ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 663 ครึกครื้น (ต้น)
เรือนใหม่ของสวีซื่อจุนพึ่งจะเก็บกวาดเรียบร้อย หลัวเจิ้นซิ่งก็พาคุณนายใหญ่สกุลหลัวและคนอื่นๆ มาถึงเยี่ยนจิงพอดี
“…อี๋เหนียงสามอยู่ที่อวี๋หังเพื่อดูแลนายท่านใหญ่ คุณชายเจ็ด คุณนายสี่ อี๋เหนียงห้า อี๋เหนียงหก และบรรดาคุณชายน้อยกับคุณหนูต่างก็มากันทั้งหมด”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงปิติยินดีเป็นอย่างมาก
นางกับอี๋เหนียงห้าไม่ได้เจอหน้ากันมาเก้าปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เจอหลัวเจิ้นหง เขายังถูกห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อมอยู่เลย
“รีบนำป้ายชื่อของข้าไปส่งที่ตรอกกงเสียน” สืออีเหนียงลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น “พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขา”
หู่พั่วรับคำแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงประคองหน้าจิ่นเกอแล้วหอมสองที “ท่านยายกับท่านน้าเล็กของเจ้ามาถึงแล้ว!”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปเล่นที่จวนท่านลุงได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” จิ่นเกอดวงตาเป็นประกาย “ข้าอยากทานขนมปังเนื้อแกะของจวนท่านลุง”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงไม่มีกะจิตกะใจมาสอนจิ่นเกอเรื่องความตะกละ ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อถึงเวลาพวกเราจะไปเป็นแขกที่จวนท่านลุงของเจ้า”
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกำชับหัวหน้าผู้ดูแลแผนกรายงานให้จัดเตรียมของขวัญส่งไปที่ตรอกกงเสียน
เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟหู่พั่วก็กลับมา “คุณนายใหญ่กำลังเก็บของในหีบ พอรู้ว่าพรุ่งนี้ท่านจะไปหาก็ดีใจเป็นอย่างมาก แล้วยังบอกอีกว่าพรุ่งนี้ให้ท่านไปแต่เช้า จะให้ห้องครัวทำปลาจิ่วถังของโปรดของท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงดึงนางมาถามว่า “เจ้าเห็นอี๋เหนียงห้ากับคุณชายน้อยเจ็ดหรือไม่”
“เห็นเจ้าค่ะ!” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “คุณนายใหญ่ชี้คุณชายน้อยเจ็ดให้บ่าวดูโดยเฉพาะเลยเจ้าค่ะ!” นางยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม “คุณชายน้อยเจ็ดหน้าตาเหมือนฮูหยินห้าอยู่ห้าหกส่วน สวมชุดผ้าไหมสีขาวนวลจันทร์ ใส่สร้อยทองคำ ราวกับเด็กชายที่คอยปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ไม่ปาน ไม่เพียงแต่หน้าตาดูดี ซ้ำยังมีสัมมาคารวะ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคุณชายน้อยที่มีความรู้จากตระกูลสูงศักดิ์ พอคุณชายน้อยเจ็ดรู้ว่าบ่าวเป็นคนที่ท่านให้นำป้ายชื่อมา ก็ยังฝากบ่าวมาถามว่าฮูหยินว่าสบายดีหรือไม่! ตอนที่บ่าวกำลังจะออกจากจวน พออี๋เหนียงห้าได้ยินข่าวก็รีบมาหา ดึงบ่าวไปซักถามเรื่องของฮูหยินอยู่นาน แล้วยังมอบเงินประมาณหนึ่งร้อยตำลึงให้บ่าวอีกด้วย” พูดจบก็หยิบก้อนเงินเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ มองดูแล้วจำนวนน้อยที่สุดอยู่ที่หนึ่งตำลึง “พี่ซานหูแต่งกับผู้ติดตามของคุณนายใหญ่ ตอนนี้ได้เป็นผู้ดูแลหญิงข้างกายของคุณนายใหญ่แล้ว นางเป็นคนมาส่งบ่าว บ่าวได้ยินนางบอกว่าหลังจากที่กลับไปที่อวี๋หังคุณชายน้อยเจ็ดก็ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในเรือนของคุณนายใหญ่ คุณนายใหญ่ปฏิบัติต่อคุณชายน้อยเจ็ดราวกับที่ปฏิบัติต่อคุณชายน้อยซิว คุณชายน้อยเกิง และคุณชายน้อยคัง เริ่มเรียนหนังสือตอนอายุห้าปี ตอนนี้เรียนตำราปฐมวัยใกล้จบแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถแต่งบทกวีได้ ซ้ำยังสามารถแต่งบทประพันธ์ได้อีกด้วยเจ้าค่ะ!”
บุตรชายคนที่สองของหลัวเจิ้นซิ่งนามว่าหลัวเจียเกิง บุตรชายคนที่สามจากหวังอี๋เหนียงนามว่าหลัวเจียคัง
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ
ที่ประหลาดใจก็เพราะคิดไม่ถึงว่าคุณนายใหญ่จะเลี้ยงหลัวเจิ้นหงไว้ที่เรือนของนาง ที่ดีใจก็เพราะอี๋เหนียงห้ากับน้องชายของนางมีชีวิตความเป็นอยู่ในสกุลหลัวดีกว่าที่นางคิด
นางกำชับหู่พั่ว “ไปเปิดหีบของข้า ข้าจะเลือกผ้าแพรกงต้วนที่ได้รับพระราชาทานจากในวังเอามาทำเสื้อผ้าให้บรรดาหลานชายและหลานสาว” พลันรู้สึกว่าของขวัญนั้นดูเล็กน้อยเกินไป “นำกล่องเครื่องประดับมาด้วย ข้าจะเลือกเครื่องประดับสักสองสามชิ้นให้พี่สะใภ้ทั้งสองท่าน” จากนั้นก็ไปที่เรือนสวีลิ่งอี๋เพื่อเลือกจานฝนหมึกตวนเอี้ยนและพู่กันหูปี่
“โชคดีที่นานๆ ทีจะมาครั้งหนึ่ง” เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางก็พูดหยอกล้อว่า “มิเช่นนั้นสมบัติในจวนคงจะถูกแจกจ่ายจนหมด”
สืออีเหนียงอารมณ์ดี จึงพูดหยอกล้อกับเขา
“ทำไมเล่า ท่านทำใจไม่ได้หรือเจ้าคะ” ดวงตาสุกใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจับจ้องไปที่เขา “หย่งผิงโหวที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิงของพวกเราคงจะไม่ใช่คนที่กลัวการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรอกกระมัง” สีหน้าดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ เขายืนอยู่ด้านหลังนาง มือสองข้างโอบเอวเรียวบางของนาง สูดกลิ่นหอมที่ต้นคอของนางเบาๆ “เจ้ารู้จักคำว่าฟุ่มเฟือยด้วยหรือ ใครที่เจอคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ต้องปวดใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องคิดหาวิธีทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นหน่อยกระมัง!” บรรยากาศคลุมเครือเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงกะพริบตาปริบๆ หันกลับไป แขนเรียวยาววางอยู่บนไหล่ของสวีลิ่งอี๋
“ท่านโหว” นางหรี่ตามองเขา “ท่านจะให้ข้าปลอบใจท่านอย่างไรดีเจ้าคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลดั่งสายน้ำ แววตาเป็นประกายดูเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋แอบรู้สึกขบขัน
เป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี หากสืออีเหนียงกล้าพลอดรักกับเขาในห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยบ่าวรับใช้และสาวใช้ที่ยืนกันอยู่ที่หน้าประตูเก๋อซ่าน เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่สืออีเหนียงแล้ว
“ข้าอยากดู…” เขาพูดอย่างลังเลว่า “เจ้าร้องเพลง หรือไม่ก็…” เขากวาดสายตาไปยังหน้าอกของนางที่ดูมีน้ำมีนวลเป็นพิเศษในขณะที่นางเอนตัวไปข้างหลัง “เต้นระบำ”
“ข้าทำไม่เป็นทั้งสองอย่าง” สืออีเหนียงถอนหายใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า”
“ข้าจะสอนเจ้าร้องเอง!” สวีลิ่งอี๋ฮัมเพลงที่ข้างหูนางเบาๆ ทำเอาสืออีเหนียงหน้าแดงก่ำ “ท่านโหวไปเรียนกับใครมาหรือ” พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางดูเขินอายก็หัวเราะเสียงดังลั่น
******
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงแต่งตัวแล้วไปลาไท่ฮูหยิน นางและสวีลิ่งอี๋พาเด็กๆ ไปที่ตรอกกงเสียน
ไม่ได้เจอกันหลายปี คุณนายใหญ่สกุลหลัวดูอวบอั๋นขึ้นไม่น้อย ดูมีอายุมากกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนคุณนายสี่สกุลหลัวไม่ได้ดูดีเหมือนคุณนายใหญ่สกุลหลัว แต่กลับไม่ได้ดูมีอายุมากขึ้น ดูแล้วไม่ต่างจากเดิมมากนัก
ทั้งสามคนยืนหัวเราะกันอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา เป็นหลัวเจิ้นซิ่งที่กระแอมเสียงดังหนึ่งที ทุกคนจึงได้สงวนท่าทีมากขึ้น
“นี่คือน้องเจ็ด!” เขาดันเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเขาเบาๆ แนะนำให้กับสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง “นี่คือหย่งผิงโหว นี่คือคุณหนูสิบเอ็ด!”
“ท่านโหว!” เด็กน้อยผู้นั้นคำนับสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม “พี่หญิงสิบเอ็ด!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าเขาคล้ายกับอี๋เหนียงห้าอยู่เจ็ดแปดส่วน นางก็น้ำตาคลอเบ้า เงยหน้าขึ้นมองหาอี๋เหนียงห้าในบรรดาฝูงชน
“อี๋เหนียงห้ากำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแถวด้านหลัง” คุณนายสี่สกุลหลัวกระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ ว่า “นางบอกว่ารอให้ท่านโหวไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารก่อนแล้วนางค่อยมาพบคุณหนู”
เช่นนี้ก็จะสามารถปลีกตัวจากสวีลิ่งอี๋ได้แล้ว
สืออีเหนียงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
ทำเอาจิ่นเกอรู้สึกหวาดกลัวในใจ รีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
“ไอ๊หยา ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ เหตุใดถึงร้องไห้เสียแล้ว!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าให้สืออีเหนียงซับน้ำตา แต่ตัวเองกลับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน
“สตรีเหล่านี้จิตใจอ่อนไหวง่ายเสียจริง” หลัวเจิ้นเซิงพูดอย่างไม่เห็นด้วย แต่กลับไม่รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองก็สั่นเครืออยู่เล็กน้อย
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
หลัวเจียซิวโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาได้หมั้นหมายกับบุตรสาวของอดีตข้าหลวงหังโจวหรือใต้เท้าโจวที่ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด กำหนดงานแต่งคือฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่กลับเป็นครั้งแรกที่พึ่งจะได้พบกับหลัวเจียเกิงและหลัวเจียคัง ทั้งคู่สืบทอดผิวขาวและรูปลักษณ์ที่งดงามของสกุลหลัว บรรดาเด็กๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้น หลัวเจียซิวท่าทางสงบนิ่ง หลัวเจียเกิงดูเป็นคนซื่อตรง รู้สึกว่าเขามีนิสัยเปิดเผยกว่าหลัวเจียคังกับหลัวเจิ้นหงเล็กน้อย
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจ สายตาจับจ้องไปที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อิงแอบอยู่ข้างกายคุณนายสี่สกุลหลัว
“อิงเหนียงใช่หรือไม่”
อิงเหนียงเองก็โตเป็นสาวแล้ว ค่อนข้างเหมือนคุณนายสี่สกุลหลัว แม้ว่าจะไม่ได้หน้าตาสวยงามมากนัก แต่ใบหน้ากลับดูสดใสและซื่อสัตย์ พลอยทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสบายใจ
“ท่านน้าหญิงสิบเอ็ด!” นางยิ้มพลางเข้าไปคำนับ
“อิงเหนียง เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางถามนาง
“จำได้เจ้าค่ะ!” อิงเหนียงยิ้มอย่างร่าเริง “เรือนที่ท่านน้าหญิงสิบเอ็ดอาศัยอยู่มีต้นทับทิม ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าอยากจะเก็บดอกทับทิมแต่เอื้อมไม่ถึง ข้ายังจำได้ว่าท่านโหวเป็นคนอุ้มข้า”
สวีลิ่งอี๋หันมายิ้มให้สืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ความจำดีเสียจริง!” ท่าทางพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อหลัวเจิ้นเซิงและภรรยาเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ชื่นชอบอิงเหนียงก็ดีอกดีใจ คุณนายสี่สกุลหลัวชี้ไปที่เด็กผู้หญิงอายุห้าหกปีที่อยู่ข้างๆ อิงเหนียง “นี่คือฮุ่ยเหนียง” แล้วชี้ไปยังเด็กชายตัวน้อยอายุประมาณหนึ่งขวบที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่นม “ส่วนนี่คือตู้เกอ!”
หลังจากที่นางให้กำเนิดอิงเหนียงกับฮุ่ยเหนียงแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก ตู้เกอเกิดจากอนุภรรยาของหลัวเจิ้นเซิงนามว่าอี๋หลิ่ว
สืออีเหนียงแนะนำเด็กๆ สกุลสวีให้รู้จักกับคนในสกุลหลัว
ทุกคนคุยไปหัวเราะไป จากนั้นก็เข้าไปนั่งในเรือน
สือเอ้อร์เหนียงกับหวังเจ๋อพาเด็กๆ มาเยี่ยม
ในเรือนครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอี๋เหนียงหกที่กำลังลูบศีรษะบุตรทั้งสองของสือเอ้อร์เหนียง นางตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไร
“น่าเสียดายที่พี่หญิงห้ากลับจวนฝั่งของพี่เขยห้า มิเช่นนั้นก็คงจะครึกครื้นยิ่งกว่านี้!” สือเอ้อร์เหนียงพูดพลางถอนหายใจ
“พวกเราจะกลับอวี๋หังหลังจากตรุษจีน” คุณนายใหญ่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงนาง ให้นางกลับมาฉลองตรุษจีนที่เยี่ยนจิง”
“เอาสิ เอาสิ!” สือเอ้อร์เหนียงดีใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้น “เหตุใดถึงไม่เห็นอี๋เหนียงห้าเลย”
เสียงต่างๆ ในห้องเงียบลงอย่างกะทันหัน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลัวเจิ้นซิ่ง
“อี๋เหนียงห้ายังปรับตัวไม่ได้จึงไม่สบายนิดหน่อย” เขากระแอมเบาๆ “กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือน”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียง พูดเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นพวกเราไปคารวะอี๋เหนียงห้ากันเถิด! จะได้พาเด็กๆ ไปให้อี๋เหนียงห้าเห็นหน้าค่าตา”
สืออีเหนียงรู้สึกตันจมูก จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา
“เอาสิเจ้าคะ!” สายตาของนางพร่ามัวเล็กน้อย เดินตามสวีลิ่งอี๋ไปพบอี๋เหนียงห้า เห็นสวีลิ่งอี๋คำนับอี๋เหนียงห้า เห็นว่าอี๋เหนียงห้าตื่นตระหนกจนไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหน เห็นจิ่นเกอเอ่ยเรียก “ท่านยาย” เห็นว่าอี๋เหนียงห้าใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าเอาไว้แล้วร้องไห้อย่างเงียบๆ…
******
“นี่ นี่ นี่ เจ้าอย่าร้องไห้สิ!” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร “หากเจ้าร้องไห้ ดวงตาของเจ้าก็จะบวมเป่งเหมือนลูกท้อ!”
“ข้าได้มาเจอคนในสกุลเดิม” สืออีเหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตา แต่น้ำตาก็ไหลออกมาอีก ราวกับว่าซับเท่าไรก็ไม่มีวันหมด “ก็เลยดีใจเจ้าค่ะ!”
น้อยครั้งที่สืออีเหนียงจะตื่นเต้นเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางถอนหายใจ โอบนางเอาไว้ในอ้อมแขน
สืออีเหนียงซบไหล่สวีลิ่งอี๋ ในรถม้าที่มีแสงสลัวๆ นางจับมือเขาไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋โอบตัวนางเอาไว้แน่น หอมแก้มนางด้วยความรักใคร่
บรรยากาศในรถม้าพลันสงบไร้ซึ่งเสียงใด
******
“ไอ๊หยา! อี๋เหนียงก็มาด้วยหรือ!” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางมองจิ่นเกอ
“ใช่แล้วขอรับ!” สีหน้าของจิ่นเกอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ท่านยายหน้าตาเหมือนท่านแม่ของข้าอย่างมาก! มีกลิ่นตัวหอม เวลาพูดก็นุ่มนวลอ่อนโยน ซ้ำยัง…ซ้ำยังทำเสื้อผ้าให้ข้ามากมาย ป้อนแตงโมให้ข้าทานด้วย…”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ
สวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ในเมื่ออี๋เหนียงมาแล้ว พวกเราจะเสียมารยาทไม่ได้ ข้าว่าสองวันมานี้ดอกบัวในทะเลสาบปี้อีกำลังเบ่งบานพอดีเลย ไม่สู้เลือกวันแล้วเชิญคุณนายใหญ่มานั่งเล่นที่จวนพวกเรา ท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ”
ไท่ฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เอาสิ!” ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าไม่สู้พรุ่งนี้พวกเราเตรียมตัวกันแล้ววันมะรืนค่อยเชิญนางมาดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายพูดพลางจับจ้องไปที่สืออีเหนียง
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ดวงตาของนางพลันรื้นไปด้วยน้ำตา