ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 69 ราชบัณฑิตจิ้นซื่อ (ปลาย)
เมื่ออู่เหนียงได้ยินว่าคุณชายเฉียนไม่ผ่านการสอบ ก็รีบถามหลัวเจิ้นเซิงว่า “แล้วพี่เขยสี่กับพี่ใหญ่ล่ะ”
“พี่ใหญ่กับพี่เขยสี่สอบผ่านทั้งคู่” หลัวเจิ้นเซิงพูดขึ้น “อีกอย่างพี่เขยสี่สอบได้ดีกว่าพี่ใหญ่เสียด้วยซ้ำ” เมื่อเห็นว่าพี่หญิงของตนใบหน้าขาวซีดขึ้นมา เขาจึงรีบปลอบใจอู่เหนียงไปว่า “พี่เขยก็แค่สอบครั้งนี้ไม่ผ่านเท่านั้นเอง สอบใหม่อีกสักหลายๆ ครั้ง จะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน ตอนที่ข้ากับพี่ใหญ่ไปดูผลสอบ ยังเห็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับท่านพ่อเรียนคณะเดียวกันกับพี่ใหญ่ด้วย”
อู่เหนียงฉุนจัดขึ้นมาทันควัน และได้ผลักเขาออกไปทันที
หลัวเจิ้นเซิงไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้พี่หญิงโกรธ จึงต้องจำใจออกจากประตูไป เมื่อออกไปแล้วก็เจอเข้ากับหู่พั่วพอดี
“คุณชายสี่ พี่ตี้จิ่นดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
หลัวเจิ้นเซิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จนถึงตอนนี้แล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ข้าว่าจะไปเชิญหมอมาดูอาการนาง นางก็บอกว่าพี่หญิงใหญ่จากไปแล้ว ท่านแม่กำลังทุกข์ใจ ท่านแม่รู้เรื่องเข้าจะถือโทษโกรธนางได้ หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็แวะเวียนไปเยี่ยมนางบ้าง นางจะได้ไม่ต้องเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียงเช่นนี้ทั้งวัน”
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น
มิน่าล่ะใครต่อใครถึงบอกว่าคุณชายสี่นิสัยดี…
“ท่านมาเยี่ยมคุณหนูห้าหรือเจ้าคะ” หลายวันมานี้ สืออีเหนียงคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่เสมอ จนเหล่าบรรดาสาวใช้แทบจะว่างงานกันเลยทีเดียว หู่พั่วว่างจนรู้สึกเบื่อ จึงได้ไปคุยเล่นกับคุณชายสี่
หลัวเจิ้นเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “พี่เขยห้าไม่ผ่านการสอบ ข้าก็เลยจะมาปลอบใจพี่หญิงห้าเสียหน่อย”
หู่พั่วยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณชายสี่ช่างเป็นคนเอาใจใส่จริงๆ…”
สาวใช้ในจวนมักชอบพูดคุยกับหลัวเจิ้นเซิง หลัวเจิ้นเซิงเองก็ชอบที่จะคุยเล่นกับเหล่าบรรดาสาวใช้
เขาได้พูดกับหู่พั่วว่า “…เจ้าดูพี่ใหญ่ข้า พี่สะใภ้ใหญ่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แล้วดูอย่างคุณชายเฉียน ได้ยินมาว่าเช้าของวันที่เข้าสนามสอบ เพียงเพราะจะประหยัดเงินค่ารถม้าแค่ไม่กี่ตำลึง เกือบจะไปสายเชียว”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” หู่พั่วยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นการที่คุณชายเฉียนสามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษาได้ ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยเลย”
หลัวเจิ้นเซิงพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็พูดกับพี่หญิงห้าเช่นนี้…”
ทั้งคู่คุยกันอยู่พักใหญ่ จนเมื่อสาวใช้ของหลัวเจิ้นเซิงมาตาม ทั้งคู่จึงค่อยแยกย้ายกัน
ตกดึก เมื่อสืออีเหนียงกลับมาถึง หู่พั่วจึงได้เล่าให้สืออีเหนียงฟังว่า “…จะว่าไปแล้ว การที่คุณชายเฉียนสอบไม่ผ่านนั้น สาเหตุล้วนมาจากฐานะที่ยากจนของทางบ้านเจ้าค่ะ!”
