ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 694 ดั่งใจหวัง (กลาง)
ทุกคนนั้นดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ต่างก็คาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาดีเช่นนี้ ผู้ดูแลทั้งชายและหญิงต่างก็พากันออกมาแสดงความยินดีกับสวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและเซี่ยงซื่อกันอย่างล้นหลาม ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและเซี่ยงซื่อตกเงินรางวัลให้กับทุกคนที่มากล่าวแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า มีเพียงสวีลิ่งอี๋คนเดียวที่เอาแต่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น พลอยทำให้คนที่มาแสดงความยินดีต่างก็พากันทำตัวไม่ถูกไปหมด ไม่รู้ว่าได้ประจบสอพลอหรือได้เหาใส่หัวแทน ราวกับไฟที่มาเจอกับน้ำ ดับมอดลงไปในทันที ต่างก็พากันกล่าวแสดงความยินดีด้วยอาการติดอ่าง คำพูดที่ใช้เวลาท่องราวครึ่งก้านธูปพลอยติดขัดไปหมด พูดจบก็รีบถอยออกมาด้วยความลนลาน คนอื่นๆ ที่ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีเมื่อเห็นแล้วก็ไม่กล้าแม้แต่จะไปกล่าวเสียด้วยซ้ำ
ไม่นานความเงียบสงัดของลานนอกก็ค่อยๆ ส่งผลกระทบมายังลานชั้นใน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ชื่นมื่นก็ค่อยๆ เบาลง บรรยากาศที่ครึกครื้นค่อยๆ เงียบหายไปโดยปริยาย
“ท่านโหวไม่ดีใจจริงๆ หรือ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปในเรือนชั้นใน ก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง “ข้าไม่เชื่อหรอกนะเจ้าคะ!” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ท่านโหวแสดงสีหน้าท่าทีออกมาเช่นนี้เพื่ออะไรหรือ”
สีหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ดีขึ้นราวกับหิมะที่ค่อยๆ ละลายภายใต้แสงแดดอย่างช้าๆ “เจ้าเองก็เห็น แต่ละคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายกันทั้งนั้น หากว่าข้ายิ้มให้เขาเห็น ก็เหมือนเป็นการเติมเชื้อให้ไฟ ไม่รู้ว่าไฟนั้นจะโหมกระหน่ำไปถึงไหนต่อไหน! หากสามารถสอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้ก็ยังพอว่า แต่เป็นแค่บัณฑิตจู่เหริน จะสอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้หรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง หากผู้อื่นเห็นเข้าก็มีแต่จะพากันดูถูกอวี้เกอว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย อีกอย่างอวี้เกออายุยังน้อย หลายปีมานี้ระหว่างที่เขาเดินทางไปกลับเล่ออานและเยี่ยนจิงก็ยังเคยแวะไปที่เจียงหนานหนึ่งครั้ง เช่นนี้ การที่ข้าแสดงความเย็นชาต่อเขาก็ไม่ถือว่าเกินไป”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ความสัมพันธ์ระหว่างสวีลิ่งอี๋และสวีซื่ออวี้ถือเป็นแบบอย่างความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกที่ดีเยี่ยม
“ท่านโหวคาดหวังกับสวีซื่ออวี้สูงเกินไปแล้วกระมัง” สืออีเหนียงโน้มน้าวเขา “อย่างน้อยๆ ท่านควรจะยิ้มแย้มหรือมอบของขวัญสักชิ้นเพื่อแสดงความยินดีต่อเขา เดาใจกันไปมาเช่นนี้ มีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะสามารถหยั่งรู้ได้!”
“วันข้างหน้าเขาจะต้องเดินบนเส้นทางแห่งขุนนาง ในก้าวแรกเขาจะต้องเรียนรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น “หากเขาไม่เข้าใจแม้กระทั่งจิตใจของคนรอบข้างตัวเองอย่างถ่องแท้ ถึงแม้จะสอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้ ก็สู้อยู่เรียบเรียงหนังสือตำราที่สำนักศึกษาฮั่นหลินเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องถูกคนอื่นหลอกใช้แล้วยังไปช่วยคนอื่นแก้ตัวอีก พลอยจะขายหน้าข้าเอาได้!”
“ท่านโหวพูดเกินไปหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดขึ้น “คนเราย่อมมีพื้นที่ส่วนตัวที่ใช้ปลดปล่อยและผ่อนคลายกันทั้งนั้น หากมาคอยคิดเล็กคิดน้อยกับญาติสนิทชิดใกล้ประหนึ่งเป็นคนนอก แล้วจะได้พักผ่อนตอนไหนกันเล่า”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบอะไร เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “สองวันนี้เกรงว่าเจ้าคงจะต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว อวี้เกอสอบเคอจวี่ได้ เจ้าควรไปแจ้งข่าวกับทางฝั่งสกุลเจียงด้วยตัวเองจะดีกว่า หากทางโจวฮูหยินทราบเรื่องแล้วเกรงว่าคงจะรีบร้อนมาส่งมอบของขวัญทันทีกระมัง”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากที่จะพูด สืออีเหนียงจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะมีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นเหมือนคนแก่ที่พูดพร่ำไม่หยุด
“ท่านโหววางใจเถิด ข้าได้สั่งให้ผู้ดูแลหญิงเตรียมเงินและข้าวของรวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่จะใช้เป็นของขวัญเรียบร้อยแล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่จวนสกุลเจียงแต่เช้าตรู่ ตกบ่ายค่อยไปที่จวนสกุลเซี่ยงเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังห้องตำรา “ข้าจะเขียนจดหมายให้กับอาจารย์เจียงที่เล่ออานและใต้เท้าเซี่ยงที่หูก่วง หนึ่งคือข้าต้องการจะกล่าวขอบคุณพวกเขา สองคือข้าต้องการจะปรึกษาหารือเรื่องของอวี้เกอว่าเขาควรที่จะเข้าร่วมการสอบในฤดูใบไม้ผลิหรือเรียนหนังสือต่อไปอีกสักสองสามปีดี” พูดจบจู่ๆ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “สอบได้ลำดับที่สี่…การสอบในฤดูใบไม้ผลิจะรับเพียงหนึ่งในสองของอันดับแรกที่เข้าร่วมการสอบเท่านั้น…จำนวนคนสองร้อยคน…ถ้าเกิดไม่ผ่านการคัดเลือกล่ะก็…”
หากไม่ผ่านการคัดเลือก อย่างน้อยๆ ก็ต้องสอบเคอจวี่หรือราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้
หากสอบชิงตำแหน่งเคอจวี่ได้ก็ยังพอว่า เพียงแค่เข้าสอบใหม่ในครั้งต่อไปก็พอ แต่หากว่าสอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อได้…แม้ว่าจะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่คนหนึ่งเป็นถึงบุตรชายของภรรยาเอก ส่วนอีกคนเป็นแค่บุตรชายของอนุ เงินเดือนค่าตอบแทนย่อมมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย
สืออีเหนียงเดินออกไปส่งสวีลิ่งอี๋ที่หน้าประตู นางกำลังครุ่นคิดว่าควรจะเอาหมึกแท่งอักษรทองทั้งสี่ที่ในวังประทานให้สวีลิ่งอี๋ไปมอบให้สวีซื่ออวี้เป็นของขวัญดีหรือไม่ แต่จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็มาหาพอดี
“บิดาของเจ้าอยู่ที่ห้องตำรา!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ยังไม่ทันที่นางจะได้นั่งลงเสียด้วยซ้ำ
จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็พูดขึ้นว่า “ข้ามาหาท่านแม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ “มาหาข้าหรือ”
สวีซื่ออวี้พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงจึงเชื้อเชิญสวีซื่ออวี้ไปนั่งที่ห้องปีกทิศตะวันตก
สวีซื่ออวี้นำขวดเครื่องเคลือบเขียนสีฟ่าหลังลายเส้นสีทองใบเล็กออกมา “เช้าวันนี้ได้ยินอิ๋งอิ๋งเหนียงบอกว่าตอนน้องหกอยู่ที่ไหวอานจู่ๆ ก็ถูกแมลงกัดเข้า เลยเป็นตุ่มแดงเม็ดเล็กใหญ่ทั่วทั้งใบหน้า นี่เป็นยาที่พ่อตาข้าให้มา เป็นยาที่ใช้รักษาแผลแมลงกัดต่อยโดยเฉพาะ ได้ผลเป็นอย่างมาก ท่านแม่รีบให้ฝ่ายรายงานไปขอม้าเร็วหกร้อยลี้ของกรมกลาโหมช่วยนำยานี้ไปส่งให้จิ่นเกอที่หยางโจวโดยเร็วเถิดขอรับ!”
