ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 673 ความเคลื่อนไหว (กลาง)
ในวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง สวนหลังจวนสกุลสวีสว่างไสวราวกับทางช้างเผือก
ไท่ฮูหยินมือข้างหนึ่งจับมือสวีซื่อจุน อีกข้างหนึ่งจับมือสวีลิ่งควน หัวเราะพลางเดินท่ามกลางดอกไม้และต้นไม้ที่มีโคมไฟห้อยอยู่ หันกลับมาพูดคุยกับสืออีเหนียง ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังอยู่เรื่อยๆ เด็กๆ พากันเล่นสนุกสนานท่ามกลางโคมไฟ มีชีวิตชีวายิ่งกว่าวันตรุษจีนเสียอีก
เจียงซื่ออดหันไปมองสืออีเหนียงไม่ได้
นางกำลังคุยกับไท่ฮูหยิน ใบหน้ายิ้มแย้มและท่าทางอ่อนโยน
บรรยากาศเช่นนี้ มีใครบ้างที่ไม่ชอบ
เจียงซื่ออดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง นางก็เกลี้ยกล่อมสวีซื่อจุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้า ท่านทำเช่นนี้ ท่านพ่อกับท่านแม่จะคิดว่าฟุ่มเฟือยเกินไปหรือไม่”
สวีซื่อจุนอดขมวดคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มทานอาหารเย็น ภรรยาก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเล็กน้อย และเมื่อนางเห็นลานที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยเต็มใจนัก ตอนนี้ก็ถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมาอีก…
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมือของเจียงซื่อ “ข้าเองก็รู้ว่าใช้เงินมากไปหน่อย แต่ว่าข้าก็ไม่ได้ใช้เงินกองกลาง เงินทั้งหมดที่ใช้คือเงินส่วนตัวของข้า ข้าคิดว่าในเมื่อข้าแต่งงานแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างและวันเกิดของท่านแม่ในครั้งแรกหลังจากที่ข้าแต่งงาน ถ้าหากสามารถจัดเตรียมของขวัญสุดพิเศษให้ท่านแม่ได้ ท่านแม่จะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน” ขณะที่เขาพูดเสียงของเขาก็เบาลง “แล้วก็อยากให้เจ้ามีความสุขด้วย…ถ้าหากเจ้าไม่ชอบ ต่อไปข้าจะไม่ตัดสินใจเองอีกแล้ว จะปรึกษากับเจ้าทุกเรื่องก่อนลงมือทำ เจ้าว่าดีหรือไม่”
เจียงซื่อร้อนใจเป็นอย่างมาก
ฟังจากที่เขาพูดแล้ว ราวกับว่านางเป็นคนใจแคบอย่างไรอย่างนั้น
“หากทำให้ผู้อาวุโสมีความสุข จะใช้เงินมากมายแค่ไหนก็ไม่ถือว่าฟุ่มเฟือยเจ้าค่ะ” เจียงซื่อรีบพูดต่อว่า “ข้าแค่อยากจะบอกว่าการมอบของขวัญก็ควรใส่ใจวิธีการมอบของขวัญด้วย ถ้าหากให้ของขวัญที่เหมาะสม ความสุขก็จะแตกต่างกันไป เหมือนกับมอบกระบี่แก่วีรบุรุษ มอบเครื่องประทินแก่สตรี ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น…”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” สายตาของสวีซื่อจุนกลับเผยให้เห็นความสับสนเล็กน้อย “ท่านย่ากับท่านแม่ต่างก็เป็นคนมีหูตากว้างไกล พวกเครื่องประดับหายาก ผ้าราคาแพงเหล่านั้น พวกนางมีเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่ของหายากเลยแม้แต่นิด ข้าใช้เวลาคิดสองเดือนกว่าจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ทั้งยังจ้างผู้เชี่ยวชาญจากร้านโคมไฟอีกสามคน ใช้เวลาราวหนึ่งเดือนกว่า โคมไฟนี้ถึงจะทำสำเร็จ…” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็เห็นแล้วว่าท่านย่ากับท่านแม่ต่างก็มีความสุข เห็นได้ชัดว่าพวกนางชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้มาก”
เจียงซื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกสวีลิ่งอี๋ขึ้นมาพูด “ถ้าหากท่านพ่อสามีกลับมาถาม…”
“เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวล” สวีซื่อจุนยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายลง พูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อเคยใช้เงินแปดพันตำลึงเพื่อซื้อเครื่องประดับผมฝังมรกตให้ท่านแม่ ข้าใช้เงินเพียงสามถึงสี่พันตำลึง…หากท่านพ่อรู้ก็ไม่ว่าอะไรอย่างแน่นอน”
เครื่องประดับผมฝังมรกตถือได้ว่าเป็นมรดกสืบทอดของสกุล แต่โคมไฟผ้าไหมใยแก้วนี้ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปหลังจากที่ใช้ไปแล้วสองครั้ง นอกจากนี้ทรัพย์สินของสกุล ท่านพ่อสามีก็เป็นคนหามาทั้งหมด ท่านพ่อสามีคิดจะใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น เงินส่วนตัวของเขาเอง บ้างก็ได้มาจากท่านพ่อสามี บ้างก็ได้มาจากมารดาที่เสียไปแล้วเหลือไว้ให้…จะเทียบกันได้อย่างไร!
“ท่านพี่…” เจียงซื่ออยากจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกสักสองประโยค แต่ในขณะที่นางกำลังจะอ้าปากพูด สวีซื่อจุนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเลิกกังวลในเรื่องที่ไม่จำเป็นได้แล้ว ต่อให้ท่านพ่อตำหนิ ข้าก็จะรับไว้เอง เจ้านอนหลับพักผ่อนเถิด” ขณะที่พูดมือก็ลูบไปที่ท้องโตๆ ของนาง “ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว หากเจ้าพักผ่อนไม่ดีเขาก็จะไม่ได้พักผ่อนไปด้วย…”
คำพูดของเขาทำให้นางนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ท่านพี่ ให้หรุ่ยมาปรนนิบัติท่านดีหรือไม่…” ยังไม่ทันพูดจบก็มีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย
ก่อนที่สวีซื่อจุนจะแต่งงาน ได้ให้หรุ่ยสาวใช้ข้างกายมาเป็นสาวใช้ห้องข้าง หลังจากที่เจียงซื่อแต่งเข้ามา ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ โดยทั่วไปแล้ว ในกรณีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์ของสาวใช้ห้องข้างกับเจ้านายไปไกลมากกว่านี้ ภรรยาเอกจะจัดสาวใช้ส่วนตัวของตัวเองให้มาปรนนิบัติ แต่สวีซื่อจุนมีความรักต่อเจียงซื่ออย่างสุดซึ้ง เจียงซื่อเองก็เห็นว่าหรุ่ยเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก จึงให้นางอยู่ต่อ
“ไม่ต้องหรอก!” สวีซื่อจุนช่วยจัดผ้าห่มให้เจียงซื่อ “ข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่!”
เจียงซื่อรู้สึกอบอุ่นใจ ความทุกข์เมื่อครู่พลันมลายหายไปในทันที
นางจับมือสามีไว้แน่น ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินไปรอบๆ สวนกับบรรดาผู้อาวุโส ทำให้นางผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
******
ไม่กี่วันต่อมาก็เป็นวันเกิดของสวีซื่อจุน
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงปรึกษากันว่านี่เป็นวันเกิดครั้งแรกหลังจากที่สวีซื่อจุนแต่งงาน ดังนั้นควรจะจัดให้ครึกครื้นกว่าเดิมหน่อย เชิญญาติและสหายมาจัดโต๊ะร่วมฉลองสามโต๊ะ เชิญคนจากคณะฉังเซิงปานมาร้องละครงิ้ว
บนเวทีครึกครื้นไปด้วยเสียงฆ้องและกลอง ด้านล่างเวทีก็มีเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย ทุกคนกินดื่มกันอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงมอบโคมไฟแก้วหลิวหลีรูปดอกบัวขนาดเท่าฝ่ามือให้สวีซื่อจุน “เป็นน้องห้าของเจ้าที่ช่วยข้าหาซื้อมาจากที่หน้าวัดเซียงกั๋ว สวยมากใช่หรือไม่!”
สวีซื่อจุนชอบจนไม่อยากวาง “สวยมาก ข้าชอบมากขอรับ” ยิ้มพลางหันไปพูดขอบคุณสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางหยิบโคมไฟเครื่องลายครามล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ “ข้าเห็นสิ่งนี้ที่ร้านตัวเป่าเก๋อ ขอมอบให้ท่านในนามของน้องหกขอรับ” แล้วหยิบโคมไฟหนังแกะวาดลายสี่ทิวทัศน์แห่งเทือกเขาตะวันตกขนาดเท่าชามใหญ่ “นี่คือของขวัญจากข้า ซื้อมาจากแผงลอยข้างประตูวัดเซียงกั๋วเช่นเดียวกันกับโคมไฟหลิวหลีของท่านแม่” เอาของขวัญมอบให้สวีซื่อจุนพร้อมกันทั้งหมด “แม้ว่าราคาจะไม่ได้มากมาย แต่ข้าคิดว่าก็ดูน่ารักดี”
สวีซื่อจุนตาเป็นประกาย เขาดูอันนั้น จับอันนี้ ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร “ข้าจะเอาโคมไฟทั้งสามดวงนี้แขวนไว้ที่ห้องหนังสือของข้า…ไม่สิ เอาไปแขวนไว้บนเตียงหลัวฮั่นที่เรือนหน่วนเก๋อ เวลานอนอ่านหนังสือเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็จะได้มองเห็น”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้ม “จะว่าไปแล้วโคมไฟสามดวงนี้ก็มีที่มาที่ไป…”
นางยังไม่ทันได้อธิบาย สวีซื่อเจี่ยนก็วิ่งเข้ามา “ไอ๊หยา น้องสี่ เจ้ารวยแล้ว เมื่อไรจะเลี้ยงข้าวพวกเราบ้าง” เขายังคงชอบพูดหยอกล้อผู้คนเช่นเคย
“เอาสิ!” สวีซื่อจุนพูดอย่างมีความสุขว่า “ท่านเลือกสถานที่มาได้เลย”
“ที่ตรอกชุ่ยฮวาดีหรือไม่” สวีซื่อเจี่ยนถามด้วยท่าทางจริงจัง
ที่นั่นคือหอนางโลมที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง
สวีซื่อจุนหน้าแดงก่ำ “ข้า…ข้าว่าเปลี่ยนเป็นที่อื่นดีกว่า!” พูดจาตะกุกตะกักเล็กน้อย
สวีซื่อเจี่ยนหัวเราะเสียงดังลั่น หันไปพูดกับไท่ฮูหยินว่า “แม้แต่สถานที่เช่นนี้น้องสี่ก็ยังรู้จัก!”
ต่อให้ไม่รู้ แต่ดูท่าทางเจ้าเล่ห์ของเขาแล้ว ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่สถานที่ที่ดี
“มานี่!” ไท่ฮูหยินกวักมือเรียกสวีซื่อเจี่ยน “ใครใช้ให้เจ้าทำตัวไร้สาระ” ไท่ฮูหยินบิดหูของเขา
“โอ๊ย โอ๊ย!” สวีซื่อเจี่ยนเอามือกุมหูทั้งสองข้าง แสร้งทำเป็นเจ็บปวดอย่างเหลือทน “ท่านผู้อาวุโส ท่านเบาๆ มือหน่อยเถิด อย่างไรเสียข้าก็เป็นขุนนางระดับหก ท่านทำเช่นนี้จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
ทุกคนในห้องโถงต่างก็พากันหัวเราะ
เจียงซื่อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงมอบโคมไฟที่มีลักษณะพิเศษแต่ราคาถูก ก็คิดว่าสืออีเหนียงจะอาศัยโอกาสนี้พูดโน้มน้าวสวีซื่อจุน ใครจะไปรู้ว่าสืออีเหนียงกลับไม่ได้พูดอะไรเลย
หู่พั่วก็ยังถามเป็นการส่วนตัวว่า “ฮูหยิน ท่านอยากจะพูดเตือนคุณชายน้อยสี่สองสามประโยคไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ไว้ค่อยหาโอกาสอื่นเถิด!” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “คนเยอะเกินไป เขาเองก็หวังดี ข้ากลัวว่าเขาจะเสียหน้า”
หู่พั่วพยักหน้า
เพียงแต่ว่าก่อนที่สืออีเหนียงจะคุยเรื่องนี้กับสวีซื่อจุน สวีลิ่งอี๋กับจิ่นเกอก็กลับมาอย่างกะทันหัน
“เหตุใดไม่ให้บ่าวรับใช้นำจดหมายมาส่งในตอนกลางคืนเล่าเจ้าคะ” นางรีบให้ห้องครัวทำอาหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สวีลิ่งอี๋ ช่วยอาบน้ำให้บุตรชาย กำชับสาวใช้ให้เอาเสื้อผ้าในหีบทั้งหมดออกมาซัก “คนที่จวนจะได้เตรียมตัวกัน” แล้วพูดต่อไปว่า “ไม่ได้บอกว่าอาจจะกลับมาหลังจากฤดูร้อนหรอกหรือ ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้ ออกเดินทางในฤดูร้อนมันร้อนจะตายไป!”
“เหอเฉิงปี้ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในฝูเจี้ยน กวาดล้างโจรสลัดญี่ปุ่นในผิงไห่เว่ยจนหมด” เขามองสืออีเหนียงด้วยแววตาเปล่งประกายดั่งเปลวไฟก็ไม่ปาน “ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เหอเฉิงปี้เป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารฝูเจี้ยน”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเหอเฉิงปี้เป็นใคร แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สงครามในฝูเจี้ยนส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาอาศัยสกุลโอวของจิ้งไห่โหว
“หมายความว่าต่อจากนี้ไปราชสำนักก็จะมีแม่ทัพสำหรับต่อสู้ทางทะเลแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางพูดอย่างลังเล
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “ใช่แล้ว เขาไม่เพียงแต่กวาดล้างในผิงไห่เว่ย ก่อนหน้านี้ยังเคยกวาดล้างที่เหิงอวี่” เขาดูมีความสุขเกินคำบรรยาย “ข้าไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับสกุลโอวอีกต่อไปแล้ว” เขานอนอยู่ในอ่างอาบน้ำไม้สน มองขึ้นไปบนเพดานของห้องชำระ “ยี่สิบปีมาแล้ว…”
บางเรื่องก็ไม่เคยลืมเลือน
เสียงแผ่วเบาลอยอยู่ในห้องที่มีไอน้ำ พลอยทำให้สืออีเหนียงน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านโหว!” นางช่วยเขาถูหลัง
หลังของเขามีเส้นที่ชัดเจน กว้างและดูทรงพลัง ไม่รู้ว่าทำไมนางมักจะรู้สึกว่าแผ่นหลังและไหล่กว้างของเขานั้นดูอ่อนล้าเกินไป อยากจะให้เขาพักผ่อนสักครู่ ขณะที่ใช้ผ้าถูหลังก็ยังใช้มือจับที่ปลายผ้าไว้ เกรงว่าหากใช้แรงมากเกินไปจะทำให้เขารู้สึกเจ็บเอาได้
ห้องชำระเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน แต่กลับไม่ได้รู้สึกจำเจหรือน่าเบื่อ ทุกๆ ลมหายใจเข้าและออก เหมือนคนหนึ่งร้อง คนหนึ่งรับ คนหนึ่งถาม คนหนึ่งตอบ ค่อยๆ กลายเป็นความถี่ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
“ท่านโหว!” มีสาวใช้น้อยรายงานด้วยน้ำเสียงเขินอายทำลายความเงียบในห้องชำระ “ยงอ๋องมาขอพบเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นยืน เสียงน้ำกระเซ็นไปทั่วห้อง “เชิญท่านอ๋องไปนั่งที่ห้องหนังสือเล็ก ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงของเขาสงบแต่เยือกเย็น สืออีเหนียงพลันใจเต้นแรง
ราวกับว่ารู้สึกถึงความไม่สบายใจของนาง สวีลิ่งอี๋หันกลับมาจับมือนาง “ไม่มีอะไร! จิ่นเกอของพวกเรายังไม่ได้มีครอบครัวเป็นหลักเป็นแหล่งเลย!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ไม่สนใจหยดน้ำที่เกาะเต็มตัวสวีลิ่งอี๋ กอดเขาอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา “ท่านโหวจะสวมชุดราชการหรือชุดทั่วไปเจ้าคะ” น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
******
กลางเดือนเจ็ด ฮ่องเต้ได้ส่งจดหมายไถ่ถามความรับผิดชอบถึงจิ้งไห่โหวสามฉบับในวันเดียวเนื่องจากการสู้รบที่ไม่เอื้ออำนวยในไถโจว ทางราชสำนักและราษฎรเริ่มกล่าวโทษและประณามสกุลโอว
จิ่งไห่โหวที่มีอายุมากกว่าแปดสิบปีไปเมืองหลวงเพื่อรับโทษด้วยตัวเอง และเสียชีวิตด้วยอาการป่วยที่อำเภอกวงเจ๋อเขตชายแดนฝูเจี้ยน ฮ่องเต้ไม่ได้หยุดการสืบสวนเพราะเหตุนี้ ซ้ำยังประกาศโทษสกุลโอวสามสิบหกคดีที่หน้าประตูวังในเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่คนในสกุลอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากนั้นสกุลโอวก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกยึดทรัพย์สิน เชื้อสายหลักถูกประหารชีวิต เชื้อสายรองถูกเนรเทศ สูญเสียกิจการของตระกูลที่มีมากว่าสองร้อยปี
สกุลในฝูเจี้ยนถูกล้างบาง ในอีกห้าปีข้างหน้าก็ยังไม่ฟื้นตัว แต่เยี่ยนจิงกลับมีเรื่องที่น่าสนใจใหม่แล้ว เมื่อเหอเฉิงปี้ตกรางวัลให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หลี่จี้บุตรชายคนที่สองของอดีตผู้บัญชาการทหารฝูเจี้ยนอย่างหลี่จงได้รับการจัดอันดับเป็นที่หนึ่ง
เรื่องเก่าๆ ในปีนั้นถูกพูดขึ้นมาอีกครั้ง หลี่จงต้องพบเจอโศกนาฏกรรมเพราะความโชคร้าย ส่วนหลี่จี้กลายเป็นวีรบุรุษวัยหนุ่มที่ชุบชีวิตตระกูล
“การที่สามารถทำให้เหอเฉิงปี้ใช้งานเขาได้ เช่นนั้นเราก็ไม่ควรประมาทเขา ยิ่งไปกว่านั้นรายชื่อของเขาก็อยู่ในอันดับที่หนึ่ง” สวีลิ่งอี๋วางรายงานในมือลง พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เด็กคนนี้มีอนาคตที่ดี”
สิ่งต่างๆ กำลังไปในทิศทางที่เขาคาดหวัง ใบหน้าที่สงบของเขาแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ ทำให้เขาดูอ่อนกว่าวัยหลายปี
“ผ่านไปหลายปีแล้ว ฮ่องเต้คงไม่ยึดติดเรื่องของหลี่จงจนไม่ยอมปล่อยมือหรอกกระมัง” สืออีเหนียงนั่งทำเสื้อซับในให้จิ่นเกออยู่ข้างๆ เขา
“ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้คนแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบว่า “ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่จงในเวลานั้นยังเป็นเรื่องราวที่คลุมเครือ ฮ่องเต้ไม่มีทางรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ”
ขณะที่กำลังพูดก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ “ท่านโหว ยงอ๋องมาขอรับ!”