ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 664 ครึกครื้น (กลาง)
สืออีเหนียงกอดสวีลิ่งอี๋ ใบหน้าของนางแนบลงบนแผ่นหลังของเขา
“เป็นอะไรหรือ” สวีลิ่งอี๋งัวเงียเล็กน้อย “ไม่สบายตรงไหนหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้าแค่อยากกอดท่าน”
อย่างไรเสียสวีลิ่งอี๋ก็นอนไม่หลับแล้ว เขาลูบใบหน้าของนาง
ผิวหน้านุ่มลื่น ไร้ร่องรอยของเม็ดเหงื่อ
“ร้อนจะตายอยู่แล้ว” เมื่อก่อนสุขภาพของสืออีเหนียงไม่ค่อยดี สวีลิ่งอี๋จึงกลายเป็นนกตื่นธนู ไม่กล้าปล่อยให้นางร้อนหรือเย็นจนเกินไป ไม่กล้าใช้น้ำแข็งในตอนกลางคืนช่วงฤดูร้อน ทำได้เพียงใช้ผ้าบางๆ มาใช้แทนม่านที่หน้าต่าง แล้วเปลี่ยนเป็นมุ้งเก๋อปู้เพื่อรับลมธรรมชาติ เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้เป็นอะไร เขาจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนทิ้งที่ปลายเตียง เอาพัดจากใต้หมอนมาโบกพัดให้
“ข้าพัดเองเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงใช้ศอกพยุงตัวลุกขึ้นมาหยิบพัดไป ช่วยพัดให้เขาด้วยจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็ว
“ให้ข้าพัดเถิด ให้เจ้าพัดก็เหมือนกับไม่ได้พัด” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ประเดี๋ยวอีกสักหน่อยก็จะบอกว่าเมื่อยแขนอีก” ตอนที่แย่งพัดกลับมาก็อดพูดไม่ได้ว่า “ข้าบอกให้สาวใช้น้อยคอยพัดอยู่ข้างๆ เจ้าก็ไม่อนุญาต…แล้วก็มาแย่งกันพัดให้!” ขณะที่พูดไหล่ของเขาก็ถูกกัดเบาๆ
ใจของเขาพลันเต้นระส่ำ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งกลัวว่าตัวเองจะเข้าใจผิดไป เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ริมฝีปากอุ่นๆ กดลงจูบอย่างดูดดื่ม…
เขาหลับตาลง เพลิดเพลินกับความรู้สึกชั่วขณะหนึ่ง
“มั่วเหยียน…” สวีลิ่งอี๋เรียกชื่อนางด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงขานตอบเขา น้ำเสียงเบาสบายราวกับสายลมที่พัดผ่านหัวใจของเขา
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ
นี่เป็นครั้งแรก…
เขาไม่ใช่คนที่จะต่อต้านความโชคดีของตัวเอง
เขาหันมารวบตัวสืออีเหนียงมาไว้บนตัวเขา
ในตอนกลางคืน ดวงตาของเขาราวกับหินเนื้อแก้วสีดำ มีแสงเปล่งประกายเป็นพักๆ…
สืออีเหนียงกัดริมฝีปาก มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ…
******
ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทท้องฟ้าก็สว่างแล้ว มีเสียงสาวใช้เดินไปเดินมาดังมาจากข้างนอก
นางหลับสนิท
ไม่ได้ฝันเลยทั้งคืน ดูเหมือนว่าจะไม่แม้แต่พลิกตัว แขนซ้ายชา แต่กลับมีความรู้สึกมั่นคงและเงียบสงบ ร่างกายเหมือนกับต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาในเดือนสามก็ไม่ปาน งดงามตามธรรมชาติ
“ตื่นแล้วหรือ!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของสวีลิ่งอี๋ดังอยู่เหนือศีรษะของนาง “ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนตื่นสายเสียอีก” มีความรู้สึกขบขันแฝงอยู่ในน้ำเสียง “เมื่อคืนนี้ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น…ทำเอาข้าตกใจแทบแย่…”
สืออีเหนียงพลิกตัวกลับมา ซุกใบหน้าไว้ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ ดูท่าทางโหยหาเป็นอย่างมาก
“เป็นอะไรไป” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย ใช้นิ้วเขี่ยเส้นผมของนางที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนสีแดงปักลายเป็ดน้ำมาดมที่ปลายจมูก
กลิ่นดอกกุหลาบอ่อนๆ หอมเย้ายวนชวนให้อยากสูดดม
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง “วันนี้อากาศดียิ่งนัก!”
อย่างนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋มองไปยังมุ้งสีเหลืองที่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
ในเวลาเช้าตรู่ที่ไม่มีลมเลยแม้แต่น้อย ถือว่าอากาศดีอย่างนั้นหรือ!
เขาเลิกคิ้วขึ้น สืออีเหนียงยิ้มพลางก้าวลงจากเตียง บิดขี้เกียจไปมา
แสงอรุณในยามเช้า เส้นแสงละเอียดอ่อนเปรียบเสมือนกับกิ่งก้านของต้นหลิวที่ทอดยาวในฤดูใบไม้ผลิ นุ่มนวล แข็งแรง และมีสีสันงดงาม
“วันนี้มีหลายสิ่งที่ต้องทำ” นางหันกลับมา ผิวของนางขาวนวลราวกับหิมะ รอยยิ้มของนางงดงามดั่งบุปผา “จะต้องนำไม้พายและเรือออกมา แล้วยังต้องเตรียมผ้าสักหลาดปูโต๊ะ โต๊ะไม้จื่อถาน เครื่องลายครามหลากสี และม่านบังแดด…สวนหลังจวนที่อวี๋หังก็มีทะเลสาบ แต่ว่าเล็กมาก ไม่พอสำหรับการพายเรือ ที่นั่นเลี้ยงปลาไว้มากมาย บางครั้งอี๋เหนียงก็โยนอาหารปลาอยู่ข้างเก้าอี้เหม่ยเหริน ทำให้ปลามาแย่งอาหารกัน นางก็จะยิ้มหน้าบาน…ครั้งนี้พวกเราไปพายเรือที่ทะเลสาบปี้อี ท่านว่าดีหรือไม่” นางนอนหมอบแล้วถามสวีลิ่งอี๋อยู่ตรงขอบเตียง
ยากนักที่นางจะมีความสุขขนาดนี้
มีหรือที่สวีลิ่งอี๋จะไม่เห็นด้วย
เขาพูดพึมพำสองสามประโยค
สืออีเหนียงได้ยินไม่ชัด อดถามไม่ได้ว่า “อะไรนะเจ้าคะ”
“ข้าบอกว่า” เสียงของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ถ้าอี๋เหนียงมาเยี่ยนจิงปีละครั้งก็คงดี ครั้งนี้มาตอนฤดูร้อน ข้าว่าครั้งต่อไปก็มาตอนฤดูหนาว…”
เช่นนี้เขาก็จะได้โอบกอดสืออีเหนียงไว้ในอ้อมแขนต่อไป
ตอนแรกสืออีเหนียงไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อเห็นแววตาที่มีเลศนัยของสวีลิ่งอี๋ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณก็ไม่ปาน นางแค่นเสียงใส่สวีลิ่งอี๋ก่อนจะเดินไปที่ฉากกั้นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงดังลั่น รู้สึกสบายทั้งร่างกายและจิตใจ มีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อสืออีเหนียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ว่าสตรีไม่เคยเร็วกว่าผู้ชายในเรื่องนี้
ตอนที่เขาเดินออกมาแล้วสืออีเหนียงกลับยังไม่ออกมา
จิ่นเกอวิ่งเข้ามา
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงเกียจคร้านขนาดนี้ ยังไม่ลุกจากเตียงอีกหรือ!” เขาล้างหน้าเสร็จตั้งนานแล้ว สวมชุดผ้าไหมสีน้ำตาล ดวงตาโตเป็นประกายระยิบระยับ ดูมีเรี่ยวแรงแข็งขัน “เมื่อวานตอนที่ข้ามาท่านก็อยู่บนเตียง เมื่อสองวันก่อนก็เช่นกัน…” เขาพูดพลางเข้าไปดึงบิดา “วันนี้ต้องตื่นเร็วๆ หน่อยนะขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะพลางอุ้มบุตรชายขึ้นมา เหลือบมองฉากกั้นไม้จื่อถานที่แกะสลักงาช้างสีขาวลายเทพธิดาโปรยบุปผา พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ตอนบ่ายพวกเราไปขี่ม้ากันดีหรือไม่”
“ดีขอรับ!” จิ่นเกอกำลังจะยกแขนขึ้นตะโกนด้วยความดีใจ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ท่านพ่อพูดเสียงเบา จึงรีบระงับความตื่นเต้นแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ห้ามบอกท่านแม่ใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
จิ่นเกอตาเป็นประกาย “ท่านพ่อ หากท่านแม่ถามขึ้นมาก็ย่อมต้องบอก หากท่านแม่ไม่ถาม พรุ่งนี้ท่านยาย ท่านป้า ท่านน้าเล็ก ท่านน้าหญิง พี่ชาย พี่หญิง น้องชาย น้องหญิงต่างก็จะมาเป็นแขกที่จวน ท่านแม่ยุ่งเช่นนี้ เรื่องเล็กแค่นี้ พวกเราก็ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอกกระมัง!” เขาพูดพลางลอบเม้มปากยิ้ม
“เด็กเจ้าเล่ห์!” สวีลิ่งอี๋อดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิเขา
รอยยิ้มของจิ่นเกอแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ใจอ่อน อดลูบศีรษะบุตรชายไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอจึงหอมแก้มบุตรชายอีกหนึ่งที
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก
รอยยิ้มนั้นเผยให้เห็นเงาของสืออีเหนียงเล็กน้อย
เหมือนมีบางอย่างชโลมหัวใจของสวีลิ่งอี๋
เขาจูงมือบุตรชายแล้วพูดว่า “ไปกันเถิด พวกเราไปขี่ม้ากัน!” จิ่นเกอรีบตามไป ซ้ำยังส่งสัญญาณบอกคนรอบข้างว่าอย่าบอกสืออีเหนียง
แต่ว่าก็ถูกสืออีเหนียงรู้เข้าจนได้
“ตอนบ่ายเจ้าไปทำอะไรมา” หลังจากที่ยุ่งมาทั้งวัน นางก็ได้จัดการทุกอย่างสำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ได้อย่างเหมาะสมแล้ว จากนั้นก็นั่งลงดื่มชา “เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นหรือว่าซ้อมชกหมัดอยู่ที่เรือนซิ่วมู่ รองเท้าของเจ้าสกปรก หากอยู่ในจวนนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสกปรกขนาดนี้!”
“ท่านแม่รู้ได้อย่างไรว่ารองเท้าข้าสกปรก…” จิ่นเกอมองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ ไม่นานก็เข้าใจทันที “ข้ารู้แล้ว หงเหวินเป็นคนบอกท่านแน่นอน” เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “มิเช่นนั้นก็เป็นอาจิน” ท่าทางโกรธเคืองเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงความเข้มงวดของมารดา แม้แต่เขาก็ไม่กล้าพูดโกหกต่อหน้านาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหงเหวินกับอาจินที่เป็นคนโกหกไม่เก่ง “ข้ากับท่านพ่อไปด้วยกันขอรับ…” พูดเสียงลากยาว สายตาอันน่าสงสารของเขามองไปยังสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน พูดขึ้นมาว่า “พวกเราไปขี่ม้ากันมา!” คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไปว่า “วันนี้จุนเกอมีเรียนขี่ม้าและยิงธนู ข้าก็เลยพาเจี้ยเกอและจิ่นเกอไปด้วย ให้พวกเขาได้ลองฝึกสักหน่อย เด็กผู้ชายวันๆ จะเอาแต่อยู่ในเรือนได้อย่างไร!”
ไม่ว่าอย่างไรสืออีเหนียงก็จะไม่หักหน้าสวีลิ่งอี๋ต่อหน้าเด็กๆ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนบ่ายข้าไม่เห็นจิ่นเกอ พอไปหาที่เรือนกลับเห็นเสื้อผ้าและรองเท้าสกปรกของเขา…ทำเอาข้าตกใจแทบแย่”
สวีลิ่งอี๋ตบไหล่นางเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเป็นคนดูแลจิ่นเกอด้วยตัวเอง!”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าตัวเองตื่นตระหนกไปเอง
นางเป็นห่วงความปลอดภัยของจิ่นเกอ แล้วคนที่เป็นบิดาอย่างสวีลิ่งอี๋จะไม่เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็อดยิ้มขึ้นไม่ได้
จิ่นเกอพลันรู้สึกโล่งอก
อยู่กับท่านพ่อดีกว่า…เวลาอยู่กับท่านพ่อ แม้แต่ท่านแม่ก็ยอมโอนอ่อนให้…
เขานึกขึ้นได้ว่าคราวที่แล้วเขาอยากจะทำคลอดให้เจ้าสามสุนัขของเขา แต่ท่านย่าไม่อนุญาต สุดท้ายพอท่านพ่อพยักหน้า ท่านย่าก็ไม่พูดอะไรอีก…ไหนจะท่านอาห้าอีก เขาชวนเซินเกอไปว่ายน้ำ แต่ท่านอาห้าไม่ยอมตกลง สุดท้ายพอท่านพ่อบอกมาคำเดียวว่า ‘อนุญาต’ ท่านอาห้าไม่เพียงแต่เห็นด้วย ซ้ำยังพาพวกเขาไปที่ทะเลสาบปี้อีกับท่านพ่อด้วย...จิ่นเกออดหันไปมองท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ได้
ท่านแม่นั่งอยู่ที่เตียงเตาริมหน้าต่าง ท่านพ่อยืนอยู่ข้างกายท่านแม่ ท่าทางนุ่มนวลเป็นอย่างมาก ก้มศีรษะลงพูดคุยกับท่านแม่ ท่านแม่ยิ้มพลางเงยหน้ามองท่านพ่อ สายตาของท่านแม่เปลี่ยนไปมากในทันที…
เป็นอย่างไรกันแน่ เขาเองก็บอกไม่ถูก…แต่อย่างไรเสียก็แตกต่างจากปกติ…
จิ่นเกอเกาศีรษะ
เห็นว่าท่านพ่อยิ้มตามท่านแม่
รอยยิ้มนั้นซึมลึกไปถึงดวงตา…ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขที่อธิบายไม่ถูก…
ทันใดนั้นจิ่นเกอก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เขาวิ่งไปหาแล้วมุดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าหิวแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราก็ทานอาหารเย็นให้เร็วหน่อย” ท่านแม่กอดเขา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรักและเอ็นดูที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้
เขารีบเงยหน้ามองท่านพ่อ
สายตาของท่านพ่อจ้องมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันใดนั้นจิ่นเกอก็รู้สึกพึงพอใจ
เขานอนแผ่ลงบนเตียงเตา
“ข้าอยากทานหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาว อยากทานหมูสามชั้น อยากทานขาหมูตุ๋นซีอิ๊ว อยากทานหมูเย็น แล้วก็อยากทานเนื้อแกะต้ม…” พูดเสียงดังลั่น
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
หลายคนบอกว่าเด็กยิ่งโตก็ยิ่งน่าเบื่อ แต่เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งน่าสนใจ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็อดลูบศีรษะบุตรชายไม่ได้ สายตาของเขามองไปยังสืออีเหนียง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากทานอะไรหรือไม่ จะได้ให้คนครัวทำให้ด้วย อย่าเอาแต่คิดเรื่องอื่น เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี”
เขาไม่ได้อยู่ที่เรือนในตลอดเวลา จึงไม่อาจพูดแทนสืออีเหนียงได้ ประเดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าสืออีเหนียงพึ่งพาสามีเพื่อให้ได้อำนาจ เข้าใจผิดว่าสืออีเหนียงไม่มีความสามารถที่จะเป็นผู้ดูแลเรือน
ความเป็นห่วงของสวีลิ่งอี๋นั้นไม่มีเสียง นี่เป็นครั้งแรกที่พูดอย่างตรงไปตรงมา สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย แต่หัวใจของนางกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความหวาน
หรือเป็นเพราะว่าเมื่อสามีภรรยาอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็จะเป็นเช่นนี้
หรือเพราะว่าสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนไป
ในใจสืออีเหนียงสับสนวุ่นวายเล็กน้อย!