ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 688 เตรียมการ (กลาง)
เซินเกอมั่นใจขนาดนั้น จิ่นเกออดไม่ได้ที่จะสังเกตบิดามารดาของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่หันไปมอง เขาก็สบตากับท่านแม่พอดี
“จิ่นเกอ เซินเกอ พวกเจ้าทานอิ่มแล้วหรือยัง” สืออีเหนียงถามพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “หากทานอิ่มแล้ว พวกเราไปเรือนชิงหยินจวีกันดีหรือไม่”
“ดีขอรับ!” พวกเขาสองคนพูดพร้อมกัน คนหนึ่งก้มหน้าทานข้าวต้มคำสุดท้ายในชาม ส่วนอีกคนยัดซาลาเปาลูกสุดท้ายเข้าปาก
สืออีเหนียงไม่มองหน้าสวีลิ่งอี๋เลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพาพวกเขาสองคนไปเรือนชิงหยินจวี
“ลานใหญ่มากเลยขอรับ” เซินเกอกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปรอบๆ ลานที่กว้างขวาง ประเดี๋ยวก็มองป้ายไม้ที่แขวนอยู่บนเรือนหลัก ประเดี๋ยวก็มองหินกรวดที่แกะสลักตัวอักษรบนผนัง จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านป้าสะใภ้สี่ ข้าอยากอยู่ข้างหลังเรือนพี่หกขอรับ”
ข้างหลังเรือนชิงหยินจวีคือเรือนซวงหลี่เซวียน ขนาดและการตกแต่งของสองลานเหมือนกัน ลานแรกปลูกต้นอู๋ถงสองต้น จึงตั้งชื่อว่าเรือนชิงหยินจวี ลานที่สองมีบ่อน้ำขนาดเล็ก ในบ่อน้ำมีหินแกะสลักปลาคาร์ฟที่ขนาดใหญ่เท่าคนตั้งอยู่ จึงตั้งชื่อว่าเรือนซวงหลี่เซวียน
ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดอะไร จิ่นเกอก็พูดขึ้นด้วยความดีใจ “ต่อไปข้าออกไปทางประตูหลังก็ไปหาเจ้าได้ เจ้าก็มาหาข้าทางประตูหลังได้อีกด้วย!”
เซินเกอพยักหน้า “ข้าจะได้มาหาท่านยามเย็น ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้…”
เขาเพิ่งจะพูดจบ จิ่นเกอก็เป็นกังวล รีบขยิบตาให้เซินเกอแล้วชี้ไปที่สืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ
เซินเกอเข้าใจในทันทีแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “… เราจะได้อ่านหนังสือด้วยกัน ฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยกัน” จากนั้นก็พูดเสียงดัง “เอ่อใช่ อาจารย์ผังบอกว่าให้พวกเราฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยกันบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ เช่นนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจะได้ไม่ตื่นตระหนกเพราะขาดประสบการณ์”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” จิ่นเกอรีบคล้อยตาม “ศิลปะการต่อสู้ของฉังอานก็ไม่เลวเลยทีเดียว แต่เขาน่าเบื่อเกินไป พอบอกให้เขาสู้กับข้า ก็ทำราวกับข้าจะเอาชีวิตของเขา หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ต่างก็สู้ข้าไม่ได้ เราสองพี่น้องสู้กันสนุกกว่ามาก” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ ข้าและน้องเจ็ดเริ่มฝึกมวยแล้ว พวกเราฝึกให้ท่านดูดีหรือไม่”
สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ พวกนางทำได้เพียงกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
เมื่อคืนสืออีเหนียงโกธรสวีลิ่งอี๋ ตื่นขึ้นมาตอนเช้านางเลยรู้สึกว่างเปล่าไร้อารมณ์ ความไร้เดียงสาของพวกเขาสองคนราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า สาดส่องเข้ามาในหัวใจของนาง ทำให้นางอดหัวเราะไม่ได้ นางจับไหล่จิ่นเกอและเซินเกอ ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน อย่ามาโกหกต่อหน้าข้า”
พวกเขาสองคนหัวเราะ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปข้างใน
บนผนังสีขาวทางทิศตะวันตกในห้องเต็มไปด้วยชั้นวางของ สะดุดตาเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วชี้ “ถึงตอนนั้นก็นำของเล่นของเจ้าวางไว้บนนั้น”
จิ่นเกอวิ่งเข้าไปดู ยืนนึกอยู่ตรงนั้น “ตรงนี้เอาไว้วางดาบไม้ของข้า ตรงนี้วางตุ๊กตาดินเผา ตรงนี้วางหมวกเกราะ…” เขาพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น จากนั้นก็วิ่งไปดูห้องหนังสือกับเซินเกอ ทางทิศตะวันออกมีหน้าต่างทรงพระจันทร์ ติดม่านสีแดง ข้างนอกมีต้นไผ่สีเขียว ข้างล่างมีกรงนกห้อยอยู่
“สวยยิ่งนัก!” จิ่นเกอและเซินเกอ คนหนึ่งวิ่งไปดูต้นไผ่นอกหน้าต่าง อีกคนหนึ่งมองดูกรงนก “พี่หก เลี้ยงนกแก้วสิ”
“นกแก้วไม่น่าเลี้ยง” จิ่นเกอคัดค้าน “หากจะเลี้ยงก็ต้องเลี้ยงนกขมิ้นท้ายทอยดำ”
“นกแก้วดีกว่า” เซินเกอเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “อ่านหนังสือเหนื่อยแล้ว ก็มาสอนนกแก้วพูด สนุกไม่น้อย นกขมิ้นท้ายทอยดำเอาแต่ร้องจิ๊บๆ ”
“นกขมิ้นท้ายทอยดำร้องจิ๊บๆ อย่างนั้นหรือ” จิ่นเกอเบะปาก “จิ๊บๆ คือเสียงร้องของนกกระจอก”
“ข้าไม่รู้ว่านกกระจอกร้องอย่างไร” สืออีเหนียงพูดหยอกล้อเขา “แต่ข้ารู้ว่าจิ่นเกอและเซินเกอร้องจิ๊บๆ”
“ท่านแม่!”
“ท่านป้าสะใภ้สี่!”
พวกเขาสองคนดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงอย่างออดอ้อน ทุกคนพากันเดินไปหลังลาน
เดินไปเดินมาก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
สืออีเหนียงและเด็กๆ ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังคุยกับป้าตู้อยู่บนเตียงเตา เมื่อเห็นจิ่นเกอและเซินเกอ นางก็ดีใจ รีบเรียกจื่อหงนำผลอิงเถา ลูกท้อและลูกบ๊วยที่พระราชวังนำมามอบให้เมื่อสองวันก่อนออกมา จับมือพวกเขาสองคน “ไปไหนมา เหตุใดหน้าผากถึงมีแต่เหงื่อ”
“ไปเรือนชิงหยินจวีมาขอรับ” พวกเขาสองคนพูดพร้อมกัน ไท่ฮูหยินฟังพร้อมกับรับผ้าเช็ดหน้าจากสาวใช้มาเช็ดหลังให้จิ่นเกอกับเซินเกอ เมื่อจื่อหงยกผลไม้เข้ามา ไท่ฮูหยินก็บอกให้พวกเขาสองคนขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา ยื่นลูกท้อที่ปอกแล้วให้พวกเขาคนละชิ้น เมื่อเห็นพวกเขาทานกันเงียบๆ ไท่ฮูหยินก็ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “เลือกวันย้ายเรือนแล้วหรือยัง” พูดจบก็ยื่นลูกบ๊วยให้สืออีเหนียง
“ยังเลยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรับลูกบ๊วยมา นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ไท่ฮูหยิน “กำลังจะมาปรึกษาเรื่องวันมงคลกับท่านแม่เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “คุณชายสี่ว่าอย่างไรบ้าง”
จะสนใจเขาทำไมกัน
สืออีเหนียงลอบบ่นในใจ เเต่กลับยิ้มแล้วพูดกับไท่ฮูหยิน “เรื่องนี้ต้องให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินก็คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ นางไม่ได้ปฏิเสธ บอกให้ป้าตู้นำหนังสืออนุปฏิทินเข้ามา “…วันที่สิบสองเดือนสี่ เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง วันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่ก็ดีเหมือนกัน แต่ใกล้จะถึงเดือนห้าแล้ว!”
“เช่นนั้นก็เดือนห้าเถิด!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แม้แต่คนทำความสะอาดก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย วันที่สิบสองเดือนสี่เร็วเกินไปเจ้าค่ะ ส่วนวันที่ยี่สิบหกเดือนสี่ก็เป็นวันเกิดท่าน เลือกวันมงคลเดือนห้าเถิด หากไม่มีวันที่เหมาะสม เดือนหกก็ได้เจ้าค่ะ!”
พวกนางสองคนปรึกษากันอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกย้ายเรือนวันที่สิบสี่เดือนหก
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องในเรือนของจิ่นเกอ “ข้าเห็นอาจินไม่เลวเลยทีเดียว ไม่สู้เลื่อนตำแหน่งให้นางเป็นสาวใช้ระดับสองคอยรับใช้จิ่นเกอ”
“ท่านคิดเหมือนข้าเลยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม ตัดสินใจเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ฮูหยินห้าก็มาตามหาบุตรชายของตัวเอง สืออีเหนียงและฮูหยินห้ารับใช้ไท่ฮูหยินนอนกลางวัน จากนั้นก็พูดเรื่องานแต่งงานของซินเจี่ยเอ๋อร์ พากันไปที่เรือนของฮูหยินห้า
จิ่นเกอและเซินเกอดีอกดีใจ พวกเขานอนกลางวันด้วยกัน สืออีเหนียงพูดคุยกับฮูหยินห้าครู่หนึ่ง งีบที่เรือนของฮูหยินห้า ยามบ่ายก็ไปช่วยเลือกสินเดิมของซินเจี่ยเอ๋อรที่ห้องเก็บของเรือนฮูหยินห้ากับฮูหยินห้า
จิ่นเกอและเซินเกอเล่นด้วยกันทั้งช่วงบ่าย พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว เซินเกอมาขอร้องสืออีเหนียง “ท่านป้าสะใภ้สี่ ท่านอยู่ทานอาหารเย็นที่นี่เถิด เรามีปลาตะลุมพุกที่สดใหม่ด้วย” ที่จริงคืออยากให้จิ่นเกออยู่ต่อ
สืออีเหนียงที่ปกติเป็นคนเกรงใจคนอื่นตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงเซินเกอ แม้แต่ฮูหยินห้าก็ยังแปลกใจ นึกถึงช่วงบ่ายที่พวกนางพูดคุยกันเรื่องงานแต่งของซินเจี่ยเอ๋อร์อย่างสนุกสนาน นางจึงไม่ได้คิดอะไร บอกให้โรงครัวทำอาหารมาต้อนรับสืออีเหนียงสองแม่ลูก หลังจากทานเสร็จ ก็ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน บังเอิญเจอกับสวีซื่อจุนและเจียงซื่อที่พาลูกมาด้วย ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีซื่อเจี้ย สวีลิ่งควนและสวีลิ่งอี๋ก็มา พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็แยกย้ายกันเมื่อยามไฮ่
จิ่นเกอจูงมือบิดาเดินนำอยู่ข้างหน้า พูดถึงเรือนของตัวเอง “…ห้องเก็บของอยู่ที่เรือนปีกทิศตะวันตก… หลังลานปลูกต้นไผ่ ทางเดินปูด้วยหินสีขาว…เรือนซวงหลี่เซวียนมีบ่อน้ำ ข้าอยากสร้างรั้วองุ่นตรงประตูเรือนปีกทิศตะวันออก วางบ่อใหญ่ไว้ข้างล่างรั้วองุ่น ปลูกดอกบัวแล้วเลี้ยงปลาทองขอรับ…”
สืออีเหนียงเดินตามพวกเขากลับไปที่เรือน
จิ่นเกอโค้งคำนับบิดามารดาแล้วไปเข้านอนกับหงเหวิน
ทันทีที่สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้น สืออีเหนียงก็เดินเข้าไปในห้องชำระทันที
ไม่เจอกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น
เขายิ้มแล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่เอือมระอาปนเอ็นดู
เมื่อสืออีเหนียงเดินออกมา สวีลิ่งอี๋กำลังเอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนหมอนตรงหัวเตียง
เห็นนางเดินออกมา เขาก็ยกยิ้ม “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับสั้นๆ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง เดินอ้อมตัวสวีลิ่งอี๋ไปตรงปลายเตียงแล้วนอนตะแคง ดึงผ้าห่มแล้วหลับตาลงทันที
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ
“ท่านโหวมีเรื่องอันใด พรุ่งนี้ก็ค่อยคุยกันเถิด!” สืออีเหนียงพลิกตัวหันหลังใส่เขา “พรุ่งนี้ยังต้องจัดการเรื่องไปวัดเย่าหวัง!”
สวีลิ่งอี๋มองดูภรรยาที่ห่อตัวอยู่ในผ้าห่มสีแดง เขาอดหัวเราะไม่ได้
*****
วันต่อมา เจียงซื่อและสืออีเหนียงปรึกษากันเรื่องเดินทางไปวัดเย่าหวัง “…ผู้ติดตามสี่สิบคน รถม้าสิบสี่คัน ไท่ฮูหยินนั่งกับป้าตู้ มีจื่อหงและอวี้ป่านคอยปรนนิบัติ แล้วยังมีป้ารับใช้ติดตามสี่คน สาวใช้สี่คน ป้ารับใช้งานหยาบสองคน ท่านป้าสะใภ้สองกับเจี๋ยเซียงนั่งด้วยกัน มีป้ารับใช้สองคนและสาวใช้สองคนคอยดูแล” พูดจบ ก็หยิบสมุดออกมา “นี่คือการเตรียมการของตรอกซานจิ่งเจ้าค่ะ…”
หลังจากเจียงซื่อจัดการเรื่องเสื้อผ้าฤดูร้อนของจวนสกุลสวีเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ให้นางจัดการเรื่องออกเดินทางวันที่แปดเดือนสี่
สืออีเหนียงฟังนางรายงาน รู้สึกว่าเจียงซื่อจัดการได้อย่างเหมาะสม ไม่มีช่องโหว่อะไร นางก็พยักหน้า “จัดการตามนี้เถิด ป้าตู้ของไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ปกติมักจะมีสาวใช้คอยดูแล เรื่องระหว่างทาง เจ้าไปปรึกษากับหู่พั่วเถิด!”
เจียงซื่อขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม เห็นสืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางก็ขอตัวลา
สืออีเหนียงถามหู่พั่ว “จิ่นเกออยู่ที่ไหน”
“กำลังจัดของที่เรือนเจ้าค่ะ!” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “บอกว่ากลัววันย้ายเรือนจะวุ่นวาย”
สืออีเหนียงไม่พอใจ
นางไม่อยากให้เขาย้ายออกไปอยู่ลานนอก แต่เขากลับนึกถึงโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา
“เจ้านำผ้าปูที่นอนมาให้ข้า” สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ย้ายโต๊ะเตียงเตาออกไป “ข้าเหนื่อย อยากเอนตัวสักหน่อย”
ท่านโหวกลับมา เดิมทีควรเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฮูหยินไม่เพียงแต่ไม่มีความสุข แล้วยังคอยหลบหน้าท่านโหวอยู่ตลอด
หู่พั่วแอบพึมพำในใจแล้วทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น นำผ้าห่มสีแดงมาห่มตัวนางเบาๆ จากนั้นก็ปิดประตูอย่างเบามือ
สืออีเหนียงนับแกะในใจ พยายามไม่คิดเรื่องพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ท้ายที่สุดนางก็ผล็อยหลับไป
ท่ามกลางความมึนงง ราวกับได้ยินเสียงคนพูดอะไรบางอย่าง
“…อาจเป็นเพราะเหนื่อย…ไม่เป็นไร…ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่…เจ้าไปเถิด…หากมีเรื่องอันใด ข้าจะให้สาวใช้ไปเรียกเจ้า”
เสียงดังฟังชัด ถึงแม้จะตั้งใจพูดเบาๆ แต่น้ำเสียงฟังดูฉะฉานกว่าสาวใช้ของสืออีเหนียง
นางคืออิงเหนียง!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา