ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 691 ปรารถนา (กลาง)
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋ตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ความตรงไปตรงมาของเขาทำให้สืออีเหนียงตกตะลึง ต้องรู้ว่าแม้จิ่นเกอจะโตขนาดนี้แล้วแต่เขานั้นไม่เคยอยู่ห่างจากสายตาของสวีลิ่งอี๋เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่นางเองก็ยังต้องใช้เวลาคิดสองสามวันก่อนตัดสินใจด้วยซ้ำ
“ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงเขา” สวีลิ่งอี๋มองนาง “บางครั้งข้าเองก็กลัว กลัวว่าสิ่งที่ข้าตัดสินใจจะผิดพลาด กลัวว่าข้าจะคาดเดาพรสวรรค์ของจิ่นเกอสูงเกินไป กลัวว่าความชอบของจิ่นเกอจะเป็นความสนุกแค่ชั่วคราว และสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดก็คือ กลัวว่าเขาจะเป็นนกอินทรีที่ถูกเราเลี้ยงให้เป็นห่าน อยากจะบินแต่บินไม่ขึ้น ซึ่งคนอื่นล้วนมองว่าเขาเป็นนกอินทรี…” เขาพูดพลางน้ำตาคลอเบ้า
สืออีเหนียงน้ำตาไหลริน
นางเองก็สับสนแบบนี้เหมือนกัน…หวังว่าลูกของตัวเองจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นด้วยความสามารถของตัวเอง แต่ก็ไม่อยากให้เขาลำบาก เดินทางที่ผิด เจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย
“ให้เจิ้นซิ่งพาเขาไปดูเจียงหนานเถิด!” สวีลิ่งอี๋ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้สืออีเหนียง “อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าเจียงหนานไม่เหมือนทะเลทราย รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีทิวทัศน์อีกรูปแบบหนึ่ง” พูดจบก็หัวเราะขึ้นมา “บางทีเขาอาจจะอยากเห็นความแตกต่างของโลกใบนี้ ตัดสินใจว่าโตขึ้นแล้วจะไปเขตเหลียวตงก็ได้”
หากเป็นเช่นนี้…สืออีเหนียงคิดดูแล้วก็รู้สึกขบขันเหมือนกัน นางยิ้มอย่างแผ่วเบา
“เหตุใดท่านถึงเอาแต่คิดว่าจิ่นเกอจะไปดินแดนที่ห่างไกลอย่างนั้นเล่า” นางบ่นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “บางทีจิ่นเกออาจตัดสินใจอยู่ที่หังโจวไม่ไปไหนแล้วก็ได้”
“หังโจวก็ไม่เลว!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไป “เบื้องบนมีสวรรค์ เบื้องล่างมีซูโจวและหังโจว ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าของเจียงหนานก็ส่งไปทางเหนือจากหังโจว ศูนย์บัญชาการหางเรือของเฉาปังก็ตั้งอยู่ที่นั่น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เงินรางวัลของเฉาปังในทุกปีก็ทำให้มีชีวิตที่สุขสบายได้แล้ว ตำแหน่งในหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์อาจไม่สูงส่งสักเท่าไร แต่ได้รับผลประโยชน์พลอยได้ไม่น้อย!”
กรมกลาโหมเป็นคนดูแลหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์
“เหตุใดท่านถึงอยากให้จิ่นเกอเข้าไปอยู่ในค่ายทหารจังเลยเจ้าคะ!” สืออีเหนียงโมโห “เมื่อครู่ท่านยังบอกว่าจะให้พี่ใหญ่พาจิ่นเกอไปเจียงหนาน เพิ่งจะพูดจบก็พูดถึงหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์แล้ว? ข้ายอมให้จิ่นเกอไปอยู่ที่ค่ายใหญ่ซีซาน ดีกว่าให้เขาไปหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์ เจอเรือแล่นผ่านไปก็ต้องก้มหัวให้คนเหล่านั้น เจอผู้บัญชาการก็ต้องประจบสอพลอ…” นางไม่ชอบคนเลียแข้งเลียขาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว
“ที่แท้เจ้าก็ไม่ชอบหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ที่ใกล้กับหังโจวที่สุดก็มีแค่…ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร…มันอยู่ที่ไหวอาน แต่ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารเป็นขุนนางระดับสาม ต้องรับตำแหน่งผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารตั้งแต่เริ่ม…ค่อนข้างลำบาก…” พูดจบ เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยท่าทีลำบากใจ
สืออีเหนียงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กำลังแกล้งนาง
“ใครจะเป็นผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารกันเจ้าคะ” นางปล่อยมือจากเขา “ทำไมข้าจะไม่รู้ว่ากระทรวงขุนนางนั้นราวกับเป็นสิ่งของในกระเป๋าของท่านโหว!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
หยอกล้อกันเช่นนี้ ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปไม่น้อย นางพลอยอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย นึกถึงช่วงสองวันนี้ที่เขาหาโอกาสคุยกับนาง แต่นางกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาพูดประโยคหนึ่ง นางก็ประชดประชัน…สืออีเหนียงคิดว่าตัวเองเหมือนเด็กน้อยเกินไป เริ่มรู้สึกผิด “ข้ารู้ว่าข้าควรจะพูดกับท่านโหวดีๆ ไม่ควรโกรธเคืองท่าน… “
“ตอนนี้เจ้าก็พูดกับข้าดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ” ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็พูดต่อไปว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าไม่โกรธข้าแล้วเจ้าจะไปโกรธใคร”
สืออีเหนียงนิ่งงัน
นางจ้องตาสวีลิ่งอี๋ หัวใจของนางเต้นระรัวจนพูดอะไรไม่ออก
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “แต่ว่าเรื่องของเจี้ยเกอนั้น มีจดหมายมาจากอวี๋หังแล้วหรือยัง”
“อ้อ!” สืออีเหนียงรีบพูด “ยังไม่มีเจ้าค่ะ แต่นับวันดูแล้ว อีกสองวันก็น่าจะส่งมาถึงแล้วกระมัง”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็รอจดหมายยืนยันจากอวี๋หังก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปลางานให้เจิ้นซิ่งที่กระทรวงขุนนาง อ้างว่าไปส่งอิงเหนียงกลับอวี๋หัง แล้วให้เขาพาจิ่นเกอไปเจียงหนาน ส่วนเรื่องเตรียมการ…” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะบอกเจตนาให้เจิ้นซิ่งรู้ จากนั้นก็เขียนจดหมายให้เซี่ยงฮูหยิน เขามีสหายเยอะ ด้วยชื่อเสียงของเจิ้นซิ่ง มีเขาคอยดูแลจะได้ให้จิ่นเกอเห็นเหล่าขุนนางในเจียงหนาน”
สืออีเหนียงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่นางเป็นห่วงหลัวเจิ้นซิ่ง “หากทำเช่นนี้ คงต้องใช้เวลาใช่หรือไม่เจ้าคะ มันจะกระทบต่ออนาคตของพี่ใหญ่หรือไม่”
“ตอนนี้เขารับตำแหน่งนี้มานานแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ถือโอกาสนี้ออกไปเดินเล่น บางทีอาจได้รับอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้!”
ก็จริง ไปหาสหายเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกชะตา แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าเห็นตากัน
“หากเวลาเอื้ออำนวย ทางที่ดีควรพาจิ่นเกอไปสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวและสำนักศึกษาเหมาซานด้วยนะเจ้าคะ” นางพูดต่ออีกว่า “ให้เขาเห็นว่าคนอื่นเรียนหนังสืออย่างไร ให้เขาได้รู้สึกถึงแก่นแท้ของสำนักศึกษา”
“ได้เลย!” ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจึงเริ่มเตรียมการ สวีลิ่งอี๋พูดว่า “เจ้าคิดว่าควรไปที่ไหนอีก ปรึกษากันแล้ว ข้าจะได้ไปบอกเจิ้นซิ่ง!”
“ข้าแค่อยากให้เขาได้เห็นนักปราชญ์ในเจียงหนานเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้ายังไม่ได้คิด ไม่รู้ว่าท่านโหวมีแผนอย่างไรบ้าง”
“ในเมื่อเจ้าอยากให้เขาเห็นนักปราชญ์ในเจียงหนาน หวังปั๋วโจว อาจารย์หวังที่อาศัยอยู่เขตฟู่หยางอยู่ที่นั่น คงต้องไปหาเขา ข้าจำได้ว่าอาจารย์ของหวังลี่เป็นสหายกับหวังปั๋วโจว พรุ่งนี้ข้าจะขอให้หวังลี่เขียนจดหมาย ถึงตอนนั้นก็ให้เจิ้นซิ่งนำไปด้วย…”
สองสามีภรรยานั่งคุยกันเสียงเบา มีเสียงร้องของแมลงดังออกมาจากต้นซ่อนกลิ่นที่อยู่ไม่ไกลเป็นครั้งคราว พลอยทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนดูเงียบสงัด
*****
หลังจากวันเกิดของไท่ฮูหยิน จดหมายจากอวี๋หังก็มาถึง
มีคำพูดของหลัวเจิ้นซิ่ง การที่สกุลหลัวตอบตกลงเรื่องแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ไท่ฮูหยินยิ้มหน้าบาน นางเร่งเร้าสืออีเหนียง “รีบกำหนดวันเถิด เจี้ยเกอจะได้ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ เจ้าก็จะได้มีเพื่อน” นางบอกป้าตู้ “ตอนนี้อิงเหนียงยังอยู่ที่จวนของเรา พวกเจ้าห้ามเผลอพูดออกไปเด็ดขาด ประเดี๋ยวเด็กๆ เขินอายไม่พอ หากมีข่าวลืออะไรแพร่กระจายออกไป ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่นอน”
“ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ!” ป้าตู้เห็นไท่ฮูหยินอารมณ์ดี นางทำท่าทีแปลกๆ พลางเอ่ยหยอกล้อไท่ฮูหยิน “บ่าวรับปากว่าไม่มีทางเผลอพูดออกไปแน่นอน”
ในห้องไม่มีคนอื่น ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงพากันหัวเราะ
“พี่ใหญ่บอกว่า เขาอยากลางานสองสามวัน หนึ่งคือกลับไปดู สองคือไปส่งอิงเหนียง เมื่อเขากลับมาจากอวี๋หังแล้วค่อยสู่ขออย่างเป็นทางการ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเด็กทั้งสองคนยังเด็ก โดยเฉพาะอิงเหนียง ยังไม่ได้ร่วมพิธีขึ้นปิ่นปักผม พี่สะใภ้สี่ของข้าต้องอาลัยอาวรณ์นางอย่างแน่นอน รอพี่ใหญ่กลับมาแล้วค่อยสู่ขอก็ไม่สายเกินไป ท่านคิดว่าเช่นไรเจ้าคะ”
“พวกเจ้าตัดสินใจเถิด!” ไท่ฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมซองแดง รอดื่มชาคารวะของหลานสะใภ้ก็พอแล้ว!”
สืออีเหนียงจึงพูดถึงจุดประสงค์หลักของการมาหาไท่ฮูหยินครั้งนี้ “พี่ใหญ่กลับอวี๋หังครั้งนี้ ก็เพื่อออกไปเที่ยวทางไกล ท่านโหวคิดว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงอยากให้จิ่นเกอออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย แต่ข้าคิดว่าจิ่นเกอยังเด็ก ไปทีหนึ่งก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี ข้าเป็นห่วงเขา แต่ท่านโหวกลับบอกว่า แม้แต่ซีเป่ยจิ่นเกอก็ไปมาแล้ว เจียงหนานเป็นดินแดนที่ร่ำรวยและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีเรื่องอันใดน่าเป็นห่วง ปีนี้จิ่นเกอก็อายุสิบปีแล้ว หากได้ออกไปเจียงหนาน ไปเปิดหูเปิดตา ความคิดของเขาก็จะได้กว้างขวางขึ้น ทำอะไรจะได้หนักแน่นมากขึ้น ข้าคิดว่าท่านโหวพูดมีเหตุผล แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงอยากมาปรึกษาท่านแม่เจ้าค่ะ…”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็เงียบลง
สิ่งที่สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋เป็นกังวลที่สุดก็คือไท่ฮูหยิน
นางลอบขยิบตาให้ป้าตู้
ป้าตู้เข้าใจในทันที นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ไอ๊หยา คุณชายน้อยหกของเราช่างมีวาสนาเสียจริง สองสามวันก่อนพึ่งจะไปซีเป่ยกับท่านโหวมา ประเดี๋ยวก็จะไปเจียงหนานกับท่านลุงอีกแล้ว บ่าวอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ออกไปไกลที่สุดก็แค่กลับบ้านเกิดกับไท่ฮูหยิน คุณชายน้อยหกของเราต้องเป็นคนมีอนาคตแน่นอนเจ้าค่ะ…”
ไท่ฮูหยินนั่งหลับตานับลูกปัดไม้กฤษณา ราวกับกำลังนั่งสมาธิอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเป็นกังวล
ป้าตู้ชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าป้าตู้บอกให้นางไปเชิญฮูหยินสองมาช่วยพูด
แต่ไม่รู้ว่าฮูหยินสองจะยอมช่วยหรือไม่
แต่หากไม่พูดให้รู้เรื่องวันนี้ ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีโอกาสเช่นนี้อีกหรือไม่
สืออีเหนียงรีบเรียกหู่พั่วเข้ามากระซิบเบาๆ
ผ่านไปไม่นาน ฮูหยินสองก็มาถึง
“น้องสะใภ้สี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ!” นางพูดทักทายสืออีเหนียง ไท่ฮูหยินลืมตาขึ้นมา “เจ้ามาแล้วหรือ”
“อยากมายืมของของท่านเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านมีเรื่องอันใดกำลังปรึกษากันอยู่อย่างนั้นหรือ หรือว่าประเดี๋ยวข้าค่อยกลับมา” พูดจบ นางก็จะขอตัวลา
“ไม่มีเรื่องอันใด!” ไท่ฮูหยินห้ามฮูหยินสองเอาไว้ “กำลังพูดเรื่องจิ่นเกอแต่พูดจบแล้ว”
ป้าตู้พูดไปเยอะแล้ว นางไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่กลับข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้ฮูหยินสองฟัง
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ไปกับคุณชายสกุลหลัว แล้วยังมีอิงเหนียงคอยดูแลอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินสองพูดต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าคุณชายสกุลหลัวจะมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่คิดทำอะไรล้วนรอบคอบ ส่วนอิงเหนียงก็เป็นเด็กอ่อนโยนและใจกว้าง เอาใจใส่ แล้วยังรู้จักดูแลผู้อื่น ถึงอย่างนั้นคุณชายสกุลหลัวนั้นเป็นผู้ชาย ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนผู้หญิง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยังเด็ก คงตัดสินใจอะไรมากไม่ได้…ข้าคิดว่าต้องให้ผู้ดูแลหญิงไปด้วยสักสองสามคน!”
ตอนที่นางเริ่มพูด สีหน้าของนางไท่ฮูหยินก็มีความเห็นด้วย แต่พอได้ยินดังนั้นนางก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำพูดของฮูหยินสอง
แต่ฮูหยินสองกลับทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางพูดกับสืออีเหนียงต่อ “ข้าคิดว่าสะใภ้ก่วนชิงของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ป้าซ่งก็ได้ แต่หากให้พวกนางไปอวี๋หังกับจิ่นเกอ เกรงว่าคงไม่มีใครคอยรับใช้เจ้า โชคดีที่ตอนนี้มีภรรยาของจุนเกอ แล้วยังมีสะใภ้หยวนเป่าจู้ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระน้องสะใภ้สี่…”
นางทำตัวเหมือนปกติ มองไม่ออกเลยว่าถูกเชิญมาช่วยพูดให้จิ่นเกอ เสนอเงื่อนไขไม่หยุดหย่อน แล้วยังเสนอเงื่อนไขเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางพูดว่า “องครักษ์แปดสิบคน เรือขุนนางสองลำ ใช้เทียบเชิญของจวนหย่งผิงโหว” สีหน้าของไท่ฮูหยินก็ดีขึ้น ยามที่ไท่ฮูหยินพูดขึ้นว่า “เช่นนี้ไม่ได้ ล้วนแต่เป็นสตรีในจวน ถึงอย่างไรก็ต้องให้ผู้ดูแลฝ่ายรายงานไปด้วย” สืออีเหนียงจึงค่อยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก