ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 67 พิธีฝังศพ
ที่ห้องลี่จิ่งเซวียนปลายฤดูใบไม้ผลิ เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่กำลังเบ่งบาน
ใบหน้าของนายหญิงใหญ่ขาวซีดราวกับกระดาษ เอนตัวนอนอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง สายลมอ่อนพัดแผ่วเบา ปุยขาวของเมล็ดหลิวร่วงหล่นลงบนผ้านวมของนาง
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ต้องทำใจดีๆ ไว้” นายหญิงรองนั่งลงข้างเตียง ปลอบใจนายหญิงใหญ่ “คนตายจากไปแล้ว คนเป็นจะต้องอยู่ต่อให้ได้”
นายหญิงสามก็มาร่วมพูดอีกแรง “ใช่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะต้องดูแลรักษาถนอมตัวเองให้ดี!”
ริมฝีปากของนายหญิงใหญ่โค้งงอเล็กน้อย น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
ป้าสวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็น้ำตาคลอเบ้า “นายหญิงใหญ่ เมื่อคืนท่านก็ร้องไห้ทั้งคืนแล้ว…ต้องระวังดวงตาด้วยนะเจ้าคะ”
คนอื่นๆ ก็ได้พากันปลอบใจนายหญิงใหญ่
สภาพจิตใจของนายหญิงใหญ่จึงดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงพยายามลุกขึ้นนั่ง พลางพูดกับนายหญิงสองและนายหญิงสามอย่างเกรงใจว่า “ทำพวกเจ้าตกใจแล้ว!”
“พี่สะใภ้ใหญ่อย่าพูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกล” นายหญิงสองพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พวกเราก็เป็นคนในบ้านของหยวนเหนียงนะ!”
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินชื่อของหยวนเหนียง แววตาก็หม่นหมองลงไปอีกครั้ง
นายหญิงสามเพิ่งจะพูดไปไม่กี่คำ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงสองยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็ยังนึกอยู่เลยว่าทำไมถึงยังไม่มาสักที…ให้คนไปส่งข่าวแล้วแท้ๆ”
พูดจบ ซื่อเหนียงที่สวมชุดเป้ยจื่อสีนวลจันทร์ก็เดินเข้ามา
ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรน้ำตาก็ไหลล้นออกมาเสียก่อน “พี่หญิงใหญ่ทำไมด่วนจากไปเช่นนี้กัน ทิ้งท่านโหวและจุนเกอไว้ข้างหลังเช่นนี้ อนาคตภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตอย่างไรกันเล่า” นางพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา
นายหญิงสามยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกข้าเพิ่งจะปลอบใจพี่สะใภ้ใหญ่เสร็จ ยังต้องมาปลอบใจเจ้าอีก”
ซื่อเหนียงได้ยินแล้วก็รีบหยุดร้องไห้ พร้อมกับย่อตัวทำความเคารพทุกคน
นายหญิงสองจึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เช่นนั้นก็รีบไปทักทายไท่ฮูหยินกันเถิด”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จิตใจข้ายังไม่ปกติ ไม่ไปกับพวกเจ้าแล้วกัน”
นายหญิงสองและนายหญิงสามพยายามพูดปลอบใจนายหญิงใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ให้สะใภ้ที่รับหน้าที่ต้อนรับแขกเข้ามาเพื่อให้พาพวกนางไปหาไท่ฮูหยิน
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินว่าคนทางบ้านของหยวนเหนียงมาแล้ว จึงได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ทุกคนย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเหลือบมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
เห็นดวงตาและจมูกของสืออีเหนียงแดงก่ำ สีหน้าหม่นหมอง จึงได้พยักหน้าเบาๆ
เมื่อเข้าเรือนไปแล้ว ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างๆ ของไท่ฮูหยินยังมีแขกผู้หญิงอีกสี่คนอยู่ด้วย
สืออีเหนียงรู้จักสองในสี่คนนั้น กานฮูหยินจวนจงฉินปั๋วและหลินฮูหยินจวนเวยเป่ยโหว
หลินฮูหยินกำลังคุยกับหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้างดงาม หนึ่งในสี่คนนั้น “…ได้ยินเสียงเคาะกังสดาลแจ้งเหตุไปสี่ครั้ง เลยรู้ว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น ก็เลยรีบสั่งให้เด็กมาถามไถ่ จึงพึ่งรู้ว่าฮูหยินของท่านโหวสิ้นใจแล้ว!” พูดจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา
หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามผู้นั้นก็ได้ถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง “ที่น่าสงสารก็คือเด็กน้อยนี่แหละ ขาดคนดูแลไป”
“นั่นแหละหนา!” หลินฮูหยินช่วยสมทบด้วยอีกคน เมื่อเห็นคนจวนสกุลหลัวเดินเข้ามา ก็ได้พากันเงียบลงพร้อมกับยิ้มขึ้น แล้วจึงยกชาขึ้นมาจิบ
ไท่ฮูหยินเชิญพวกนางเข้ามาแนะนำให้ผู้คนรู้จัก
หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามผู้นั้นที่หลินฮูหยินคุยด้วยก็คงจะเป็นฮูหยินของเฉินเก๋อเหล่า
ตอนนี้เฉินเก๋อเหล่ามีตำแหน่งโส่วฝู่ของต้าโจว ตำแหน่งขุนนางอาวุโสสูงสุดในเน่ยเก๋อ [1]ไม่นึกเลยว่าเฉินฮูหยินจะอายุน้อยเช่นนี้…นางจึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ส่วนหญิงวัยกลางคนที่ดูไม่คุ้นหน้าเท่าไรนัก ก็คงจะเป็นฮูหยินของเจียงไป่
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
อายุราวๆ สามสิบห้า สามสิบหกปี ลักษณะหน้าตาทั่วๆ ไป แต่กิริยาอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่น เวลามองแล้วก็พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกพบ
ส่วนนายหญิงสามเมื่อรู้ว่าหญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามผู้นั้นเป็นเฉินฮูหยิน ก็ทำตัวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่เฉินฮูหยินกลับใจกว้างและเป็นมิตร เข้าไปทำความเคารพนายหญิงสามก่อน
ในตอนแรกสืออีเหนียงคิดว่านี่คือความใจกว้างของผู้ชนะ แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าเฉินฮูหยินผู้นี้ทำการใดก็ไม่ได้เกินหน้าผู้อื่น และก็ไม่ได้หลบอยู่แต่เบื้องหลัง กลับรักษาเส้นทางสายกลางแทน ส่วนเจียงฮูหยินนั้นแตกต่างไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะอยู่หลังสุดเสมอ นอกจากนี้กานฮูหยินเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดทะนงตน หลินฮูหยินจึงกลายเป็นหัวโจกโดยปริยาย สืออีเหนียงจึงได้ตั้งใจฟังหลินฮูหยินพูดจา
ยังดีที่หลินฮูหยินไม่ได้เป็นคนพูดจาหยาบคายไม่สุภาพ อีกทั้งยังมีนายหญิงสองที่พูดจาเห็นพ้องด้วยอยู่บ่อยครั้ง บรรยากาศจึงไม่ค่อยอึดอัดเท่าไรนัก
เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ฮูหยินสองก็มาพอดี
นางนำหนังสือของวันที่ถูกกำหนดขึ้นโดยสำนักดาราศาสตร์มาให้ไท่ฮูหยินดู “…ท่านลองดู ใช้ได้หรือไม่”
ไท่ฮูหยินไม่ได้รับ แต่กลับพูดขึ้นว่า “เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว”
ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็นำหนังสือเทียบเชิญฉบับนั้นเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไม่นึกว่าแขกจะเยอะขนาดนี้ เกรงว่าทางฝั่งโถงบุปผาต้องใช้ฉากบานพับกั้นเป็นโต๊ะอาหารเพื่อรับรองแขกแบบไม่ขาดสาย จึงอยากจะยืมฉากบานพับลายแร่กลีบหินขาวสีดำเงามาใช้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินจึงได้เรียกเว่ยจื่อมา “ไปเอาฉากบานพับลายแร่กลีบหินขาวสีดำเงามาให้ฮูหยินสองหน่อย”
เว่ยจื่อขานรับขึ้นว่า “เจ้าค่ะ” ฮูหยินสองจึงขอตัวกับแขกคนอื่นๆ จากนั้นก็ได้ไปเอาฉากบานพับกับเว่ยจื่อ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกตกใจ
นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ดูแลจัดการพิธีงานศพของหยวนเหนียงจะเป็นฮูหยินสอง นางคิดว่าอาจจะเป็นฮูหยินสามเสียอีก…
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของหลินฮูหยินถอนลมหายใจออกมา “คนมากความสามารถเช่นนี้ น่าเสียดายที่…”
น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านของจวนหย่งผิงโหวหรือ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ๆ ก็บังเอิญเห็นว่าไท่ฮูหยินกำลังจ้องมองตนอยู่
*****
มีเฉินฮูหยินอยู่ด้วย นายหญิงสามจึงดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก ถึงแม้ว่านายหญิงสองจะไม่มีเจตนาจะไป แต่นายหญิงสามกลับลุกขึ้นพร้อมกับให้เหตุผลว่าจะไปดูนายหญิงใหญ่ นายหญิงสองจึงไม่สะดวกจะนั่งต่อ ทำได้เพียงเอ่ยขอตัวกับไท่ฮูหยินแล้วตามออกไปด้วย
ส่วนทางฝั่งไท่ฮูหยินก็มีฮูหยินของอาลักษณ์[2]หลายๆ ท่านมาพอดี จึงไม่สามารถรั้งพวกนางอยู่คุยต่อได้ ไท่ฮูหยินก็เลยออกไปส่งพวกนางที่หน้าประตูเรือนด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงและชีเหนียงซุบซิบคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของชีเหนียงขยับเล็กน้อย แล้วจึงไปกระซิบอะไรบางอย่างกับนายหญิงสองที่กำลังกล่าวลาไท่ฮูหยินอยู่ แววตาของนายหญิงสองก็ลุกโชนขึ้นมา นางพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงยิ้มพร้อมกับถามไท่ฮูหยินว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินสองอยู่ที่ใด ข้าอยากจะไปถามเสียหน่อยว่าจะไว้ทุกข์คุณหนูใหญ่กี่วัน ส่งศพวันไหน พวกเราจะได้กลับไปแจ้งพี่ชายสามี เขาจะได้วางใจได้บ้าง”
ไท่ฮูหยินเหลือบสายตาไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อยู่ที่โถงบุปผาติดกับโถงเตี่ยนชวน นายหญิงสองอาจจะไม่รู้ทาง แต่คุณหนูเหล่านี้คงจะทราบทางเป็นอย่างดี”
นายหญิงสองได้ยินแล้ว ก็ได้พูดคุยกับไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปยังโถงบุปผาข้างโถงเตี่ยนชวน
เมื่อไปถึงก็เห็นเหล่าบรรดาสะใภ้ยืนอยู่ใต้ชายคาเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
เมื่อนายหญิงสองเห็น ก็รีบเข้าไปเรียนฮูหยินสองทันที
ฮูหยินสองจึงได้ให้เหล่าสะใภ้และสาวใช้รีบเชิญเข้ามา “นายหญิงทั้งหลายล้วนเป็นแขกหายาก รีบเข้าเรือนดื่มชาเถิดเจ้าค่ะ”
ทุกคนย่อตัวทำความเคารพซึ่งกันและกัน นายหญิงสองจึงได้พูดถึงเจตนาของตน
ฮูหยินสองจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไว้ทุกข์ทุกเจ็ดวัน ห้ารอบ รวมสามสิบห้าวัน ถัดไปหลังสามวันก็แจ้งข่าวการตายและกำหนดวันต้อนรับญาติมาร่วมไว้อาลัย เจ้าอาวาสใหญ่ของวัดฮู่กั๋วเป็นคนมาช่วยสวดบทสวดมหากรุณาขมากรรม นักบวชประกอบพิธีทางศาสนาที่อารามเมฆขาว วันหกค่ำเดือนห้ายามเฉิน[3]แจ้งความฌาปนกิจจัดงานฌาปนกิจศพ หลังจากนั้นก็จะทำพิธีฝังศพอย่างเป็นทางการ”
นายหญิงสองยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ากลับไปแล้วจะอธิบายกับนายท่านดีๆ”
ทั้งสองพูดคุยทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนายหญิงสองก็ได้ขอตัวกับฮูหยินสอง “…ข้าจะไปดูพี่สะใภ้ใหญ่เสียหน่อย ท่านเองก็ยุ่งไม่ใช่น้อย!”
ฮูหยินสองพูดคุยต่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ส่งนายหญิงสองถึงทางเดินแล้วจึงค่อยกลับไป
ระหว่างทาง ชีเหนียงคอยกระซิบคุยกับสืออีเหนียงไม่หยุด “เรือนของพี่หญิงใหญ่สวยมาก ครั้งที่แล้วตอนที่ข้ามาคารวะพี่หญิงใหญ่นั้น หิมะกำลังตกหนัก ก็เลยไม่ได้ไปที่สวนดอกไม้หลังเรือน!”
แต่สืออีเหนียงนั้นกำลังครุ่นคิดอยู่กับความคิดของตน
ตอนที่กำลังคุยกระซิบกับชีเหนียงอยู่นั้น นางรู้สึกว่าไท่ฮูหยินกำลังจ้องมองตนอยู่ จากนั้นชีเหนียงก็เข้าไปคุยกับนายหญิงสอง จึงสังเกตเห็นว่าไท่ฮูหยินมีสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
เหตุใดไท่ฮูหยินถึงไม่ชอบใจเล่า
หรือเป็นเพราะไปถามถึงลำดับขั้นตอนและพิธีจัดงานศพของหยวนเหนียง ไท่ฮูหยินรู้สึกว่าบ้านสกุลหลัวที่เป็นญาติฝ่ายหญิงเสียมารยาท? หรือว่าไท่ฮูหยินไม่ชอบใจการที่ตนนั้นทำการอ้อมค้อมไปมา
นางจึงนึกถึงฮูหยินสอง ฮูหยินสามและฮูหยินห้าขึ้นมา…
เห็นได้ชัดว่าคนที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอย่างฮูหยินสองและฮูหยินห้าล้วนแล้วแต่เป็นที่น่าเอ็นดูรักใคร่ของไท่ฮูหยินทั้งนั้น แต่คนฟันคมปากคล่องเช่นฮูหยินสามกลับไม่ได้เป็นที่พึงพอใจของไท่ฮูหยินเท่าไรนัก เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างภรรยาเอกและอนุ หรือเป็นเพียงแค่ความชอบส่วนบุคคลกันนะ
ฮูหยินสองอีกคน ตอนที่ทำความเคารพสายตาของนางนั้นจ้องตาไม่กะพริบเลย บวกกับคำพูดของจุนเกอ สามารถเข้าใจได้ว่าทุกคนในจวนสกุลสวีล้วนรู้เรื่องที่หยวนเหนียงตั้งใจจะให้นางมาเป็นภรรยาคนต่อไปของสวีลิ่งอี๋หมดแล้วหรืออย่างไรกัน
หากเป็นเช่นนี้ ตนมาถึงที่จวนสกุลสวี ไม่กระอักกระอ่วนใจแย่หรือ
ในขณะที่ตนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ทุกคนก็ได้รีบกลับไปยังห้องลี่จิ่งเซวียน
นายหญิงใหญ่นั่งห่มผ้า ข้างๆ มีป้าสวี่คอยป้อนโจ๊กให้อยู่
เมื่อเห็นว่าทุกคนกลับมาแล้ว ป้าสวี่จึงได้รีบอธิบายว่า “ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นายหญิงใหญ่เพิ่งจะได้ทานโจ๊กถ้วยนี้ ไท่ฮูหยินให้ห้องครัวค่อยๆ ตุ๋นโจ๊กข้าวฟ่างหางกระรอกด้วยไฟอ่อนโดยเฉพาะ ทุกคนลองชิมดูเจ้าค่ะ!”
ใครจะกล้าไปกินอาหารมื้อพิเศษที่ไท่ฮูหยินสั่งตุ๋นให้นายหญิงใหญ่โดยเฉพาะกันเล่า ทุกคนจึงพากันปฏิเสธ
นายหญิงสองจึงได้บอกเรื่องแผนการและขั้นตอนของพิธีงานศพให้กับนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ฟังแล้วก็ได้พูดขึ้นว่า “ในเมื่อสำนักดาราศาสตร์เป็นผู้กำหนดวันมา ก็เอาตามนั้นแล้วกัน!” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
เชิญสำนักดาราศาสตร์มาเป็นผู้กำหนดวันให้ หลวงจีนและนักบวชทำพิธีสวดสามสิบห้าวัน ยังไม่พึงพอใจอีกหรือ นี่เป็นเพียงข้ออ้างหรืออย่างไรกันนะ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแอบครุ่นคิด
*****
ค่ำคืน เมื่อทุกคนเดินทางกลับถึงจวน นายท่านใหญ่ก็รีบออกมาถามไถ่ถึงสถานการณ์
นายหญิงใหญ่จึงได้นำคำพูดของนายหญิงสองที่พูดเกี่ยวกับเวลาแจ้งข่าวการตายและแจ้งความฌาปนกิจจัดงานฌาปนกิจศพ เวลาฝังศพ บอกกล่าวกับนายท่านใหญ่ จากนั้นก็ได้นึกถึงหลัวเจิ้นซิ่งที่กำลังสอบ นางจึงพนมมือขึ้นมาอธิษฐานพึมพำว่า “หยวนเหนียง เจ้าอยู่บนฟ้าจะต้องช่วยปกปักคุ้มครองและอวยพรน้องชายของเจ้าให้สอบผ่านลุล่วงไปด้วยดี น้องเขยของเจ้าด้วยอีกคน…”
นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วก็เงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสลดว่า “เจ้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด สองสามวันนี้ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะ”
ทุกคนขานรับแล้วจึงพากันแยกย้ายไป
เช้าวันรุ่งขึ้น สีหน้าของนายหญิงใหญ่ดูหม่นหมองไม่สดใสเท่าไรนัก เหมือนจะไม่ค่อยสบาย คิดว่าคงเพราะหลายวันมานี้นางหดหู่และเสียใจมากจนเกินไป ทานยาเม็ดไป๋จื่อเหรินไปหนึ่งเม็ด อาการจึงดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ช่วงบ่ายก็ได้สั่งให้อู๋เซี่ยวเฉวียนไปรับหลัวเจิ้นซิ่งที่สนามสอบ ยามโหย่ว[4]ทั้งสองจึงเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึง
นายหญิงใหญ่รีบไปดึงมือของบุตรชาย “…ผอมไปเยอะเชียว”
หลัวเจิ้นซิ่งกลับพูดขึ้นว่า “ข้าอยู่ที่นั่นกินอิ่มนอนหลับสบาย ไม่ได้ผอมเสียหน่อย” จากนั้นก็หันไปถามหลัวเจิ้นเซิงว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด”
หลัวเจิ้นเซิงก็ได้รีบตอบกลับไปว่า “เพิ่งกลับมาเมื่อวานขอรับ”
หลัวเจิ้นซิ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าทุกคนในบ้านล้วนสวมชุดสีขาวกันหมด บนผมของภรรยาทัดดอกสีขาวไว้สองดอกอีกด้วย
“นี่…”
นายหญิงใหญ่ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “พี่หญิงใหญ่ของเจ้า นาง…นาง…”
หลัวเจิ้นซิ่งเปลี่ยนจากอารมณ์ดีใจเป็นประหลาดใจในทันที “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…” เขาน้ำตาคลอเบ้า “ข้าจะไปดูพี่หญิงใหญ่!”
เขาสาวเท้าเดินไปยังห้องเหอฮวาหลี่
นายหญิงใหญ่รู้สึกสงสารทั้งบุตรสาวและบุตรชาย จึงได้รั้งหลัวเจิ้นซิ่งไว้ “นี่มันยามใดแล้ว เจ้าเดินทางพรุ่งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ทันเสียหน่อย”
แต่หลัวเจิ้นซิ่งกลับไม่ฟัง เขาเรียกบ่าวรับใช้ไปเตรียมรถม้า แล้วตัวเองก็ได้เข้าห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวธรรมดา
นายหญิงใหญ่จึงจำใจให้หลัวเจิ้นเซิงไปเป็นเพื่อนหลัวเจิ้นซิ่ง
สองพี่น้องกลับจากที่โน่นค่อนข้างดึก เพิ่งจะเอนตัวลงนอน ด้านนอกก็มีคนมาเคาะประตู
เวรเฝ้ายามกะดึกถือโคมไฟเข้าไปถามว่าเป็นใคร นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่มานั้นจะเป็นเฉียนหมิง
หลัวเจิ้นซิ่งจึงให้คนออกไปเปิดประตู เฉียนหมิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียวกับเขาทันทีว่า “พี่หญิงใหญ่เสียแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าสักคำ หากไม่ใช่เพราะบิดาของสหายร่วมคณะข้าไปร่วมพิธีงานศพมา ข้าก็คงยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!”
“วันนี้ดึกมากแล้ว” หลัวเจิ้นซิ่งเชิญเฉียนหมิงเข้ามา “ข้าก็เลยจะบอกเจ้าพรุ่งนี้แทน” เมื่อเห็นว่าเฉียนหมิงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างทั้งตัว จึงได้พูดขึ้นว่า “วันนี้เจ้าก็นอนค้างที่นี่เถิด พรุ่งนี้เราค่อยไปที่จวนสกุลสวีด้วยกัน”
เฉียนหมิงจึงตอบตกลง จากนั้นก็มีประกายแวววาวปรากฏขึ้นบนสายตาของเขา
หลัวเจิ้นซิ่งในเวลานี้อดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกลังเลและสงสัย ว่าการที่ตนเป็นคนกลางไปแนะนำอู่เหนียงให้กับคุณชายเฉียนนั้น เป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่
[1]เน่ยเก๋อ เป็นองค์กรในระบบราชการของจักรวรรดิจีนช่วงราชวงศ์หมิง ซึ่งโดยนิตินัยแล้วเป็นหน่วยประสานงาน แต่โดยพฤตินัยเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง
[2]อาลักษณ์ คือผู้ที่มีอาชีพบันทึกหลักฐานให้เป็นลายลักษณ์อักษร
[3]ยามเฉิน ช่วงเวลา 07.00-09.00 นาฬิกา
[4]ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17.00-19.00 นาฬิกา