ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 693 ดั่งใจหวัง (ต้น)
สวีซื่ออวี้พูดด้วยความเคารพ “พ่อตาเขียนจดหมายให้อาจารย์ ถามว่าข้าจะออกเดินทางเมื่อไร หากไปถึงเยี่ยนจิงเร็วหน่อยให้ข้าไปคารวะอาจารย์อู่เย่ว์สหายของเขาขอรับ อาจารย์ได้ยินดังนั้นจึงให้ข้ากลับมาก่อน”
“อาจารย์อู่เย่ว์?” สวีลิ่งอี๋พูด “เขาคือใคร”
“เขาแซ่หง เป็นอาจารย์ที่อำเภอหย่งชิง ถึงแม้ว่าจะเป็นจู่เหรินแต่กลับสนิทสนมกับหวังจื่อซิ่น ใต้เท้าหวังรองเจ้ากรมพิธีกรรมศาลว่าการขอรับ” สวีซื่ออวี้พูดถึงตรงนี้ก็หยุดพูด
สวีลิ่งอี๋ไม่ถามอะไรอีก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ควรเขียนจดหมายส่งถึงกันจริงๆ” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพักอยู่ที่ไหน ทานอาหารเย็นแล้วหรือยัง ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถิด ที่นี่สะดวกกว่า”
พวกเขาเหมาลานหมดแล้ว มีทั้งองครักษ์ บ่าวรับใช้ สาวใช้และป้ารับใช้ ห้องทางทิศตะวันตกก็ยังว่าง ไม่เพียงแต่มีที่อยู่ สะดวกสบาย ซ้ำยังปลอดภัยอีกด้วย
“ท่านพ่อทานกับท่านแม่เถิด ข้าทานมาแล้วขอรับ” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้ไปรายงานมั่วจู๋ย้ายหีบเข้ามา
สืออีเหนียงพูดกับสวีซื่ออวี้ “อิ๋งอิ๋งน่ารักน่าชังอย่างมาก เดินเองได้แล้ว” พอย้ายหีบเข้ามาเสร็จแล้ว สวีซื่ออวี้ก็เห็นว่าดึกแล้ว จึงลุกขึ้นขอตัวลา
“เรื่องของอาจารย์อู่เย่ว์ มีอะไรที่ข้าไม่รู้หรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋เบาๆ
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
สืออีเหนียงคิดว่าเขาไม่อยากตอบคำถามตัวเอง
ใครจะรู้ว่าพอนอนบนเตียงเดียวกันยามดึก เขากลับพูดเสียงเบา “นักปราชญ์ที่ดีไม่กล้าพูดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก แต่แม่ทัพกลับบอกว่าตัวเองคือคนที่เก่งที่สุดในโลก ความชอบของผู้คุมสอบ มีผลต่อผลการสอบเซียงซื่อ ใต้เท้าเซี่ยงให้อวี้เกอไปคารวะอาจารย์อู่เย่ว์คนนั้น คิดว่าเขาคงอยากจะรู้ความชอบของผู้คุมสอบผ่านอาจารย์อู่เย่ว์ เรื่องเช่นนี้ ในใจรู้เหตุผลแต่กลับพูดออกมาไม่ได้”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าจำได้ว่าหวังจื่อซิ่นใต้เท้าหวัง คือพ่อสื่อของภรรยาจุนเกอ…”
แล้วอีกอย่าง เจียงซงก็เป็นบัณทิตเคอจวี่ เกรงว่าเขาคงจะเข้าใจความหมายของใต้เท้าเซี่ยงตั้งนานแล้ว
“เหมือนเจ้าอยากจะเป็นผู้บัญชาการ หากไม่จัดการสกุลขุนนางเหล่านั้นให้ดี เกรงว่าคงจะมีแต่ปัญหา หากเจ้าได้รับคำแนะนำการสอบขุนนางระดับเคอจวี่จากผู้ใหญ่ ก็จะมีโอกาสมากกว่าคนทั่วไป” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเอนตัวไปเป่าตะเกียง “พรุ่งนี้ต้องนั่งรถม้าทั้งวัน เจ้ารีบนอนเอาแรงเถิด”
สืออีเหนียงขานรับแล้วหลับตาลง
แต่นางหลับมาทั้งช่วงบ่ายแล้ว นางจะง่วงได้อย่างไร นอนนับแกะ แต่ใจกลับคิดถึงจิ่นเกอที่พึ่งจะจากกันไป
ห่างจากพ่อแม่ครั้งแรก ไม่รู้ว่าเขาจะกลัวหรือไม่ ตอนนี้เขากำลังทำอะไร นอนหลับไปแล้วหรือคิดถึงคนในครอบครัวตัวเองที่ห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ เหมือนนาง
คิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งนอนไม่หลับ