แต่สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าการที่คุณชายเฉียนสอบไม่ผ่านนั้น เป็นเพราะเขาไปให้ความสนใจกับเรื่องอย่างอื่นเสียมากกว่า
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ อู่เหนียงคงจะผิดหวังไม่น้อยกระมัง
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ปินจวี๋ก็ได้ยกน้ำร้อนเข้ามา “คุณหนู นายท่านสามมาเจ้าค่ะ”
“เวลานี้น่ะหรือ” สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
ปินจวี๋พยักหน้าเบาๆ
หู่พั่วจึงรีบพูดขึ้นว่า “บ่าวไปดูเองเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากที่สืออีเหนียงอาบน้ำผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว หู่พั่วก็กลับมาพอดี นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายท่านสามเองก็ได้สั่งให้คนไปดูผลการสอบแล้ว พอรู้ว่าคุณชายใหญ่สอบผ่าน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ยังตั้งใจมาชี้แนะคุณชายใหญ่ถึงเรื่องการสอบเตี่ยนซื่อโดยเฉพาะด้วยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่สืออีเหนียงกำลังไปน้อมทักทายนายหญิงใหญ่นั้น นายหญิงใหญ่ก็ได้พูดถึงเรื่องนายท่านสามให้นางฟัง “…เจ้าดูสิ ญาติก็คือญาติ อาก็คืออา หากไม่ใช่เพราะบุตรชายทั้งสองของท่านอาสามของเจ้ายังเด็ก อายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่มีลูกเขย เขาจะมาชี้แนะพี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไรกัน มิเช่นนั้น พี่ใหญ่ของเจ้าที่แบกคำว่า ‘มุมานะ’ เข้าสอบฮุ่ยซื่อจนผ่านได้ แต่ทำไมถึงไม่เห็นท่านอาสองของเจ้ามาช่วยกำชับชี้แนะพี่ใหญ่ของเจ้าเลยแม้แต่คำเดียวด้วยเล่า”
หมายความว่านายท่านสองไม่มาชี้แนะหลัวเจิ้นซิ่งอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะมีลูกเขยที่จะมาแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งในราชสำนักเดียวกัน นายท่านสองจึงให้ความสำคัญกับบุตรสาวของตนมากกว่า ดังนั้นลูกเขยจึงสำคัญไปโดยปริยาย ส่วนการที่นายท่านสามมานั้น เป็นเพราะตอนนี้ หลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้นั้นไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ใดๆ
การที่นายหญิงใหญ่พูดมาทั้งหมดนี้ ราวกับว่าต้องการจะบอกตน ว่าหลัวเจิ้นซิ่งเป็นพี่ใหญ่ที่แท้จริงของตนต่างหาก
สืออีเหนียงขานตอบอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
สีหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
*****
เมื่อถึงวันสอบเตี่ยนซื่อ นายท่านใหญ่และนายท่านสามออกไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งที่ประตูตงหวา หลัวเจิ้นซิ่งเข้าร่วมการสอบเตี่ยนซื่อที่พระตำหนักไท่เหอ
วันที่สาม ผลการสอบเตี่ยนซื่อก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อย
อวี๋อี๋ชิงสอบได้ทั่นฮวาลำดับที่สาม ส่วนหลัวเจิ้นซิ่งสอบได้ขั้นสองลำดับที่สิบ
บ้านสกุลหลัวฉลองกันยกใหญ่ ถึงแม้ว่าที่ตรอกกงเสียนจะไม่ได้จัดงานใหญ่โต แต่ใบหน้าของทุกคนล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่มิอาจเก็บซ่อนได้ ในขณะที่นายท่านใหญ่สกุลหลัวกำลังเซ่นไหว้บรรพบุรุษอยู่นั้น ก็ได้พูดพึมพำขึ้นว่า “บ้านสกุลหลัวสามารถกลับมารุ่งโรจน์ได้อีก อย่างน้อยๆ ก็สักสี่สิบปีเชียว” จากนั้นก็ได้ไปเขียนจดหมายให้กับสหายร่วมคณะของตน เพื่อบอกกล่าวถึงข่าวดีในครั้งนี้
หย่งผิงโหวได้ส่งของขวัญมาแสดงความยินดีเป็นอันดับแรก ด้วยแท่นฝนหมึกหยกขาว
หลัวเจิ้นซิ่งถูกใจเป็นอย่างมาก เขายังได้เขียนจดหมายขอบคุณตอบกลับไปด้วย
นายท่านสามกำชับให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือตำรา เตรียมตัวเพื่อสอบราชบัณฑิตหลวงต่อ อีกทั้งยังมาตรวจการบ้านของหลัวเจิ้นซิ่งอยู่บ่อยครั้งเป็นประจำ
เมื่อสอบราชบัณฑิตหลวงได้ ก็แสดงว่าหลัวเจิ้นซิ่งสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงได้ หากสอบไม่ผ่าน หลัวเจิ้นซิ่งก็จะถูกส่งตัวไปที่อื่น จุดเริ่มต้นที่ไม่เหมือนกัน ก็จะนำไปสู่อาชีพการงานและความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งขุนนางราชการที่แตกต่างกัน
บ้านสกุลหลัวท่วมท้นไปด้วยบรรยากาศของความตึงเครียด ทุกครั้งที่เดินผ่านเรือนหน้า ทุกคนก็จะเบาเสียงฝีเท้าลง
แม้กำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นายหญิงใหญ่เองก็ไม่ได้ลืมคุณชายเฉียนไปแต่อย่างใด
ยังได้เช่าที่พักที่มีลานสวนบรรยากาศค่อนข้างดี ตั้งอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาให้เขาอีกด้วย และยังได้ให้หังซินบุตรชายของป้าหังพาบ่าวรับใช้สองคน แม่เฒ่าอีกสองคนไปปฏิบัติรับใช้อีกด้วย
ไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่ยี่สิบสองเดือนสี่ วันทำพิธีแห่ขบวนศพของหยวนเหนียง
สืออีเหนียงถูกนายหญิงใหญ่เรียกให้มาอยู่ดูแลข้างกาย หลัวเจิ้นซิ่ง นายหญิงสอง นายหญิงสาม หลัวเจิ้นต๋า หลัวเจิ้นเซิง หลัวเจิ้นไค หลัวเจิ้นอวี้ อวี๋อี๋ชิง เฉียนหมิง คุณนายใหญ่ คุณนายสาม ซื่อเหนียง อู่เหนียง สือเหนียงพร้อมกับคนอื่นไปยังจวนสกุลสวีตั้งแต่เช้ามืด
นายหญิงใหญ่ก็ได้ให้สืออีเหนียงรับหน้าที่เป็นคนจัดของขวัญวันเกิดเพื่อมอบให้กับไท่ฮูหยิน
สวนถาดหินอายุยืนหนึ่งคู่ โถเครื่องเคลือบดินเผาสีฟ้าลายผกาซ้อนกลีบหนึ่งคู่ เครื่องเคลือบดินเผาสีถั่วแดงลายเทพเจ้าฮกลกซิ่วทั้งสามหนึ่งใบ เครื่องกระเบื้องลายครามลายเทพเจ้าไท่ไป๋หนึ่งใบ แจกันเครื่องเคลือบดินเผาสีเขียวอีกหนึ่งคู่…
สืออีเหนียงและป้าสวี่ใช้เวลาไปราวครึ่งค่อนวัน จึงพึ่งจะนำทุกอย่างไปบรรจุลงกล่องจนเรียบร้อย
นายหญิงใหญ่ได้ถามสืออีเหนียงว่า “รองเท้าผ้าไหมดำที่คุณนายใหญ่ให้เจ้าทำทั้งสองคู่ เจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง”
“ทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” แบบอย่างที่คุณนายใหญ่ให้สืออีเหนียงมานั้น สืออีเหนียงค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างมาก อีกอย่างขนาดของรองเท้าทั้งสองคู่นี้ สืออีเหนียงเคยทำมาก่อน
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ให้สืออีเหนียงไปนำรองเท้ามา แล้วจึงชี้ไปยังของที่อยู่ในห้อง “ของพวกนี้คือของที่บ้านสกุลหลัวจะนำไปมอบให้ เจ้าเองก็ต้องแสดงความจริงใจด้วย”
หากวันนั้นไม่ได้เรื่องเกิดขึ้นที่เรือนเล็ก การทำเช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ผู้รับของขวัญรู้สึกสนิทสนมอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้…สืออีเหนียงนึกถึงพิธีงานศพของหยวนเหนียงที่เรือนเล็กในวันนั้น สายตาที่ไท่ฮูหยินใช้มองตน มันแสดงออกมาชัดเจนจนเกินไป เกรงว่าไท่ฮูหยินคงจะไม่รับน้ำใจครั้งนี้เป็นแน่ แต่นางก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธคำสั่งของนายหญิงใหญ่ได้ อย่างไรเสีย เรื่องที่จะให้ตนเข้าจวนสกุลสวี ทุกอย่างล้วนเป็นแค่การคาดการณ์และข่าวลือ ไม่มีใครเดินมาพูดกับตนตรงๆ อย่างโจ่งแจ้งเสียหน่อย
ตกค่ำ หลัวเจิ้นซิ่งกลับมาถึง นายหญิงใหญ่ก็ได้รีบถามถึงรายละเอียดและลำดับขั้นตอนพิธีฝังศพของหยวนเหนียง สุดท้ายก็ยังร้องไห้อยู่ดี นายท่านใหญ่นั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ ครู่ใหญ่ สภาพจิตใจของนายหญิงใหญ่จึงดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ให้ลั่วเชี่ยวประคองไปพักผ่อนที่ห้อง
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่นายหญิงใหญ่ทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะให้คนไปส่งมอบของขวัญวันเกิดให้กับไท่ฮูหยินนั้น จู่ๆ ใต้เท้าหวังผู้บัญชาการองครักษ์ค่ายหู่เวยก็ได้พาหวังหลังมาเยี่ยมเยียนถึงจวนด้วยตัวเอง
เนื่องด้วยการจากไปของพี่หญิง พวกนางทุกคนจึงต้องบำเพ็ญตนครั้งใหญ่ ไว้ทุกข์นานเก้าเดือน ฉะนั้นเรื่องงานแต่งของอู่เหนียงและคุณชายเฉียนจึงจำเป็นต้องรอจนถึงฤดูหนาวก่อนแล้วค่อยมาปรึกษาหารือกันใหม่
นึกไม่ถึงเลยว่าบ้านสกุลหวังจะมาในเวลานี้ได้!
ถ้าเกิดรอไม่ได้ขึ้นมา งานแต่งเป็นโมฆะก็คงจะดี
สืออีเหนียงจึงรีบให้หู่พั่วไปฟังว่าบ้านสกุลหวังมาพูดเรื่องอะไร
หู่พั่วจึงกลับมาเรียนว่า “…คนบ้านสกุลหวังบอกว่าอยากจะกำหนดวันให้เรียบร้อยก่อน เป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบเอ็ดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่ซานหูบอกว่าคุณชายหวังรูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้ว่าคำพูดคำจาจะดูค่อนข้างโอ้อวดใหญ่โต แต่เพราะฐานะบรรดาศักดิ์ของเขาสูงส่ง นิสัยใจคอบางอย่างก็เป็นไปโดยตามธรรมชาติ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งหัวใจ
ส่วนอู่เหนียงนั้นฉุนจัดขึ้นมาทันที “ใช่ว่าจะเป็นกิ่งทองใบหยกอะไรเสียหน่อย เหตุใดถึงใจร้อนรนรอไม่ได้เช่นนี้ เพิ่งจะบำเพ็ญครั้งใหญ่เสร็จก็จะกำหนดวันทันทีเลยหรืออย่างไรกัน”
แน่นอนว่าจื่อเวยและจื่อย่วนจะต้องพูดเอาใจอู่เหนียง “ตอนนี้ท่านเขยสงบจิตสงบใจตั้งใจเรียนหนังสือ รายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางหลวงก็ไม่นานเกินรอแล้ว ถึงเวลานั้น ตำแหน่งฮูหยินตราตั้งของท่าน รวมไปถึงอนาคตที่รุ่งโรจน์ก็ล้วนมีครบครัน เมื่อมีชื่อมีเสียงมีหน้ามีตาขึ้นมา ก็ถือว่าสูสีบารมีจวนกั๋วกงได้แล้ว ถึงแม้ตอนนี้จวนของเราจะไม่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ใหญ่โต แต่เราก็ยังใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและสุขสบายใจไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
อู่เหนียงได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที “ไม่สิ…”
จื่อเวยและจื่อย่วนหันมาสบตากัน ไม่เข้าใจว่าอู่เหนียงหมายความว่าอย่างไร
“ท่านแม่ออกจะไม่ชอบหยางอี๋เหนียงขนาดนั้น แล้วทำไมต้องดีกับสือเหนียงหลังจากที่หยางอี๋เหนียงเสียแล้วด้วยเล่า” แววตาของนางลุกโชนเป็นประกายขึ้นมา “อีกอย่าง ข้ารู้สึกได้ว่าตอนนั้นคนที่เจียงฮูหยินถูกใจเป็นข้ามากกว่าแท้ๆ…”
จื่อเวยและจื่อย่วนได้ยินแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ท่านหมายความว่า…แต่คุณชายหวังดูภูมิฐานออกปานนั้น…”
อู่เหนียงจึงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เราแค่รอดูต่อไปก็พอ!”
*****
ไท่ฮูหยินได้ยินมาว่าบ้านสกุลหลัวส่งของขวัญวันเกิดมาให้ ในนั้นมีรองเท้าผ้าอยู่สองคู่ที่สืออีเหนียงทำเองกับมือ จึงได้ให้เว่ยจื่อไปเอาออกมาดู
เป็นรองเท้าผ้าไหมดำธรรมดาทั่วไปสองคู่ แต่เวลามองดูแล้วกลับรู้สึกว่าผ้าไหมดำที่ใช้ตัดเย็บรองเท้านั้นดูสดใสงดงามเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินอึ้งไปเล็กน้อย
เว่ยจื่อพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ไท่ฮูหยิน ท่านดูสิเจ้าคะ” เว่ยจื่อพูดพลางหยิบแว่นตามาให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินมองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงเพิ่งสังเกตว่าที่หัวรองเท้าผ้าคู่นี้มีคำว่า ‘ฝู’ ที่หมายถึงโชคดีมีสุขปักด้วยด้ายสีเดียวกันกับเนื้อผ้าอยู่ด้วย
“ความคิดฉลาดล้ำโดยแท้!” เว่ยจื่อนำรองเท้าผ้าอีกข้างมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน “ลายปักที่ดูไม่ค่อยชัดเจนเช่นนี้ สวยงามยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินจับรองเท้าข้างนั้นไว้ในมือ เงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ได้สั่งกับเว่ยจื่อว่า “เจ้าไปตามช่างตัดเย็บเหนียวหมัวมัวมาให้ข้าที”
เมื่อเหนียวหมัวมัวมาถึง ไท่ฮูหยินก็ได้ชี้ไปยังรองเท้าคู่นั้นพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้าช่วยข้าดูหน่อย ผ้าไหมดำนี้มาจากที่ไหนกัน เป็นไหมและด้ายของที่ไหน ดูออกหรือเปล่าว่ารองเท้าคู่นี้ทำขึ้นตอนไหน”
หากพี่หญิงใหญ่ของตนเพิ่งจะเสียชีวิตไป แล้วยังมีกะจิตกะใจไปทำรองเท้า เช่นนั้นก็…
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดพร้อมกับหัวเราะขึ้นในใจอย่างเยือกเย็น
เหนียวหมัวมัวค่อยๆ มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นผ้าไหมดำซานซัวจากซงเจียง ที่วังก็ใช้ผ้าไหมนี้ด้วย ด้ายและไหมดูไม่ออกว่าเป็นของที่ไหน แต่ไม่ใช่ของเจียงหนานอย่างแน่นอน ส่วนรองเท้าทำขึ้นตั้งแต่ตอนไหนนั้น พูดยาก ดูแล้วค่อนข้างใหม่ แต่ถ้าหากเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เป็นปีกว่าก็ยังดูเหมือนว่าเพิ่งทำเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง คุยกับเหนียวหมัวมัวอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีอาการเหนื่อยล้า
เหนียวหมัวมัวจึงได้รีบขอตัวลาก่อน
ไท่ฮูหยินไม่ลืมที่จะให้ค่าตอบแทนนาง จากนั้นก็ได้ให้คนส่งเหนียวหมัวมัวกลับวังหลวงไป
ป้าตู้ก็ได้ปลอบใจไท่ฮูหยินว่า “…นางอายุยังน้อย อีกทั้งยังเป็นบุตรีอนุ ก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของแม่ใหญ่เป็นธรรมดา เรื่องบางเรื่อง รอนางแต่งเข้ามาแล้ว ท่านค่อยมาอบรมขัดเกลาก็ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หวังว่าจะเป็นเพราะข้าเองที่จุ้นจ้านคิดมากไป”
“ทำไมถึงเป็นท่านที่จุ้นจ้านคิดมากด้วยเล่า” ป้าตู้ยิ้มพร้อมกับยกชามาให้ไท่ฮูหยินหนึ่งถ้วย “จู่ๆ บ้านสกุลหลัวก็มายัดเยียดสะใภ้ให้กับท่าน ท่านจะดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรนี่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับมืดมนลง