลับมาก่อน” สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำเสียงเบา
สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความผิดหวัง จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลูกรอท่านนานแล้ว แต่ท่านก็ไม่กลับมาเสียที…ตอนที่ลูกไปยังแอบรู้สึกน้อยใจอยู่เลย!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปคารวะท่านแม่เสียหน่อยดีกว่า!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
“เวลานี้ดึกเกินไปกระมัง” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ท่านแม่กับจิ่นเกอคุยกันไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ แถมช่วงบ่ายก็ไม่ได้นอนพักผ่อน เวลานี้เกรงว่าคงจะนอนหลับไปตั้งนานแล้ว ท่านโหวไปพรุ่งนี้เช้าดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“ข้ากับเจิ้นซิ่งปรึกษาหารือเรื่องไปประจำการที่เขตนอกเมืองต่างหาก!” สวีลิ่งอี๋บ่นพึมพำ พลางเดินไปยังห้องชำระ
สืออีเหนียงเองก็เดินตามหลังเขาไปด้วย “สุดท้ายพี่ใหญ่ก็ยังตัดสินใจจะไปประจำการที่เขตนอกเมืองหรือเจ้าคะ”
“ใช่!” สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา “ปล่อยให้เขาไปเถิด! อย่างอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่หากว่าเขาไปประจำการที่เขตนอกเมืองแล้วไม่ราบรื่น อยากจะกลับมารับหน้าที่ที่ศาลพลเรือนในเมืองเยี่ยนจิง อาศัยคุณวุฒิและศักยภาพของเจิ้นซิ่งแล้ว ข้าสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือเขาได้ กลัวก็แต่ว่าการที่เขาตัดสินใจที่จะไปนั้นเป็นเพราะต้องการจะถอนตัวออกจากวงการนี้…ลูกหลานสกุลหลัวรุ่นนี้ มีเพียงเจิ้นซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่สอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้” พูดจบเขาก็ค่อยๆ เดินกลับไปยังห้องนอน “ข้าบอกกับเจิ้นซิ่งว่า ทางฝั่งอวี๋หัง ต้องหาอาจารย์ดีๆ มาสอนหนังสือตำราสักสองสามคนถึงจะถูก”
ก็จริง หากลูกหลานรุ่นถัดไปของสกุลหลัวไม่มีคนที่สอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้อีก เกรงว่าหลังจากที่หลัวเจิ้นซิ่งไม่อยู่แล้ว สกุลหลัวก็คงจะถึงคราวตกต่ำเป็นแน่แท้
สืออีเหนียงพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
เวลานั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะหน้าต่างดังขึ้น
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงหันมาสบตากันด้วยความประหลาดใจ
ผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้กล้าขนาดนี้…
เมื่อความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว ดวงตาของสวีลิ่งอี๋ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “เป็นจิ่นเกอ…” แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เขาควรจะอยู่ปรนนิบัติไท่ฮูหยินที่เรือนมิใช่หรือ เขารีบเปิดบานหน้าต่างออกทันที ก็เจอเข้ากับใบหน้าที่กำลังยิ้มแป้นของจิ่นเกอ
“ท่านพ่อ ท่านคิดถึงข้าหรือไม่ ข้าคิดถึงท่านจะแย่แล้วขอรับ!” มือทั้งสองของจิ่นเกอเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง “ท่านยังไปแข่งม้าที่สนามม้าเป็นประจำเหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือไม่ หลายวันมานี้ ตอนข้าอยู่ที่เจียงหนาน ข้านั่งเรือแทบทุกวัน ฝันว่าได้ไปแข่งม้าที่ซีเป่ยกับท่านอยู่หลายครั้ง…”
จิ่นเกอยังไม่ทันจะพูดจบ ดวงตาของสวีลิ่งอี๋ก็มีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามจะปิดบังมันอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าไปตบไหล่ของบุตรชายเบาๆ “เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาเล่า ไม่เข้าทางประตูหลัก แอบมาเคาะหน้าต่างทำไมกัน ท่านย่าของเจ้าเข้านอนแล้วหรือ แล้วรู้หรือไม่ว่าเจ้ามาที่นี่”