หลังจากที่สืออีเหนียงได้รับจดหมายของหลัวเจิ้นซิ่งแล้ว นางจึงพึ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้น จิ่นเกอไม่ได้เขียนเรื่องที่เกิดขึ้นลงในจดหมายที่เขาส่งมาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าในจดหมายของหลัวเจิ้นซิ่งจะเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เอาแต่กล่าวโทษตัวเองว่าไม่ได้ดูแลจิ่นเกอให้ดีเท่าที่ควร และเขาก็ได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงของพื้นที่มารักษาอาการของจิ่นเกอแล้ว ตอนนี้ตุ่มแดงดีขึ้นมากแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี นอกจากจะให้หู่พั่วไปถามยารักษากับหมอหลิวแล้ว นางยังให้ชิวอวี่ไปรื้อค้นยาที่ใช้รักษาอาการบวมและอาการคันที่มีออกมาทั้งหมด ตอนนั้นเซี่ยงซื่ออุ้มอิ๋งอิ๋งมาคารวะพอดี ดูท่าแล้วคงจะได้ยินอะไรไปพอสมควร
นางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ที่หูก่วงมียุงและแมลงค่อนข้างเยอะ ใต้เท้าเซี่ยงเองก็เป็นผู้ว่าการมณฑลของหูก่วง ในเมื่อเป็นของที่ใต้เท้าเซี่ยงให้มา สวีซื่ออวี้เองก็บอกว่าดี ตัวยาคงจะมีประสิทธิผลไม่น้อย
“เรื่องนี้อย่าให้ไท่ฮูหยินรู้จะเป็นการดีกว่า” สืออีเหนียงรับขวดแก้วมา “ข้าไม่อยากเห็นนางเป็นกังวลใจ”
สวีซื่ออวี้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่วางใจเถิด ทางฝั่งอิ๋งอิ๋งเหนียง ข้าเองก็ได้ตักเตือนไปแล้วขอรับ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หู่พั่วก็ยกกล่องไม้สีดำเงาเข้ามาพอดี
“ท่านหมอหลิวว่าอย่างไรบ้าง” สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปถามทันที
สวีซื่ออวี้เองก็รีบตามไปด้วย
หู่พั่วเปิดฝากล่องออก “ท่านหมอหลิวบอกว่าหากใบหน้าของคุณชายน้อยหกมีตุ่มแดงผุดขึ้นห่างๆ กันก็ให้ใช้ยาขวดสีเหลือง แต่หากใบหน้ามีตุ่มแดงเป็นปื้นวงกว้างก็ให้ใช้ยาขวดสีเขียว และหากตุ่มแดงกลายเป็นตุ่มน้ำใส ก็ให้ใช้ยาขวดสีขาว…”
“เจ้ารอประเดี๋ยว” สืออีเหนียงเห็นว่ามีขวดอยู่หกเจ็ดขวดเห็นจะได้ จึงสั่งกับชิวอวี่ว่า “เจ้าไปฝนหมึกให้ข้าหน่อย” จากนั้นก็หันไปพูดกับหู่พั่วว่า “ข้าจะจดรายละเอียดที่เจ้าพูดมาทั้งหมดส่งไปพร้อมกับของในกล่องนี้ด้วยเลย พวกเขาเองก็จะได้จัดยาตามที่ท่านหมอหลิวสั่งไว้”
ชิวอวี่ขานรับและรีบไปทันที หู่พั่วเองก็รีบขานรับตาม
“ท่านแม่ ข้าช่วยเขียนดีกว่า!” สวีซื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันที “ท่านพักเสียหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว!”
สืออีเหนียงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของสวีซื่ออวี้แต่อย่างใด หู่พั่วจึงเริ่มพูดทวนใหม่อีกรอบ สวีซื่ออวี้จดบันทึกตาม จากนั้นก็นำขวดแก้วที่สวีซื่ออวี้มอบให้ใส่ลงไปในกล่องด้วย แล้วจึงให้ผู้ดูแลจ้าวใช้ม้าเร็วพิเศษส่งของทั้งหมดไปให้จิ่นเกอทันที
สวีซื่ออวี้เอ่ยขอน้ำชาหนึ่งถ้วย
สืออีเหนียงนึกว่าเขามีธุระจะพูดกับนาง อยู่คุยกันจนจบก็ไม่เห็นว่าเขาจะพูดอะไรออกมา สุดท้ายก็ขอตัวลากลับ
จู่ๆ นางก็นึกถึงสีหน้าท่าทีที่เย็นชาของสวีลิ่งอี๋ขึ้นมา
“ตอนนี้พ่อของเจ้ากำลังเขียนจดหมายไปหาอาจารย์เจียงและใต้เท้าเซี่ยงอยู่” สืออีเหนียงอธิบายกับเขา “ปรึกษาหารือเรื่องการสอบในฤดูใบไม้ผลิของเจ้า”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ข้าเข้าใจเจตนาของท่านพ่อดี และข้าเองก็ไม่อยากให้ทุกคนพากันถกเถียงกันเพราะเรื่องนี้” สีหน้าท่าทีของเขาดูสงบและสุขุมเป็นอย่างมาก
ดูท่าแล้วนางคงจะคิดมากไปเอง
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงให้หู่พั่วนำ ‘หมึกแท่งทั้งสี่’ ที่สลักด้วยอักษรสีทองมาให้สวีซื่ออวี้ “ฮองเฮาประทานให้พ่อของเจ้า ข้าใช้ไปแล้วหนึ่งแท่ง สีสันสวยสดงดงาม น้ำหมึกสีเข้มและดำเงา เจ้าลองนำไปใช้ดูเถิด”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เขารีบพูดขึ้นว่า “ข้ากำลังกังวลใจอยู่พอดี ไม่รู้ว่าควรจะมอบอะไรเป็นของขวัญให้กับท่านอาจารย์กับฟังจี้ดี นำหมึกแท่งเหล่านี้แบ่งไปทำกล่องไม้สีดำเงาฝังด้วยเปลือกหอยมุก ใช้มอบเป็นของขวัญคงจะดีไม่น้อย” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ท่านแม่ใช้ไปแล้วหนึ่งแท่ง ถือว่าเปิดไปแล้วหนึ่งกล่อง ท่านแม่มอบหมึกแท่งส่วนที่เหลือให้กับข้าได้หรือไม่ขอรับ!”
กล่องหมึกหนึ่งกล่องมีหมึกทั้งหมดสี่แท่ง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง “ยังเหลืออีกสามแท่ง ให้เจ้าหมดเลยก็แล้วกัน”
สวีซื่ออวี้ก็กล่าวขอบคุณสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่กลับไปแล้วเขาก็สั่งให้ช่างทำกล่องไม้สีดำเงาออกมาจำนวนหนึ่ง ผิวของกล่องไม้ถูกฝังด้วยเปลือกหอยมุก ประดับด้วยตัวอักษรสีทอง สีสันและลวดลายงดงามตระการตา ดูเหมาะสมกับฐานะของเขาไม่น้อย
หลังจากที่ได้พบปะสังสรรค์กับอาจารย์และเหล่าสหายแล้ว ผ่านไปเพียงไม่นานก็เข้าสู่เทศกาลฤดูหนาว
อาจารย์เจียงและใต้เท้าเซี่ยงก็ได้ตอบจดหมายกลับมา ทั้งสองต่างก็คิดเห็นเหมือนกันว่ารออีกสามปีค่อยให้สวีซื่ออวี้ลงสอบ คนหนึ่งกล่าวว่า ‘…อาศัยตอนที่อายุยังน้อยไปทุ่มเทให้กับการเรียนดีกว่า หลังจากที่อายุสามสิบปีแล้ว ความจำก็จะไม่ดีเหมือนเช่นเมื่อก่อน คนที่มีชื่อเสียงเรียงนามในอดีตต่างก็ตั้งใจเล่าเรียนตอนที่ยังเยาว์วัยทั้งสิ้น’ ส่วนอีกคนก็บอกว่า ‘…การมีชื่อเสียงเรียงนามตั้งแต่ยังเยาว์วัยย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่ก็จะกลายเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงได้เช่นกัน ไม่ว่าจะทำการใดๆ ก็จะยโสโอหังและมักจะล่วงเกินเบื้องสูงหรือสหายร่วมงานโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ยากที่จะทำการใหญ่สำเร็จได้’
“เช่นนั้นรออีกสามปีค่อยกลับมาสอบก็แล้วกัน!” สวีลิ่งอี๋รีบตัดสินใจในทันที
สวีซื่ออวี้กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อบิดาไม่อยากที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองการสอบบัณฑิตจู่เหรินให้เขา เช่นนั้นก็แสดงว่าคงจะไม่ยินยอมให้เขาเข้าร่วมการสอบในฤดูใบไม้ผลิอย่างแน่นอน ตัวเขาเองก็จะได้กลับไปเรียนหนังสือที่เล่ออานได้อย่างสบายใจ
เขาถามสืออีเหนียงว่า “น้องหกจะกลับมาเมื่อไรหรือขอรับ ข้าไม่ได้เจอหน้าเขาหลายปีแล้ว ครั้งก่อนเขาและท่านพ่อไปที่แคว้นซีเป่ย ต่อมาก็ไปที่เจียงหนานกับท่านลุง หน้าตาคงจะเปลี่ยนไปไม่น้อย ตอนเจอหน้าเขาไม่รู้ว่าจะจำได้หรือไม่”
“จิ่นเกอจะกลับมาถึงก่อนตรุษจีนเล็กนี้” สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าอีกแค่เดือนกว่าๆ นางก็จะได้เจอกับจิ่นเกอแล้ว ดวงตาพลันมีน้ำตาเอ่ออย่างไม่อาจบดบังสีหน้าที่ดีใจไว้ได้ “ท่านโหวบอกว่าหลังตรุษจีนค่อยให้เจ้ากลับไปที่เล่ออานมิใช่หรือ พอดีเลย พวกเจ้าพี่น้องจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ “ท่านลุงใหญ่ไม่กลับไปฉลองตรุษจีนที่เมืองอวี๋หังหรือขอรับ”
“ไม่ได้กลับไป!” สืออีเหนียงรู้ว่าทุกอย่างที่หลัวเจิ้นซิ่งทำไปนั้นก็เพื่อจิ่นเกอ จึงพูดขึ้นอย่างละอายใจว่า “ท่านลุงใหญ่ของเจ้าจะอยู่ฉลองตรุษจีนที่เมืองเยี่ยนจิง”
สืออีเหนียงเพิ่งจะพูดจบ หู่พั่วก็เดินเข้ามาพอดี นางหอบเอากระดาษรายการกองโตมายื่นให้กับสืออีเหนียง “ฮูหยิน นี่เป็นรายการข้าวของที่จะต้องเตรียมตอนตรุษจีนเจ้าค่ะ!”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงไล่ดูทุกรายการอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วจึงนำตราประทับหินสามแพะก่อเกษมประทับลงไป หู่พั่วนำรายการเหล่านั้นไปให้เจียงซื่อ จากนั้นเจียงซื่อก็สั่งการกับเหล่าบรรดาผู้ดูแลหญิงไปจัดเตรียมตามรายการเหล่านั้น
สืออีเหนียงเฝ้ามองเจียงซื่อช่วยดูแลจัดการงานในเรือนรวมไปถึงอาหารการกิน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังหัวไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สืออีเหนียงจึงตัดสินใจมอบหมายงานที่อยู่ในมือส่วนหนึ่งให้กับเจียงซื่อ ให้นางดูแลเรื่องข้าวของที่จะใช้เซ่นไหว้ศาลบรรพชนและของขวัญที่จะมอบให้กับจวนต่างๆ ในช่วงเทศกาลพิเศษ ตรุษจีนที่ผ่านๆ มาชุลมุนวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่ปีนี้นางมีเวลาว่างค่อนข้างเยอะ ก็เลยพาเหล่าบรรดาสาวใช้มาตกแต่งเรือนของจิ่นเกอ ทำความสะอาดทั้งเรือนรวมไปถึงลานสวน เมื่อเข้าสู่เดือนสิบสอง นางก็เริ่มจัดแจงให้บ่าวรับใช้ไปคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูใหญ่
หลังเทศกาลทานโจ๊กล่าปาในวันที่สามผ่านไปแล้ว หลัวเจิ้นซิ่งก็ได้พาจิ่นเกอกลับไปยังเหอฮวาหลี่