มีลมหายใจที่สม่ำเสมอดังอยู่ข้างหู
สืออีเหนียงพลิกตัวเบาๆ แต่ทำเอาสวีลิ่งอี๋ตกใจตื่น
“คิดถึงจิ่นเกอหรือ”
สืออีเหนียงตกใจ “ท่านโหวยังไม่หลับหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “วันนี้พวกเขาคงทอดสมออยู่ที่เมืองจังจยาวาน พรุ่งนี้ก็คงถึงเทียนจินแล้ว”
ท่ามกลางความมืดมิด สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับมือสวีลิ่งอี๋
*****
วันต่อมา พี่น้องเจอหน้ากัน บรรยากาศก็คึกคักอีกครั้ง จากนั้นสืออีเหนียงก็นั่งรถม้า ส่วนสวีลิ่งอี๋และลูกๆ ควบม้ากลับไปที่ตรอกเหอฮวาหลี่
ไท่ฮูหยินกำลังโศกเศร้ากับการไปเจียงหนานของจิ่นเกอ พอได้ยินว่าพวกเขากลับมาก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ตกเย็นทุกคนทานอาหารที่เรือนของไท่ฮูหยินอย่างสนุกสนาน
ญาติพี่น้องไปมาหาสู่กัน สหายมารวมตัวกัน พี่น้องสกุลสวีดื่มสุรากัน เมื่อสวีซื่ออวี้ไปคารวะอาจารย์อู่เย่ว์ ก็ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว
สืออีเหนียงได้รับจดหมายจากจิ่นเกอ
“เป็นอย่างไรบ้าง รีบอ่านให้ข้าฟังเร็วเข้า!” ไท่ฮูหยินพลันรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองสายตาสั้น ไม่รอให้ป้าตู้หยิบแว่นตาในกล่องมาให้ นางก็เร่งให้สืออีเหนียงอ่านให้นางฟังเร็วๆ
“ท่านย่าที่เคารพ ข้าและท่านลุงใหญ่มาถึงซังโจวแล้วขอรับ พี่เขยใหญ่พาพี่หญิงใหญ่และหลานชายสองคนมาต้อนรับ อานจิ่งร่าเริงน่ารักน่าชัง ส่วนอานสวี้ฉลาดหลักแหลม คนหนึ่งไร้เดียงสา ส่วนอีกคนหนึ่งยังพูดไม่เป็นเลยขอรับ…”
เขายังเขียนจดหมายที่เนื้อหาเหมือนกันให้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง แต่คำขึ้นต้นเปลี่ยนเป็น ‘ท่านพ่อและท่านแม่ที่เคารพ’
“ไอ๊หยา เจ้าอ่านเนื้อๆ หน่อย!” ไท่ฮูหยินขัดจังหวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอ่านจดหมายของจิ่นเกอ “… บอกว่าเจอเจินเจี่ยเอ๋อร์และท่านเขยใหญ่พาไปคารวะสกุลเซ่า เจอกับจิ้วเหยียสกุลเซ่า ท่านเขยใหญ่ยังพาเขาไปหอศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในซังโจว พวกเขาอยู่ที่ซังโจวสองวัน กำลังออกเดินทางไปเต๋อโจวเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้วๆ” นางพูดด้วยท่าทางครุ่นคิด
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ นางนั่งเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าจำได้แล้ว” นางตะโกนเรียกป้าตู้ “เจ้ามีหลานที่แต่งงานไปอยู่เต๋อโจวไม่ใช่หรือ แล้วยังรับตำแหน่งลี่มู่?” นางพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ไท่ฮูหยินความจำดีเสียจริงเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะความเมตตาของท่านโหวถึงได้ตำแหน่งดีเช่นนี้ ปีใหม่ปีนี้ก็มาคารวะท่านและฮูหยินแล้ว แต่ว่าคนในจวนเยอะ จึงรอก้มหัวให้ท่านและฮูหยินในลานกับมารดาของเขาเจ้าค่ะ…”
“ข้าไม่ได้พูดเรื่องนี้!” ไท่ฮูหยินพูดอย่างหมดความอดทน “ข้าหมายความว่าให้เจ้าเขียนจดหมายไปให้เขา บอกให้เขาไปดูจิ่นเกอบนเรือ นั่งเรือตลอดทาง ไม่รู้ว่าเขาผอมลงหรือไม่ ทานอะไรหรือไม่”
ป้าตู้ยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
แต่สืออีเหนียงกลับห้ามนางเอาไว้ นางพูดกับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ จดหมายนี้เขียนตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว คนส่งจดหมายไปถึง เกรงว่าจิ่นเกอก็คงจะออกไปจากเต๋อโจวแล้วกระมัง”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ผิดหวัง
ป้าตู้รีบพูด “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บ่าวเขียนจดหมายให้คนนำไปส่ง เขารู้จักเส้นทางไปเต๋อโจวของคุณชายน้อยหก เขาต้องขึ้นเรือไปก้มหัวให้คุณชายน้อยหกแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ารีบไปเขียนเถิด ข้าจะให้คนที่ฝ่ายรายงานไปส่งจดหมายให้เจ้า”
ป้าตู้ขานรับแล้วเดินออกไป
ไท่ฮูหยินถามถึงสวีซื่ออวี้ “เขาบอกว่าจะไปฟังอาจารย์อะไรสักอย่างสอนเขียนบทความ ไปแล้วหรือยัง อาจารย์คนนั้นสอนเขาหรือไม่” นางถามพร้อมกับหยิบกล่องแกะสลักสีแดงออกมาจากลิ้นชักแล้วนำจดหมายใส่ลงในกล่อง
“ไปแล้วเจ้าค่ะ!”สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์คนนั้นพอได้ยินว่าใต้เท้าเซี่ยงเป็นคนแนะนำมา แล้วยังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เจียง ก็ให้เกียรติเขาเป็นอย่างมาก บอกให้อวี้เกออยู่ที่เรือนของเขา ขนาดมั่วจู๋และคนอื่นๆ ยังคิดไม่ถึง จึงรีบเก็บข้าวของให้อวี้เกอ แล้วยังส่งบ่าวรับใช้มาเอาเสื้อผ้า ภรรยาของอวี้เกอพึ่งจะส่งเขาออกไปเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพูด “เกรงว่าคงต้องขอบพระคุณอาจารย์อู่เย่ว์คนนั้น!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าให้ฉังเสวียจื้อ บุตรชายของฉังจิ่วเหอที่เป็นคนดูแลไร่ให้ข้า ตอนนี้เขาเป็นผู้ดูแลที่ฝ่ายรายงาน ให้เขาไปอำเภอหย่งชิงกับบ่าวรับใช้ของอวี้เกอ แล้วยังนำภาพวาด ‘ต้นไม้หิมะ’ ของหลี่ตี๋ไปด้วย”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า
ฮูหยินสองเข้ามา “ได้ยินว่าอวี้เกออยู่ที่อำเภอหย่งชิงอย่างนั้นหรือ”
สืออีเหนียงเล่าให้ฮูหยินสองฟัง
“ในเมื่อมีบัณทิตจู่เหรินเป็นอาจารย์ ข้าคิดว่ามอบภาพวาดตัวอักษรของนักวาดชื่อดังไปให้เขาดีกว่า” ฮูหยินสองพูด “จะได้ดูสูงส่ง”
“สืออีเหนียงส่งคนนำของขวัญไปมอบให้เขาแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้ม นางตบเบาะรองนั่งข้างๆ บอกให้ฮูหยินสองมานั่งข้างตัวเอง “จิ่นเกอเขียนจดหมายมาให้ข้า!” จากนั้นก็หยิบจดหมายออกมา “เจ้าดูสิ!”
ท่าทีราวกับเด็กน้อยที่ได้รับลูกกวาดก็ไม่ปาน ไม่เพียงแต่ชอบใจ ซ้ำยังมีท่าทางโอ้อวด
ฮูหยินสองประหลาดใจ นางยิ้มแล้วรับจดหมายมาดู
ไท่ฮูหยินขยับตัวเข้าไปใกล้ “เจ้าลองอ่านดูสิ!” ท่าทีอยากฟังอีกครั้ง
ฮูหยินสองยิ้มแล้วอ่านให้นางฟัง
ไท่ฮูหยินราวกับได้ทานโสมอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของนางดูอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก “เจ้าคิดว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนแล้ว” จากนั้นก็เก็บจดหมายเอาไว้ในกล่องเหมือนเดิม
“คงจะถึงหลินชิงแล้วกระมัง” ฮูหยินสองพูดต่อไปว่า “แต่ก็คาดเดายาก หากไม่ได้พักอยู่ที่หลินชิงนาน ป่านนี้ก็คงจะถึงเหลียวเฉิงแล้ว!”