“เพราะข้ากลัวว่าท่านพ่อจะคิดถึงข้าจนนอนไม่หลับอย่างไรเล่า” จิ่นเกอยิ้มทะเล้น แต่สำหรับสวีลิ่งอี๋แล้ว การกระทำเหล่านี้ถือเป็นความสนิทสนมอย่างยิ่ง “ข้าอ้างว่าจะไปเข้าห้องชำระ แล้วแอบมาหาท่านพ่อขอรับ!” พูดจบก็ขอตัวลากลับ “ข้าต้องกลับไปแล้ว ประเดี๋ยวท่านย่าจะผิดสังเกต เห็นว่าข้าออกมานานแล้วแต่ไม่กลับไปเสียทีจะคิดว่าข้าตกส้วมเอาได้ หากท่านย่าออกมาตามหาข้าที่ห้องชำระด้วยตัวเองล่ะก็ พี่จื่อหงต้องแย่แน่ๆ!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปชั่วขณะ
เขาพึ่งจะดึงสติกลับมาได้ เงาแผ่นหลังของจิ่นเกอก็หายวับไปกับตาแล้ว
“เด็กคนนี้นี่ วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียด้วยซ้ำ!” แต่แววตากลับท่วมท้นไปด้วยความรักและความเอ็นดู “ไม่รู้คิดได้อย่างไร อาศัยข้ออ้างมาเข้าห้องชำระแล้วแอบมาหาข้าแทน!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
*****
หลายวันหลังจากนั้น สองสามีภรรยาก็ไม่ได้เอ่ยถึงที่ที่จิ่นเกอจะต้องไปแต่อย่างใด เพียงแต่ฟังจิ่นเกอพูดถึงเรื่องการเดินทางที่เจียงหนานเท่านั้น ทั้งคู่ช่วยจิ่นเกอเก็บข้าวของ เลือกหาฤกษ์งามยามดีเพื่อย้ายเข้าเรือนชิงหยินจวี ไม่นานก็ถึงวันตรุษจีนเล็ก
หลังจากที่ได้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทำความสะอาดจวนครั้งใหญ่และติดแผ่นกระดานยันต์ไม้ท้อที่หน้าประตูใหญ่เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่เทศกาลวันตรุษจีนพอดี
ปีนี้ถือเป็นปีที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่สุด สวีลิ่งอี๋รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ตอนทานอาหารข้ามคืนต้อนรับปีใหม่ เขาจึงดื่มสุราไปหลายจอก ส่วนสืออีเหนียงที่ต้องเข้าวังในเช้าวันรุ่งขึ้นก็คอยยกแขนเสื้อขึ้นมาบังตอนไอและจามอยู่หลายครั้งหลายหน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮองเฮาทรงเข้าไปถามไถ่อาการของนางต่อหน้าเหล่าบรรดาสตรีที่ยืนกันเต็มหน้าพระตำหนักด้วยความเป็นห่วงว่านางไม่สบายหรือไม่
หลังจากกลับไปถึงจวน สวีลิ่งอี๋ก็รีบเข้าไปโอบกอดสืออีเหนียงพร้อมกับหยอกล้อนางเล่นว่า “สมัยก่อนมีคนเคยเขียนกวีราชโองการไว้ เราเลียนแบบคนสมัยโบราณดีหรือไม่ ลองรับราชโองการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายดู”
“พักผ่อนฟื้นฟูอะไรกันเจ้าคะ” สืออีเหนียงหยิกแขนของสวีลิ่งอี๋เบาๆ
สวีลิ่งอี๋ใช้มือกุมแขนที่ถูกหยิกพลางทิ้งตัวนอนลงบนเตียง “เหตุใดแขนของข้าถึงขยับเขยื้อนไม่ได้ รีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการเร็วเข้า!”
วันขึ้นปีใหม่แท้ๆ มาเรียกหาหมอหลวงอะไรกัน…
สืออีเหนียงจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ที่กำลังเสแสร้งแกล้งเล่นราวกับเป็นเด็กน้อยก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “มิน่าเล่าจิ่นเกอถึงได้ขี้เล่นและซุกซนขนาดนี้ ที่แท้ก็ได้นิสัยบิดามานี่เอง”
“แน่นอนอยู่แล้ว” สวีลิ่งอี๋แสดงสีหน้าภาคภูมิใจราวกับคางคกขึ้นวอก็ไม่ปาน เขารีบคุยโวโอ้อวดทันควัน “เจ้าก็ไม่รู้จักดูเสียหน่อยว่าเขาคือบุตรชายของผู้ใด!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะตัวงอด้วยความตลกขบขัน
หากไม่ใช่เพราะเติงฮวามาถามว่าจะออกเดินทางไปคารวะท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติงเนื่องในวันปีใหม่เมื่อไรล่ะก็ เกรงว่าทั้งสองก็คงจะหัวเราะกันอีกยกใหญ่
ช่วงเวลาที่ครื้นเครงค่อยๆ ผ่านพ้นไป เมื่อเข้าสู่วันขึ้นห้าค่ำเดือนอ้าย กลับได้รับข่าวการเสียชีวิตขององค์หญิงฉังฝู
บรรดาขุนนางที่มีหน้ามีตาของเมืองเยี่ยนจิงพากันมุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิง
คนที่ค่อนข้างมีอายุเมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ไท่ฮูหยินเดินทางไปร่วมพิธีงานศพที่จวนองค์หญิงด้วยตนเอง เมื่อได้เจอกับเจิ้งไท่จวินที่อายุอาวุโสกว่านาง ทั้งสองก็พากันพรรณนาถึงความโศกเศร้าสะเทือนใจไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ หลังจากที่ไท่ฮูหยินกลับไปถึงจวนแล้วก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋คอยปรนนิบัติอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
เวลาผ่านไปราวสองวัน อาการของไท่ฮูหยินก็ยังไม่ดีขึ้น สวีลิ่งควนจึงรีบลางานกลับมาเยี่ยมไข้ทันที ทางฝั่งครอบครัวคุณชายสามเองก็ตามมาติดๆ
ไท่ฮูหยินตื่นมาด้วยอาการสะลึมสะลือพร้อมกับถามขึ้นว่า “จุนเกออยู่ไหน” “จิ่นเกออยู่ไหน” บางครั้งก็ถามว่า “แล้วเซินเกอเล่า” เด็กๆ ทั้งสามต่างก็เฝ้าอยู่ในห้องไม่ไปไหน บวกกับสามพี่น้องสกุลสวีและสะใภ้ทั้งสาม รวมไปถึงเหล่าบรรดาสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ บรรยากาศในห้องจึงค่อนข้างวุ่นวายเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงรู้สึกว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ก็เลยปรึกษาหารือกับสวีลิ่งอี๋ ให้ทุกคนคอยสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาเฝ้าจะดีกว่า
เมื่อพิจารณาเห็นว่าสวนดอกไม้หลังจวนอยู่ห่างจากเรือนของไท่ฮูหยินเกินไป สืออีเหนียงก็เลยให้ครอบครัวคุณชายสามย้ายมาพักที่เรือนเล็กข้างโถงเตี่ยนชุนแทน
เพราะครอบครัวพวกเขามีทั้งหมดเก้าคน บวกกับเหล่าบรรดาสาวใช้และบ่าวรับใข้ จึงค่อนข้างแออัดไปเสียหน่อย
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจียงซื่อรับหน้าที่ช่วยสืออีเหนียงดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนในจวนรวมไปถึงเรื่องอาหารการกิน ตอนนี้ไท่ฮูหยินล้มป่วย จิตใจของสืออีเหนียงจดจ่ออยู่กับไท่ฮูหยินเท่านั้น เจียงซื่อจึงต้องดูแลงานในจวนแทน เมื่อเห็นแล้วนางก็รีบเข้าไปปรึกษาหารือกับสืออีเหนียงว่า ”ให้ท่านลุงใหญ่กับท่านลุงสามไปพักที่เรือนข้าดีหรือไม่ ห้องโถงแรกของเรือนข้ามีห้องพักว่างอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นด้วยกับนาง
ใครจะไปคิดว่าฮูหยินสามจะให้ฟังซื่ออยู่ปรนนิบัตินางที่เรือน ”หลายวันมานี้ข้าไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก!”
บางทีอาจเป็นเพราะไท่ฮูหยินที่ดูร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็มาล้มป่วยจนร่างกายซูบผอมไร้ซึ่งเรี่ยวแรง คุณชายสามที่เงียบมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยินสาม เขาก็เหลือบไปมองฮูหยินสามด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก ”เจ้าไม่สบายอีกแล้วหรือ เช่นนั้นก็กลับไปดีกว่า หากไม่ไหวจริงๆ ข้าจะช่วยส่งเจ้ากลับไปพักรักษาตัวที่จวนสกุลเดิมของเจ้าเอง”
ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ฮูหยินสามรู้สึกอายจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี นางน้ำตาพรั่งพรูท่วมใบหน้า แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ฟังซื่อรีบพูดขึ้นว่า ”ท่านพ่อ หลายวันมานี้ท่านแม่ไม่ค่อยสบายจริงๆ ให้ข้าอยู่ปรนนิบัติท่านแม่ก็พอเจ้าค่ะ”
คุณชายสามที่นิสัยใจคออ่อนโยนมาโดยตลอด จู่ๆ ก็แสดงออกอย่างแน่วแน่เหนือการคาดหมายของทุกคน เขาออกคำสั่งกับสวีซื่อฉินบุตรชายคนโตว่า ”ไปเรียกลุงของเจ้าให้มารับแม่ของเจ้ากลับไปพักรักษาตัว”
สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและภรรยาต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน
ฮูหยินสามจึงร้องไห้พร้อมกับหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องชั้นใน ตะโกนสั่งสาวใช้ให้เก็บข้าวของสัมภาระ แต่สาวใช้เหล่านั้นจะกล้าเก็บข้าวของของนางได้อย่างไรกัน ต่างก็พากันอ้ำอึ้งถ่วงเวลา บุตรชายทั้งสองของนางก็พากันคุกเข่าโน้มน้าวและอ้อนวอนนาง เรื่องนี้จึงผ่านพ้นไปในที่สุด
แต่ที่นี่คือจวนหย่งผิงโหว จะปิดบังสืออีเหนียงได้อย่างไรกัน
เพียงไม่นานเรื่องนี้ก็มาถึงหูของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ได้เจอกับฮูหยินสามเป็นครั้งแรก…เหตุใดคนที่ฉลาดเช่นนางถึงทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมาได้ แต่ดูจากการกระทำของนางแล้วก็คงเป็นนิสัยเก่าที่ติดตัวนางมาแต่ไหนแต่ไร!
สืออีเหนียงพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอย่างเงียบๆ