ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 689 เตรียมการ (ปลาย)
ในห้องสว่างไสว
อิงเหนียงยืนหันข้าง ม้วนผมเป็นมวย สวมเสื้อสีเขียวอ่อน สวมกระโปรงสีฟ้า สวมต่างหูทอง มองจากระยะไกล ต่างหูของนางส่งแสงแวววาวราวกับแสงพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน
คนที่ยืนตรงข้ามนางคือสวีซื่อเจี้ยที่รูปร่างสูงกว่านาง
เขาสวมชุดจื๋อตัวสีม่วง คิ้วขมวดแน่น ในดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ข้าลาอาจารย์แล้ว ไม่เป็นไร” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ว่าแต่น้องหญิงใหญ่ คอยอยู่ดูแลท่านแม่ที่นี่ตลอด…” พูดจบก็มีสีหน้ารู้สึกผิด “ถึงเวลาข้าเฝ้าท่านแม่บ้างแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด!”
อิงเหนียงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ นึกถึงสืออีเหนียงที่ยังหลับอยู่ นางรีบปิดปากตัวเอง จากนั้นก็พูดว่า “ท่านแม่ของท่านก็คือท่านอาหญิงของข้า ใช่ว่าข้าไม่ได้นอนยามกลางคืน หรือใช่ว่าข้าดูแลท่านอาหญิงทุกวันจนไม่ได้นอนเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาเปลี่ยน พี่ห้ารีบไปเรียนเถิด ท่านอาหญิงเห็นท่านตั้งใจเรียน นางจะต้องดีใจอย่างแน่นอน ดีกว่าท่านมาอยู่ที่นี่เสียอีก”
สวีซื่อเจี้ยมีสีหน้าลำบากใจ
เขาสอบระดับมณฑลผ่านเมื่อเดือนสอง สืออีเหนียงปิติยินดีเป็นอย่างมาก ทำชุดให้เขาสองชุดด้วยตัวเอง แล้วยังมอบจานฝนหมึกตวนเอี้ยนให้เขาอีกด้วย
“รีบไปเถิดเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงยิ้ม “ข้าอยู่ที่นี่เอง”
สวีซื่อเจี้ยมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลังเล
สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองกำลังแอบฟังพวกเขาคุยกัน นางหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ
“ก็ได้!” จากนั้นสวีซื่อเจี้ยก็พูดว่า “หากท่านแม่ตื่นแล้ว เจ้าถามท่านแม่ว่าไม่สบายตรงไหน เชิญท่านหมอมาดูหรือไม่ หากเจ้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ก็ส่งบ่าวรับใช้ไปจวนสกุลโต้วเก๋อเหล่า หากท่านพ่อรู้ว่าท่านแม่ไม่สบาย เขาต้องรีบกลับมาแน่นอน”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” อิงเหนียงยิ้มด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยสนใจที่สวีซื่อเจี้ยพูดสักเท่าไร
สวีซื่อเจี้ยนั้นมองออก เขายืนมองอิงเหนียงอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีราวกับว่า หากเจ้าไม่รับปากข้าก็จะไม่ไป
“ยังมีพี่สี่และพี่สะใภ้สี่อยู่ไม่ใช่หรือ” ผ่านไปครู่หนึ่ง อิงเหนียงก็พูดอย่างเอือมระอา “เหตุใดต้องไปขอความช่วยเหลือไกลขนาดนั้น วันนี้เป็นวันเกิดของโต้วเก๋อเหล่า หากเราไปหาท่านลุงสี่เช่นนั้น คนอื่นอาจจะหัวเราะเยาะเอาได้” พูดจบ นางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “หรือหากพี่สี่และพี่สะใภ้สี่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ยังมีท่านอาสะใภ้ห้ากับท่านป้าสะใภ้สองไม่ใช่หรือ ท่านรีบไปเรียนเถิด ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไล่สวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดง แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่อิงเหนียงพูดนั้นมีเหตุผล
“ถ้าอบ่างนั้นข้าไปแล้ว หากท่านแม่ตื่น เจ้าอย่าลืมส่งคนไปรายงานข้าด้วย” จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความเก้อเขิน
อิงเหนียงมองดูแผ่นหลังของเขาแล้วยิ้มกว้าง
หว่านเซียงพูดเสียงเบา “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ที่นี่ไม่ใช่ที่จวนของเรา คุณชายน้อยห้าไม่ใช่คุณชายน้อยคังที่ถูกท่านสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่เด็ก ท่านต้องระวังคำพูดนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร!” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เขานิสัยดี ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยแน่นอน แม้แต่พี่สี่ พี่สะใภ้สอง แล้วยังมีพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้สามที่ตรอกซานจิ่ง ล้วนแต่เป็นกันเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แต่กลับไม่เอ่ยถึงเจียงซื่อ
สืออีเหนียงแปลกใจ นางลืมตาขึ้น ก็ได้ยินสาวใช้พูด “คุณหนูของบ่าว ที่นี่คือเรือนของฮูหยินสี่ หากฮูหยินสี่ได้ยินท่านวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่าฮูหยินจะไม่ชอบนะเจ้าคะ”
อิงเหนียงหัวเราะ นางจับไหล่ของหว่านเซียง “เอาล่ะๆ ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า” นางเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน พูดพลางมองไปที่สืออีเหนียง บังเอิญสบตากับสืออีเหนียงพอดี
“ไอ๊หยา!” นางหน้าแดง “ท่านอาหญิงตื่นเมื่อไรเจ้าคะ”
สืออีเหนียงไม่อยากให้นางลำบากใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงคนคุยกันจึงตื่น!”
อิงเหนียงยิ้มด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมท่าทีดีใจ
“ท่านอาหญิงอยากดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ” นางรีบเดินเข้าไปประคองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงหยัดกายขึ้นนั่ง “ได้สิ เจ้ารินให้ข้าเถิด!”
อิงเหนียงขานรับ หว่านเซียงยกน้ำอุ่นเข้ามา
สืออีเหนียงรับถ้วยชามา เหลือบมองรอบห้อง เห็นว่ามีแต่อิงเหนียงและสาวใช้ของนาง
“พี่สะใภ้สี่ ป้าซ่งและสะใภ้ก่วนชิงกำลังยุ่งอยู่เจ้าค่ะ” อิงเหนียงพูดต่อไปว่า “มีแต่ข้าที่ไม่มีอะไรทำ จึงอยู่เฝ้าท่านที่นี่” นางพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “สะใภ้ก่วนชิงบอกว่าท่านไม่ค่อยสบาย ท่านไม่สบายตรงไหนเจ้าคะ ปวดหัวหรือว่าแน่นหน้าอก”
“ข้าไม่เป็นอะไรไร” สืออีเหนียงยิ้มแล้วจิบชา” อากาศเช่นนี้ ผ้าห่มหนาก็ร้อน ผ้าห่มบางก็หนาว ตอนกลางคืนเลยนอนไม่ค่อยหลับ”
อิงเหนียงมองสืออีเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นสีหน้าของสืออีเหนียงดีขึ้น นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พี่สะใภ้สี่มีเรื่องจะมาถามท่านเลยส่งคนมา แต่สะใภ้ก่วนชิงบอกว่าท่านพักผ่อนไปแล้ว พี่สะใภ้สี่จึงเป็นห่วงเลยจะมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ แต่บรรดาผู้ดูแลหญิงล้วนแต่กำลังรอให้พี่สะใภ้สี่สั่งงาน ซ้ำพี่สะใภ้สี่ยังกลัวว่าจะรบกวนท่าน จึงบอกให้เป่าจูมาคอยดูแล ข้านำดอกไม้มาให้ท่านพอดี เห็นเป่าจูวิ่งเหงื่อออกเต็มตัว จึงเสนอตัวอยู่ดูแลท่านที่นี่” ไม่รอให้สืออีเหนียงพูด อิงเหนียงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาหญิงเจ้าคะ ท่านอย่าตำหนิที่ข้าตัดสินใจเอง ข้าแค่กลัวว่าจะทำให้เรื่องออกเดินทางไปวัดเย่าหวังพรุ่งนี้ล่าช้า”
เด็กคนนี้ ช่างสังเกตเสียจริง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา อยากถามว่าทำไมสวีซื่อเจี้ยถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองบอกว่าตื่นขึ้นมาตอนที่อิงเหนียงพูดกับสาวใช้ จึงไม่พูดคำนั้นออกมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ส่งคนไปบอกพี่สะใภ้เถิดสี่ บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง”
ขณะที่นางกำลังพูด เซี่ยงซื่อก็อุ้มลูกเข้ามา
“ท่านแม่ ได้ยินว่าท่านไม่สบาย ท่านไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“ข้าสบายดี” มีคนมาเยี่ยมไม่ใช่เรื่องดี เพราะต้องตอบคำถามเดิมซ้ำๆ
อิ๋งอิ๋งดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของแม่นม อยากให้สืออีเหนียงอุ้มตัวเอง
สืออีเหนียงอุ้มอิ๋งอิ๋งมาวางไว้บนเตียงเตา นางคลานไปที่หน้าต่าง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับปลาทอง
เซี่ยงซื่อตกใจ รีบขึ้นไปจับลูกบนเตียงเตา สืออีเหนียงกลับยิ้มแล้วอุ้มอิ๋งอิ๋งมาไว้ข้างๆ
สวีซื่อจุนและเจียงซื่อก็มา
“ท่านแม่ขอรับ ข้าได้ยินเซ่อเซ่อบอกว่าท่านไม่สบาย” เขาพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ”
ถึงแม้มีอิงเหนียงคอยดูแล แต่นางก็เป็นคนนอก
เจียงซื่อไม่สบายใจ ตอนที่ออกมานางบอกให้คนไปรายงานสวีซื่อจุนที่ลานนอก
“ข้าสบายดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเชิญนางนั่งลง “กำลังจะส่งคนไปบอกเจ้า” ชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือข้างๆ บอกให้พวกเขานั่งลง จากนั้นก็ถามถึงการเตรียมการไปวัดเย่าหวังพรุ่งนี้
เจียงซื่อเห็นสืออีเหนียงนั่งเอนตัวพิงหมอนบนเตียงเตาด้วยใบหน้าอมชมพู นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็ตอบคำถามสืออีเหนียงอย่างละเอียด
อิงเหนียงเดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
สวีซื่อจุนและเซี่ยงซื่อตั้งใจฟัง มีเพียงอิ๋งอิ๋งที่ยังไม่รู้ความ หัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ คิดว่าเจียงซื่อกำลังคุยกับตัวเอง เซี่ยงซื่อจึงรีบอุ้มลูกตัวเองออกไป
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ นางให้เจียงซื่อเป็นคนจัดการงานใหญ่ๆ สองงาน เจียงซื่อก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
“เรื่องของพรุ่งนี้ รบกวนเจ้าแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เจ้าก็พักผ่อนสักสองสามวันเถิด”
เจียงซื่อพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ท่านแม่อย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ มีสะใภ้ก่วนชิงกับป้าซ่งคอยช่วยเหลือ ข้าเพียงแค่ขยับปากเท่านั้น”
สืออีเหนียงนึกถึงเจียงซื่อที่ตอบคำถามอย่างคล่องแคล่วเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจเพียงใด เลยยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถิด พักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้จะได้ไปวัดเย่าหวังแล้ว”
พวกเขาสองคนขานรับด้วยความเคารพ พอออกมาข้างนอกก็เห็นอิงเหนียงนั่งตัดกระดาษอยู่บนเตียงเตาในห้องปีกทิศตะวันตก เซี่ยงซื่อจึงอุ้มลูกไปนั่งข้างนาง
“พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ พวกท่านจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ!” อิงเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้น
เจียงซื่อยิ้มแล้วพยักหน้า เอ่ยหยอกล้ออิ๋งอิ๋ง
สวีซื่อจุนหยิบกระดาษที่ตัดเสร็จขึ้นมาดู “เจ้ากำลังตัดอะไร ยังไม่ขึ้นปีใหม่เสียหน่อย เหตุใดจู่ๆ ถึงมาตัดกระดาษเล่า”
มันคือนกกางเขนเกาะกิ่งไม้
“พี่สี่เอ๋อร์สาวใช้ข้างกายของพี่ห้ากำลังจะแต่งงานไม่ใช่หรือ” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีอะไรทำ เลยตัดกระดาษให้นาง”
เขารู้เรื่องนี้ เมื่อครู่พ่อบ้านไป๋เพิ่งบอกว่าจะส่งสาวใช้สองสามคนไปอยู่ที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
“ตัดได้สวยมาก!” สวีซื่อจุนยิ้ม “ตัดกระดาษปีใหม่ปีนี้ให้น้องหญิงใหญ่เป็นคนจัดการเถิด!”
“ข้าไม่ทำหรอก!” อิงเหนียงเอ่ยหยอกล้อสวีซื่อจุน “ในจวนมีหน้าต่างตั้งมากมาย ตัดจนถึงปีใหม่ก็ตัดไม่เสร็จ แล้วอีกอย่างกระดาษของร้านขายของชำห้าแผ่นนั้นสามอีแปะ ข้าตัดให้พวกท่านโดยที่ไม่คิดเงิน ข้าก็เสียเปรียบสิเจ้าคะ”
สวีซื่อจุนหัวเราะ “ที่แท้น้องหญิงใหญ่ชอบเงิน ได้เงินถึงจะตัด ไม่ได้เงินก็ไม่ยอมตัดนี่เอง”
พวกเขาสามคนพากันหัวเราะ
“คุยอะไรกัน สนุกสนานขนาดนี้!” สวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามาจากข้างนอก “ท่านแม่ตื่นแล้วหรือ ท่านแม่ไม่สบายที่ใดหรือไม่” เขามองไปที่อิงเหนียงคนแรก
“ท่านอาหญิงบอกว่าสบายดีเจ้าค่ะ” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่านางคงจะเหนื่อย แค่อยากพักผ่อน”
สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยผ่อนคลายลง
สวีซื่อจุนพูดด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านแม่ไม่สบาย”
“ช่วงนี้ข้าเห็นท่านแม่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาขอรับ” เขาพูดต่อไปว่า “ข้าเป็นห่วงเลยบอกอาจารย์ฉังว่าจะมาดูท่านแม่ คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ไม่สบายจริงๆ!”
สวีซื่อจุนรู้สึกผิด
เขาเองก็รู้สึกว่าท่านแม่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเหมือนกัน แต่กลับไม่คิดที่จะมาดูท่านแม่…
อิงเหนียงเห็นดังนั้นจึงรีบพูดว่า “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่เจ้าคะ ประเดี๋ยวเราอยู่ทานอาหารเย็นกับท่านอาหญิงกันดีกว่า คนเยอะบรรยากาศจะได้ครึกครื้น บางทีท่านอาหญิงอาจจะร่าเริงขึ้นก็ได้!”
“ได้สิ!” สวีซื่อจุนพูด “ประเดี๋ยวเราอุ้มถิงเกอมาด้วย”
มีเด็กน้อยอยู่ด้วย บรรยากาศจะได้คึกคัก
เมื่อปรึกษากันเสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป
สวีซื่อเจี้ยและอิงเหนียงเดินเข้าไปข้างใน ไปพูดคุยกับสืออีเหนียงอยู่นาน รอจิ่นเกอเลิกเรียนแล้วทานอาหารกลางวันด้วยกัน ยามบ่าย สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอไปเรียน สืออีเหนียงและอิงเหนียงเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่จะสวมไปวัดเย่าหวัง พอถึงตอนเย็น ทุกคนก็มาทานอาหารเย็นด้วยกัน
สวีลิ่งอี๋กลับมา
เห็นคนเต็มห้อง เขาก็งุนงง
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือขอรับ!” จิ่นเกอกระโดดออกมาคนแรก เดินไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วจับไหล่เขา สืออีเหนียงจึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านโหวทานอาหารเย็นหรือยังเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าให้โรงครัวทำอาหารเพิ่มสักสองสามอย่างดีกว่า!”
นางยิ้มเหมือนวันธรรมดา แต่คนที่สนิทกับนางกลับมองออกว่าสายตาของนางมีความเฉยเมย
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น