ไท่ฮูหยินเชื่อคำพูดของฮูหยินสอง นางถามฮูหยินสองทุกวันว่าจิ่นเกอไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารอจดหมายของจิ่นเกออยู่ตลอดเวลา
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็พูดกับคนที่มาส่งจดหมาย “…ถึงไหนแล้วก็เขียนจดหมายมาให้ไท่ฮูหยินด้วย”
เดิมทีพักอยู่ที่หลินชิง ไปถึงเหลียวเฉิงแล้วถึงได้เขียนจดหมายกลับมา หลังจากนั้น แค่เรือจอดก็ต้องเขียนจดหมายกลับมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ทักษะการเขียนจดหมายของเขานั้นดีขึ้นเรื่อยๆ บ่าวรับใช้ที่นำจดหมายมาส่งยิ้มแล้วพูดว่า “…ท่านจิ้วเหยียเฝ้าคุณชายน้อยหกเขียนจดหมายทุกวันขอรับ แล้วยังต้องฝึกเขียนตัวอักษรสามหน้า อ่านหนังสืออีกหนึ่งหน้า”
คิดไม่ถึงว่าจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เช่นนี้ด้วย
ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดว่า “จิ้วเหยียของพวกเรานั้นเป็นนักปราชญ์”
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พากันหัวเราะ
ไท่ฮูหยินพูดถึงหลัวเจิ้นซิ่ง “…ช่างเอาใจใส่เสียจริง ถึงเมืองเมืองหนึ่งก็ต้องพาจิ่นเกอไปเที่ยว ครั้งก่อนจิ่นเกอบอกว่า จิ้วเหยียจะพาเขาไปคารวะวัดขงจื่อที่ชวีฟู่ ที่นั่นใช่ว่าใครก็ไปได้” ไท่ฮูหยินกังวล “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเข้าไปได้หรือไม่”
“ท่านรออีกสักสองสามวันเถิด” ฮูหยินสองยิ้มเเล้วเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน “ไม่ว่าจะเข้าไปได้หรือไม่ จิ่นเกอก็คงเขียนจดหมายมาบอกท่าน”
“ใช่แล้ว!” ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ครั้งก่อนเขายังเล่าเรื่องที่ไปหอกวงเย่ว์กับจิ้วเหยีย แล้วถูกคนขโมยถุงผ้าให้ข้าฟัง”
แต่แค่พริบตาเดียวก็มาถึงปลายเดือนเจ็ด ความสนใจของทุกคนต่างก็อยู่ที่สวีซื่ออวี้ที่กำลังจะลงสนามสอบ
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองไปจุดธูปที่วัดเซียงกั๋ว อารามเมฆขาว วัดฉือหยวนและศาลาเหวินฉัง สืออีเหนียงและเซี่ยงซื่อเตรียมเสื้อผ้า พู่กัน ตะกร้าและกระดาษสอบให้สวีซื่ออวี้ เมื่อถึงวันที่หนึ่งเดือนแปด สวีซื่อฉินสองพี่น้องก็มาหา ไปส่งเขาที่สนามสอบกับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย เจอฟังจี้ระหว่างทาง พวกเขาพูดคุยหัวเราะแล้วพากันไปสนามสอบ เมื่อสอบเสร็จทั้งสามสนามแล้ว สวีซื่อเจี้ยรีบขอคำแนะนำจากสวีซื่ออวี้ทันที
“อาจารย์จ้าวเป็นคนสอนหนังสือเจ้า อาจารย์ฉังเป็นคนให้คำแนะนำเจ้า ข้าจะกล้าแนะนำเจ้าต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญอย่างพวกเขาได้ที่ไหนกัน” สวีซื่ออวี้พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่หากเจ้าถามเรื่องที่ต้องคอยระวังเมื่อลงสนามสอบ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้นพี่สองเล่าให้ข้าฟังเถิดขอรับ” นี่คือเรื่องที่ต่อไปสวีซื่อเจี้ยต้องเผชิญ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องให้ความสำคัญ
สวีซื่ออวี้ออกจากจวนตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่ค่อยสนิทสนมกับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยสักเท่าไร อาจเป็นเพราะอยู่ห่างจากครอบครัว จึงให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวมากเป็นพิเศษ มีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับพี่น้องของตัวเอง สวีซื่ออวี้ย่อมให้ความสำคัญ เขาเริ่มเล่าประสบการณ์การลงสนามสอบของตัวเองให้สวีซื่อเจี้ยฟัง
สวีซื่อเจี้ยได้ฟังแล้วก็นับถือสวีซื่ออวี้เป็นอย่างมาก
ตอนที่เขาลงสอบสอบระดับมณฑล อาจารย์ฉังอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด คิดไม่ถึงว่าตอนที่สวีซื่ออวี้สอบสอบระดับมณฑล อาจารย์เจียงนั้นไม่บอกอะไรเขาเลย และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สวีซื่ออวี้ก็ยังสอบผ่านบัณฑิตซิ่วไฉ
พวกเขาทั้งสองคนเพิ่งจะคุยกันได้ไม่นาน พอถึงกลางเดือนแปดผลการสอบเซียงซื่อก็ออกแล้ว สวีซื่ออวี้สอบได้อันดับที่สี่