ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 695 ดั่งใจหวัง (ปลาย)
แต่ละจวนต่างก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
คนเฝ้าประตูเองก็คอยวิ่งมารายงานการเคลื่อนไหวกับสวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงอย่างไม่ขาดสาย สวีลิ่งอี๋เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาพูดกับเหล่าบรรดาผู้ดูแลที่มาคารวะเขาว่า “พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ที่เหลือค่อยมาคุยช่วงบ่าย ข้าจะไปกล่าวทักทายจิ้วเหยียเสียหน่อย!”
กล่าวทักทายก็กล่าวทักทายไปสิ ไม่มีใครเขาท้วงติงเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องเสียเวลามาอธิบายกับบ่าวรับใช้เช่นพวกเขาด้วยเล่า
เหล่าบรรดาผู้ดูแลต่างก็พากันรอส่งสวีลิ่งอี๋เดินออกนอกประตู บ่าวรับใช้ที่ประจำการอยู่เรือนชั้นในพากันแยกย้ายไปแสดงความยินดีกับไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง
จื่อหงสาวใช้คนสนิทของไท่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางคอยหันไปเร่งคนแบกเสลี่ยงและป้ารับใช้งานหยาบอยู่หลายครั้งว่า “เร็วเข้า ไท่ฮูหยินกำลังรออยู่ พี่อวี้ป่านหาเสื้อคลุมช้าหน่อยยังโดนไท่ฮูหยินตำหนิไปยกใหญ่ ถือว่าท่านป้าทั้งหลายเห็นแก่หน้าข้า ให้ข้ารีบไปเรียนเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินได้อย่างราบรื่นด้วยเถิด”
“แม่นางวางใจได้ พวกข้าไม่ทำเจ้าเสียเวลาอย่างแน่นอน” ป้ารับใช้ได้ยินว่าอวี้ป่านถูกตำหนิไปยกใหญ่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังเรือนชั้นในทันที เวลานั้นเองก็เห็นป้าตู้ปรี่เข้ามาหาด้วยความรีบร้อน “เหตุใดถึงมาเอาป่านนี้ เร็วเข้าๆ ไท่ฮูหยินรออยู่ที่ใต้ชายคาแล้ว!”
ป้ารับใช้ทั้งสองได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบแบกเสลี่ยงเข้าไปในทางแคบเล็กตรงไปยังเรือนหลักทันที
สาวใช้น้อยสองคนกำลังช่วยประคองไท่ฮูหยินขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง อวี้ป่านรีบนำเบาะรองนั่งขนกระรอกปูลงบนเสลี่ยงให้ไท่ฮูหยินทันที สาวใช้น้อยอีกคนก็รีบนำเตาทองเหลืองที่ใช้สำหรับอังมือมาให้ไท่ฮูหยิน ป้าตู้คอยช่วยประคองเสลี่ยงที่กำลังถูกยกขึ้น อวี้ป่านและจื่อหงคอยยืนประกบอยู่ข้างๆ ส่วนด้านหลังก็มีสาวใช้และป้ารับใช้เดินตามหลังมาเป็นโขยง จากนั้นขบวนก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังเรือนหลัก
ทางฝั่งสืออีเหนียงก็ได้จูงมือจิ่นเกอไปยังใต้ชายคาของเรือน นางสังเกตใบหน้าของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
บนใบหน้าของเขายังคงมีรอยแดงเล็กน้อยให้เห็นอยู่รำไร หากไม่ใช่เพราะเขาผิวขาว รอยแดงเล็กๆ เหล่านี้ก็คงจะไม่เด่นชัดขนาดนี้
“ยังรู้สึกคันหรือไม่” สืออีเหนียงถามขึ้นพลางลูบรอยแดงบนใบหน้าของเขาอย่างเบามือ “ยังคิดจะปิดบังแม่อีก หากไม่ใช่เพราะพี่สองของเจ้ารีบส่งยาไปให้ทันที เกรงว่าป่านนี้ก็คงจะยังไม่หายกระมัง!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านแม่ หากไม่ใช่เพราะท่านชอบกังวลใจเกินกว่าเหตุ ข้าจะไม่บอกท่านได้อย่างไรกัน ตอนนี้ข้าโตขึ้นแล้ว รู้ว่าอะไรควรไม่ควรแล้ว หากว่าข้าป่วยหนักจริงๆ จะต้องบอกท่านอย่างแน่นอน คนที่ป่วยคือข้า คนที่เจ็บก็คือข้า เหตุใดข้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วยเล่า ใช่ว่าข้าจะโง่เขลาเสียหน่อย” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ท่านแม่ ท่านได้บอกเรื่องนี้กับท่านย่าหรือไม่ขอรับ” จู่ๆ สีหน้าของเขาก็ดูวิตกกังวลขึ้นมา
“ข้าไม่เหมือนเจ้าเสียหน่อย” สืออีเหนียงแสร้งทำสีหน้าจริงจัง “เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะไม่ให้เรียนไท่ฮูหยินได้อย่างไรกัน!”
“ไอ๊หยา!” จิ่นเกออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ “นางอายุปูนนี้แล้ว หากรู้เรื่องเข้าคงจะเอาแต่เป็นห่วงข้าแย่” พูดจบเขาก็รีบจูงมือของสืออีเหนียงเดินออกมาด้านนอกทันที “เรารีบไปหาท่านย่ากันเถิด หากท่านย่าไม่ได้เห็นหน้าข้า คงจะไม่คลายกังวลอย่างแน่นอน”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ถือว่ายังพอมีจิตใจที่ดีอยู่บ้าง” สืออีเหนียงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเขาเบาๆ “หลักการข้อนี้แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังรู้ แล้วข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน!” จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เจ้าวางใจเถิด ทางฝั่งท่านย่าของเจ้า ข้าเองไม่ได้หลุดปากพูดไปแม้แต่คำเดียว” พูดจบก็ลูบศีรษะของเขาเบาๆ “เจ้าต่างหากที่ต้องระวังคำพูด อย่าได้เผลอหลุดปากพูดไปเชียว!”
“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเง้างอด แถมยังยืนยืดอกด้วยทีท่าที่สง่าผ่าเผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ยู่ปากพูดขึ้นพึมพำว่า “ท่านแม่ ต่อไปท่านอย่าลูบศีรษะข้าอีกนะขอรับ เพราะอีกไม่กี่ปีข้าก็จะต้องสู่ขอภรรยาแล้ว หากภรรยาของข้ามาเห็นว่าข้ายังเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่ทันจะสิ้นกลิ่นน้ำนม แล้วจะเชื่อฟังคำพูดของข้าได้อย่างไรกัน…” จิ่นเกอเอ่ยหยอกล้อมารดาเพื่อให้นางอารมณ์ดี
“พูดจาซี้ซั้ว!” สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ แต่นางกลับไม่ได้ลูบศีรษะเขาอีก “ปีนี้เจ้าพึ่งจะอายุเท่าไรเอง คิดจะสู่ขอภรรยาแล้วหรือ เวลานี้เจ้าควรต้องตั้งใจเล่าเรียนถึงจะถูก” พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ได้เจอท่านตาของเจ้าแล้วหรือยัง สุขภาพของเขาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วท่านยาย ท่านลุงและเหล่าบรรดาลูกพี่ลูกน้องของเจ้าล่ะ สบายดีหรือไม่”
“ข้าได้เจอกับท่านตาแล้วขอรับ ท่านตารักและเอ็นดูข้าเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่พาข้าไปเที่ยวที่เขากูซานเท่านั้น แต่ยังมอบกระบี่หลงเฉวียนให้ข้าเล่มหนึ่งอีกด้วย แถมยังบอกด้วยว่าอีกสองปีให้ข้ากลับไปเยี่ยมเขาที่อวี๋หัง” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีที่ตื่นเต้นดีใจ “ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าท่านตาเลื่อมใสและศรัทธาในลัทธิเต๋า เขาสร้างเตาแปรแร่ธาตุไว้ที่เรือนสวนและให้ข้าคัดปรัชญากระดาษเขียวอีกด้วย! จำได้ว่าข้าคัดไปหนึ่งรอบ…”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าจอนผมของนางเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“ท่านตาของเจ้าให้เจ้ากลับไปเยี่ยมเขาที่อวี๋หังในอีกสองปีหรือ” สืออีเหนียงตัดบทสนทนาของบุตรชายไป “แล้วเจ้าตอบกลับไปว่าอย่างไร”
“ข้าย่อมต้องรับปากอยู่แล้วขอรับ” จิ่นเกอพูดจบก็ยิ้มพร้อมกับโอบไหล่ของสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ขี้เล่น “ท่านแม่ นี่ถือเป็นความตั้งใจของท่านตา! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเองก็เป็นคนสอนข้ามาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือว่าคนเราต้องรู้จักรักษาสัจจะ ให้วาจามั่นคงหนักแน่นพันชั่ง ถึงเวลานั้น ท่านคงจะไม่คิดหาวิธีขัดขวางข้าหรอกกระมัง”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและคำพูดที่เขาพูดออกมานั้นจะฟังดูไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก แต่สีหน้าของเขากลับมีความจริงจังให้เห็นอย่างชัดเจน ดูออกว่าเขาอยากที่จะกลับไปยังอวี๋หังอีกครั้งจริงๆ
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกเหมือนได้รับความโชคดีที่หล่นมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
นางไม่เคยเพ้อฝันว่าการที่บุตรชายเดินทางไปยังเจียงหนานเพียงครั้งเดียวนั้นจะสามารถลบล้างความประทับใจที่มีต่อแคว้นซีเป่ยได้อย่างสิ้นเชิง หวังเพียงแต่ว่าบุตรชายจะสามารถเรียนรู้โลกกว้างผ่านการเดินทางไปยังเจียงหนานในครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจเลือก เขาจะได้พึงรู้ไว้เสมอว่ามีทางเลือกอีกมากมายที่เขาสามารถจะเลือกเดินได้
“เจ้าชอบเจียงหนานหรือไม่” สืออีเหนียงถามจิ่นเกอ น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ชอบขอรับ!” จิ่นเกอไม่ค่อยเข้าใจมารดาสักเท่าไรนัก
การที่เขาชอบเจียงหนาน ชอบอวี๋หัง ชอบท่านตาของเขา…ท่านแม่ควรรู้สึกดีใจถึงจะถูก แต่เหตุใดสีหน้าของนางถึงได้เป็นกังวลใจเช่นนี้ไปได้
เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว สืออีเหนียงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็โอบไหล่ทั้งสองของบุตรชายไว้แน่น ถามไถ่เหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอและได้รับฟังระหว่างที่เขาเดินทางกลับอย่างละเอียดถี่ถ้วน เวลานั้นเองก็มีลมเย็นเฉียบพัดผ่านมา ลมที่เย็นยะเยือก หนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก
รอยยิ้มของสืออีเหนียงหายวับไปทันที
คงเพราะตนใจร้อนเกินไปกระมัง
“เรากลับเรือนกันเถิด!” สืออีเหนียงจูงมือของบุตรชาย “ข้างนอกอากาศค่อนข้างเย็น” พึ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า “น้องหก กลับมาแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงและจิ่นเกอพากันหันไปมองที่นอกประตูพร้อมๆ กัน ก็เห็นสวีซื่ออวี้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“พี่สอง!” จิ่นเกอเดินเข้าไปคารวะสวีซื่ออวี้ “ยินดีกับท่านด้วยที่สอบบัณฑิตจู่เหรินได้ นี่ถือเป็นตำแหน่งแรกของตระกูลเราเชียว!”
สวีซื่ออวี้ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
ในความทรงจำของเขา น้องชายคนนี้มีนิสัยใจคอที่ซื่อสัตย์ เข้มแข็ง จริงใจ โมโหร้ายและไม่ยอมคน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกที่เขาเอ่ยออกมานั้นจะเป็นคำพูดที่แสดงความยินดีต่อเขา น้ำเสียงคำพูดคำจายังเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
“เจ้ายังจำข้าได้หรือ!” เขาพยายามข่มความแปลกใจเอาไว้พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าที่แปลกตาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า “เราไม่ได้เจอหน้ากันมาสองสามปีแล้วเห็นจะได้”
“ข้าจะลืมได้อย่างไรกันเล่าขอรับ!” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ทุกครั้งที่ท่านกลับมา ก็มักจะพาข้าไปพายเรือเล่นอยู่เสมอ!”
สวีซื่ออวี้นึกถึงตอนที่เขาเคยอุ้มจิ่นเกอเมื่อตอนยังเด็ก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงดังขึ้น
เวลานั้นเองก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยหก ไท่ฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
เมื่อได้ยินแล้ว ทั้งสามก็พากันหันไปมองด้านนอก ก็เห็นไท่ฮูหยินผ่านประตูของห้องกลางที่ทะลุถึงกันพอดี
“จิ่นเกอ!” ไท่ฮูหยินอ้าแขนทั้งสองข้างออก “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที!”
จิ่นเกอโผเข้าไปกอดไท่ฮูหยินแนบแน่น “ท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ! ตอนที่ข้าไม่อยู่ ท่านทำอะไรบ้าง ป้าตู้กับพี่จื่อหงคอยเล่นไพ่เป็นเพื่อนท่านหรือเปล่า ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ไต้ซือจี้หนิงได้เอายันต์แคล้วคลาดมาขอเงินทำบุญค่าธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงกับท่านหรือไม่”
“เด็กคนนี้นี่ ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย” ไท่ฮูหยินบ่นพึมพำ แต่ก็มิอาจจะปิดบังรอยยิ้มดีใจบนใบหน้าได้ “กล้าว่ากล่าวไต้ซือจี้หนิงเช่นนี้ หากพระโพธิสัตว์รับรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็…” ขณะที่พูดอยู่นั้น ไท่ฮูหยินก็ได้พนมมือขึ้นมาพลางไหว้ไปยังทิศตะวันออก “ขอพระโพธิสัตว์โปรดประทานอภัยให้กับเขาด้วย เขายังเด็กจึงไม่รู้ความ พรุ่งนี้ลูกจะรีบไปจุดธูปขอขมาท่านทันทีเลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปพูดกับจิ่นเกอว่า “เร็วเข้า รีบไหว้พระโพธิสัตว์เร็ว!”
จิ่นเกอยิ้มเจื่อนพร้อมกับรีบพนมมือขึ้นมาไหว้ “พระโพธิสัตว์โปรดเมตตา ต่อไปลูกไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!”
ทุกคนพากันหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน
จิ่นเกอช่วยประคองไท่ฮูหยิน คนทั้งกลุ่มพากันเดินไปยังเรือนหลัก
ทุกคนต่างพากันแยกไปนั่งตามลำดับฐานะของตัวเอง สาวใช้น้อยยกน้ำชาเข้ามาให้ เวลานี้สืออีเหนียงกลับเอาแต่นึกถึงหลัวเจิ้นซิ่งที่อยู่ลานนอกไม่หยุด เขาไม่เพียงแต่พาจิ่นเกอเดินทางไปทั่วเท่านั้น แต่ยังเร่งการเดินทางเพื่อให้จิ่นเกอกลับมาให้ทันก่อนเทศกาลตรุษจีนอีกด้วย เขาหยุดพักที่จวนเพียงไม่กี่วันก็รีบออกเดินทางทันที เกรงว่าคงจะไม่ทันได้พูดคุยกับบุตรชายของเขาดีๆ เสียด้วยซ้ำ
ปล่อยให้จิ่นเกออยู่คุยกับไท่ฮูหยินและสวีซื่ออวี้อย่างสนุกสนาน ส่วนสืออีเหนียงก็ปลีกตัวไปยังห้องตำราของลานนอกแทน
สวีลิ่งอี๋กำลังคุยกับหลัวเจิ้นซิ่ง เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบถามขึ้นว่า “จิ่นเกอเล่า”
“กำลังคุยเล่นเป็นเพื่อนท่านแม่อยู่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพหลัวเจิ้นซิ่งด้วยความนอบน้อม “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ลำบากท่านแล้ว!”
“คนบ้านเดียวกัน ไม่พูดจาเป็นสองบ้าน” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าและจิ่นเกอพากันเดินทางมารอบหนึ่ง ถือว่าได้อะไรไม่น้อย จะว่าไปแล้ว ล้วนแล้วแต่อาศัยบารมีของจิ่นเกอทั้งสิ้น!” จากนั้นก็ได้พูดเรื่องที่จิ่นเกอเป็นตุ่มขึ้นมา “กลับกลายเป็นข้าเสียมากกว่าที่ไม่ได้ดูแลจิ่นเกอให้ดีเท่าที่ควร…”
“พึ่งพูดไปหยกๆ ว่า ‘คนบ้านเดียวกัน ไม่พูดจาเป็นสองบ้าน’ เหตุใดถึงได้มาพูดจาเกรงอกเกรงใจเสียเอง” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นพลางยกถ้วยน้ำชาในมือขึ้นมา “ลองชิมดู ชาเหลืองเข็มเงินจวินซาน”
หลัวเจิ้นซิ่งก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายิ้มพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หลับตาลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงจิบชาใหม่อีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “รสขมเข้มข้น หอมหวานสดชื่น ไม่เหมือนชาหลงจิ่งที่มีรสขมอ่อนๆ รสชาติกลมกล่อม ถือเป็นใบชาชั้นเลิศโดยแท้”
“เช่นนั้นเจ้าก็เอากลับไปด้วยเสียหน่อย” สวีลิ่งอี๋ยิ้มกว้าง จากนั้นก็สั่งให้เติงฮวาไปห่อใบชามาให้หลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าที่ลังเลใจเล็กน้อย
“เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดกับข้า!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ในเรือนไม่มีคนนอกเสียหน่อย”
สีหน้าของหลัวเจิ้นซิ่งดูผ่อนคลายลง เขายิ้มขึ้นบางๆ แต่ก็ยังใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ออกไปครั้งนี้ข้าถือโอกาสไปเยี่ยมน้องเขยห้าอีกด้วย!”
“เฉียนหมิงน่ะหรือ!” สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
สองปีมานี้อู่เหนียงอาศัยอยู่ในเมืองเยี่ยนจิงมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ได้เจอกันในวันเทศกาลต่างๆ รวมไปถึงงานเฉลิมฉลองและงานศพ นางก็มักจะพูดถึงลูกๆ สองคนเท่านั้น แทบจะไม่ได้เอ่ยถึงเฉียนหมิงเลย และถึงแม้ว่าจะมีคนพูดถึงเฉียนหมิง นางก็จะพูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น บางทีนางอาจจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางและเฉียนหมิงนั้นมีปัญหาก็เป็นได้ แต่การที่อู่เหนียงไม่ยอมพูดออกมา นางก็ไม่สะดวกที่ใจจะไปซักถามอะไรมากมาย
“สถานการณ์ของเหวินเติงเป็นอย่างไร ข้าไม่พูดท่านเองก็คงจะรู้ดี หากไม่ใช่เพราะที่นั่นมีโจรปล้นขโมยเกลื่อนเมือง ยากที่จะดูแลผู้อพยพที่ลี้ภัยได้ อำเภอเหวินเติงจะตกมาอยู่ในมือของเฉียนหมิงได้อย่างไรกัน” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเฉียนหมิงจะใช้เวลาสั้นๆ เพียงแค่ห้าหกปีในการปกครองเหวินเติงจนสามารถทำให้ผู้คนไม่ไปเก็บหรือลักขโมยสิ่งของมีค่าของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง กลางค่ำกลางคืนไม่ลงกลอนประตูนอนก็ยังได้ พอชาวบ้านที่ช่วยบอกทางได้ยินว่าข้าเป็นญาติของเฉียนหมิง ไม่เพียงแต่อาสาจะไปส่งข้าที่ศาลปกครองเท่านั้น แต่ยังพยายามจะมอบไข่ในตะกร้าของเขาให้ข้าอีกด้วย…”
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงต่างก็รู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ “เขาเป็นกลุ่มบัณฑิตจิ้นซื่อลำดับห้า หากได้รับโอกาสก็จะสามารถปกครองไปในทางที่ดีได้…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักคำพูดไป